วิเคราะห์หุ้น Microsoft(MSFT) และราคาที่ควรเป็นในปี 2025

Microsoft ผ่านมรสุมการแข่งขันอันเข้มข้นของวงการเทคโนโลยีจนกลายมาเป็นหุ้นเทคฯยักษ์ใหญ่อันดับสองของแนสแดก คราวนี้เราจะมาวิเคราะห์หุ้น Microsoft(MSFT) และราคาที่ควรเป็นในปี 2025 ว่ายังน่าสนใจสำหรับการลงทุนหรือไม่
ทำความรู้จัก Microsoft (MSFT)
Microsoft เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีประวัติยาวนาน ย้อนไปตั้งแต่ปี 1975 โดยการร่วมมือและก่อตั้งของสองเพื่อนสนิทอย่างบิล เกตส์ (Bill Gates) วัย 19 ปี และ พอล อัลเลน (Paul Allen) วัย 22 ปี ที่ในวันนั้นมีความฝันที่จะทำให้ทุกบ้านมีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้งาน นับจากนั้น Microsoft ก็ได้เริ่มก่อร่างขึ้นเป็นลำดับ
ช่วงที่ 1: 1975–1985 จุดเริ่มต้นของ Microsoft
จุดเริ่มต้นของ Microsoft ย้อนไปตั้งแต่ปี 1975 ที่บิล เกตส์ และ พอล อัลเลน พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับรุ่น Altair BASIC ให้กับบริษัท MITS จากนั้นในปี 1980 ก็คิดค้นระบบปฏิบัติการ MS-DOS ที่นำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของ IBM และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม นับเป็นจุดเริ่มต้นของ Microsoft ในวงการเทคอย่างเต็มตัว
ช่วงที่ 2: 1985–1995 Windows ยุคแรกและการเปิดตัว Microsoft Office
เป็นช่วงเริ่มแรกของการนำระบบปฏิบัติการ Windows ออกมาใช้ด้วย Windows 1.0 ที่มีการออกแบบ GUI (Graphic User Interface) แบบใหม่ให้สะดวกต่อผู้ใช้มากขึ้น ถือเป็นการพลิกโฉมวงการคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการไปอีกขั้น และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนใน Nasdaq ปี 1986 จากนั้นก็ปล่อย Windows 2.0 ในปีถัดมา และสองปีถัดจากนั้นผลิตภัณฑ์ที่เรารู้จักกันดีอย่าง Microsoft Office ก็ถูกนำออกสู่ตลาด ซึ่งในช่วงเวลานี้คู่แข่งคนสำคัญอย่าง Apple ก็ได้เริ่มพัฒนา Lisa ระบบปฏิบัติการเริ่มแรกที่ใช้กับเครื่องแม็ค ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ Mac OS ออกมาเช่นกัน
ช่วงที่ 3: 1995–2005 จุดเริ่มต้นของการผสานกับอินเทอร์เน็ต เปิดตัว IE และ MSN
ปี 1995 Microsoft ส่งระบบปฏิบัติการ Windows 95 ที่มาพร้อมกับ Internet Explorer และ MSN ออกมาจนได้รับการตอบรับอย่างดี ถัดมาด้วยวการเปิดตัว Windows 98 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่มี Quick Launch Bar ให้ใช้พร้อมกับฟีเจอร์อ่านแผ่น DVD และ เชื่อมต่อ USB ได้ ถัดมาด้วย Windows 2000, Windows ME และ Window XP ในปี 2001 ที่สามารถเปลี่ยนแบคกราวด์ในเดสก์ท็อปให้มีสีสันได้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของกราฟฟิกสุดอลังการของวินโดวส์
ช่วงที่ 4: 2005–2015 ซับไพร์มและการก้าวสู่ยุคสมาร์ทโฟน
Microsoft ก้าวสู่อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนด้วยการมาของ iPhone ในปี 2007 และเป็นปีที่ Windows Vista ถูกส่งออกมาให้ได้ใช้กัน ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องใช้เวลากว่า 4 ปีหลังจากการเปิดตัว iphone ในการบุกตลาดสมาร์ทโฟน และเข้าเทคบริษัท Nokia ในปี 2013 ด้วยราคา $7.17 พันล้าน และส่ง Windows Phone ออกจำหน่าย แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก จึงต้องพับโครงการนี้ไปในกลางปี 2016
ช่วงที่ 5: 2015-2019 ก้าวสู่ยุคเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัล
ปี 2015 Microsoft ได้กลับมาวางจำหน่าย Windows 10 โดยนำ Microsoft Azure ที่เป็นกลไกเสมือน (Virtual Machine) มาแก้ไขปัญหา CPU ของ Intel จากนั้นในปี 2018 บริษัทก็เปลี่ยนการจัดเก็บรายได้ของ Microsoft 365 มาเป็นการจ่ายค่าสมาชิกเป็นงวด ๆ ไป
ไม่เพียงเท่านั้น ในปีเดียวกัน Microsoft ได้ส่งโปรเจกต์ Azure Government ที่ใช้สำหรับการตรวจตราเฝ้าระวัง จากนั้นก็เข้าซื้อ GitHub ด้วยมูลค่า $7.5 พันล้าน เริ่มเปิดตัว Surface Go, Microsoft Team และเข้าเป็นพันธมิตรกับ Toyota Tsusho ร่วมกันพัฒนาฟาร์มเลี้ยงปลาด้วยระบบ IoT (Internet of Things) โดยการนำ Microsoft Azure มาใช้ รวมถึงเริ่มมีการพัฒนาโปรเจกต์/open source ต่าง ๆ จนได้ Micorsoft Edge โปรแกรมเบราเซอร์มาใช้ทดแทน IE ที่เริ่มสูญเสียตลาดให้กับ Google และ Firefox ไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ช่วงที่ 6: 2020 – ปัจจุบัน การรุกสู่ตลาดคลาวด์ ข้อมูล (Data) และ AI
ปี 2020 Microsoft เปลี่ยนโฉมหน้าผลิตภัณฑ์ Microsoft Office เป็นแผน Subsription เป็นการเปลี่ยนรูปแบบกระแสรายได้ของบริษัทให้มีความสม่ำเสมอมากขึ้น ในช่วงเดียวกันนี้ Microsoft ได้เริ่มหันมาเน้นการพัฒนา Cloud Computing และ Data Center จนเปิดตัว Azure Space ในปี 2020 นั้นเอง
นอกจากนี้ในปีเดียวกันบริษัทยังได้เข้าควบรวมกิจการกับบริษัทเกม ZeniMax Media และกลายมาเป็น Microsoft's Xbox Game Studios ในปี 2021 ด้วยเงินลงทุน $8.1 พันล้านเหรียญ และควบรวมกับ Activision Blizzard ค่ายเกมที่มีมูลค่าใหญ่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกด้วยเงินลงทุนกว่า $68 พันล้าน และในปีเดียวกันนี้เองที่มูลค่าตามราคาตลาดของ Microsoft ได้ทะยานสู่ $2 ล้านล้านเหรีญเป็นบริษัทที่สองรองจาก AAPL
ปี 2022 Microsoft ประกาศปิดฉาก Internet Explorer ที่ใช้มานานกว่า 27 ปี
ก้าวย่างที่น่าตื่นเต้นของ Microsoft เกิดขึ้นในเดือนมกราคมปี 2023 ที่บริษัทได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ OpenAI ผู้สร้างโปรเจกต์ ChatGPT อันเป็นโปรเจกต์ปัญญาประดิษฐ์ตัวแรก ๆ ที่เปิดให้มีผู้ใช้งานเป็นการทั่วไปอย่างแพร่หลายและสร้างความตื่นเต้นให้กับคนทั่วโลก จากนั้นในเดือนกุมภา Microsoft ได้นำ ChatGPT เข้ามาเป็นตัวช่วยสำหรับ Bing ที่เป็นเสิร์ชเอนจิ้นของบริษัท และ Edge ที่เป็นเว็บเบราเซอร์ ในเดือนถัดมาบริษัทก็ได้เปิดตัว Microsoft 365 รุ่นทดลองที่นำ AI เข้ามามีส่วนในการทำงาน ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการนำ AI เข้ามาใช้ แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Google และ Amazon ไปโดยปริยาย
นับตั้งแต่ปี 2018 หุ้น Microsoft ได้ปรับขึ้นมาแล้วมากกว่า 400% จนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2024 บริษัทรายงานรายได้รวมกว่า $245 พันล้าน นับเป็นปีที่ประสบความสำเร็จที่สุดในแง่ของรายได้ประจำปี
ในปัจจุบัน Microsoft ยังคงลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐาน AI โดยในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2025 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2025) บริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านทุน (capital expenditures) สูงถึง $16.75 พันล้าน เพิ่มขึ้นเกือบ 53% เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลสำหรับ AI โดย CEO Satya Nadella กล่าวว่าบริษัทวางแผนจะใช้เงิน $80 พันล้านในปีงบประมาณ 2025 เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่รองรับงาน AI
ปัจจุบัน Microsoft มีมูลค่าตามราคาตลาดที่ $3.37 ล้านล้าน (ณ เดือนพฤษภาคม 2025) นับเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาดใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้า Apple ที่ปัจจุบันมีมูลค่าตามราคาตลาดประมาณ $3 ล้านล้าน
ที่มา: companiesmarketcap.com
โครงสร้างธุรกิจและแนวโน้มผลประกอบการของบริษัท Microsoft
ปัจจุบัน Microsoft แบ่งส่วนธุรกิจและรายงานผลประกอบการออกเป็น 3 ส่วนดังนี้
1. ความสามารถในการผลิตและกระบวนการทางธุรกิจ
ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการผลิต สร้างปฏิสัมพันธ์และให้บริการด้านข้อมูลข่าวสาร ได้แก่
โปรแกรม Office สำหรับธุรกิจ: เป็นบริการของ Office365, Microsoft Team, SharePoint, บริการความปลอดภัยและการตรวจสอบสำหรับธุรกิจ
โปรแกรม Office สำหรับผู้บริโภค: ให้บริการไลเซนส์ Office365 สำหรับผู้บริโภคทั่วไป
LinkedIn: รวมทั้งบริการค้นหาผู้มีความสามารถ, การตลาด, และการให้บริการแบบพรีเมี่ยม
การหาทางออกให้กับธุรกิจแบบครบวงจร: รวมบริการ Dynamic365 ที่รวมบริการอัจฉริยะบนแอปพลิเคชั่นที่เชื่อมต่อผ่านระบบคลาวด์, Power Apps, Power Automate ฯลฯ
ล่าสุด Microsoft เริ่มปรับธุรกิจให้เชื่อมต่อกับการประมวลผลข้อมูลเพิ่มขึ้น มีการเปิดให้ Excel นำ Python มาใช้งาน ซึ่งต้องประมวลผลผ่านคลาวด์ที่จะช่วยสนับสนุนธุรกิจของบริษัทต่อไป
ในไตรมาสแรก ของปีงบประมาณ 2025 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2025) Microsoft รายงานรายได้ในส่วนนี้ที่ $29.94 พันล้าน เติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
2. คลาวด์อัจฉริยะ
ให้บริการผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์แบบไฮบริดทั้งสำหรับการใช้งานสาธารณะและส่วนบุคคล รวมถึงให้บริการคลาวด์ที่เข้าไปช่วยเพิ่มศักยภาพของหน่วยธุรกิจ ประกอบด้วย
บริการคลาวด์และเซิร์ฟเวอร์: รวมถึง Azure และบริการอื่น ๆ บนคลาวด์ เช่น เซิร์ฟเวอร์ SQL, เซิร์ฟเวอร์ Window, CALs, Nuance และ GitHub
การให้บริการกับกิจการต่าง ๆ: เป็นส่วนของการให้บริการ ให้คำปรึกษา เกี่ยวกับบริการของ Microsoft ในส่วนของคลาวด์อัจฉริยะที่นำไปใช้กับหน่วยธุรกิจอย่างเหมาะสม
ในไตรมาสแรก ของปีงบประมาณ 2025 Microsoft รายงานรายได้ในส่วนนี้ที่ $26.75 พันล้าน เติบโตประมาณ 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีรายได้จาก Azure เติบโต 33% โดย 16% ของการเติบโตมาจากบริการ AI
3. คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
เป็นส่วนที่รวมเอาผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวกับการให้ประสบการณ์ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Microsoft เช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เกม รวมทั้ง Windows
Windows: ไลเซนส์ให้บริการระบบปฏิบัตการณ์และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
อุปกรณ์: รวมทั้ง Surface และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
เกม: Xbox, ข้อมูลและบริการเกี่ยวกับ Xbox, เกม และ Subscription
บริการค้นหาและโฆษณา: ได้แก่ Edge และ Bing
ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2025 Microsoft รายงานรายได้ในส่วนนี้ที่ $13.37 พันล้าน เติบโต 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจเกมที่เติบโตหลังการเข้าซื้อ Activision Blizzard
ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา Microsoft เติบโตจากการให้บริการระบบปฏิบัติการณ์เป็นหลัก แต่ในยุคที่ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไปโดยต้องการบริการที่หลากหลายขึ้น ตอบโจทย์การใช้ข้อมูลมากขึ้น ปัจจุบันรายได้จากระบบปฏิบัติการณ์สร้างกำไรให้กับ Microsoft ราว $2.3 พันล้านต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 2% ของกำไรบริษัททั้งหมดเท่านั้น
แต่ธุรกิจที่กำลังเติบโตและกลายเป็นจุดเน้นของบริษัทในปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนมาเป็น Data Center และ ธุรกิจคลาวด์ ซึ่งเป็นตัวสนับสนุนงานด้านข้อมูล (Data) และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
โดยในปีงบประมาณ 2025 บริษัทรายงานว่ารายได้จากธุรกิจ Microsoft Cloud อยู่ที่ $42.4 พันล้าน เติบโต 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และธุรกิจ AI มีรายได้ในอัตรารายปี (annual revenue run rate) มากกว่า $13 พันล้าน เพิ่มขึ้น 175% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ดีธุรกิจเทคโนโลยียังมีคู่แข่งที่มีศักยภาพที่พร้อมเข้ามาชิงส่วนแบ่งอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Apple Google Meta และ Amazon
สำหรับไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2025 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2025) Microsoft รายงานรายได้รวม $70.1 พันล้าน เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และรายงานกำไรสุทธิที่ $25.8 พันล้าน เพิ่มขึ้น 18% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3.46 เพิ่มขึ้น 18% เช่นกัน
การวิเคราะห์หุ้น Microsoft ปี 2025
◆ การวิเคราะห์หุ้น Microsoft ทางปัจจัยพื้นฐาน
Microsoft ยังคงแสดงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยผลประกอบการไตรมาสล่าสุด (สิ้นสุดมีนาคม 2025) มีรายได้รวมเติบโตถึง 13% แตะระดับ 70.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่กำไรสุทธิและกำไรต่อหุ้น (EPS) พุ่งขึ้นถึง 18% มาอยู่ที่ 25.8 พันล้านดอลลาร์ และ 3.46 ดอลลาร์ต่อหุ้น
หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้คือธุรกิจคลาวด์และ AI โดย Microsoft Cloud สร้างรายได้ถึง 42.4 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด เพิ่มขึ้น 20% ซึ่งมี Azure เป็นแกนหลักด้วยการเติบโตถึง 33% และที่น่าสนใจคือบริการ AI มีส่วนสำคัญในการเติบโตของ Azure ถึง 16 เปอร์เซ็นต์
ในอนาคต ปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ยังคงสนับสนุนแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งของ Microsoft โดย AI และ Cloud จะเป็นเครื่องยนต์หลักในการสร้างมูลค่าเพิ่มและขยายฐานรายได้ ความสามารถในการผสานนวัตกรรม AI เข้ากับทุกผลิตภัณฑ์และบริการ ควบคู่ไปกับการขยายโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ทั่วโลก จะทำให้ Microsoft สามารถรักษาความเป็นผู้นำและคว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
◆ การวิเคราะห์หุ้น Microsoft ทางเทคนิค
การเคลื่อนไหวของหุ้น Microsoft ตลอด 5 ปีที่ผ่านมามีการปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 280% เทียบกับคู่แข่งอย่าง META และ AAPL ที่เติบโต 65% และ 367% ตามลำดับ ขณะที่ Nasdaq100 ที่โตได้ 104% และ S&P500 ที่โตได้ 65%
หลังการเติบโตของรายได้ที่ติดลบลงไปในปี 2016 รายได้ของ Microsoft เริ่มกลับมาเติบโตในระดับ 2 หลักได้ตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งเป็นปีที่ราคาหุ้น Microsoft เดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่จากจุดสูงสุดเดิมที่ทำไว้ในปี 1999 ที่ $59.97 และขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ไว้ที่ $349.67 ในปี 2021 ก่อนปรับฐานในปี 2022 จากความผันผวนของตลาดเงินอันเนื่องมาจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ และกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ $366.78 ในปี 2023
ที่มา : Tradingview
ปัจจุบันกราฟรายสัปดาห์ของ Microsoft แสดงให้เห็นการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งหลังจากปรับฐานในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยราคาได้ฟื้นตัวแบบ V-Shape กลับมาเหนือระดับ $450 ในปัจจุบัน
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ทั้งระยะสั้น (EMA สีแดง) และระยะกลาง (EMA สีฟ้า) ถูกทะลุขึ้นไปอย่างชัดเจน ขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (เส้นสีส้ม) ยังคงชี้ขึ้นต่อเนื่อง ยืนยันแนวโน้มหลักของตลาดที่ยังเป็นขาขึ้น ค่า RSI ปรับตัวขึ้นจากระดับต่ำกว่า 30 มาอยู่ที่ประมาณ 60+ แสดงถึงแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นแต่ยังไม่ถึงจุดซื้อมากเกินไป เช่นเดียวกับ Stochastic RSI ที่เคลื่อนตัวขึ้นสอดคล้องกับทิศทางราคา
แนวต้านสำคัญอยู่ที่บริเวณ $460-470 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 หากทะลุผ่านไปได้ด้วยโวลุ่มสูง จะเปิดทางสู่เป้าหมายถัดไปที่ $500 ภายในไตรมาส 3 ของปี 2025 ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ขณะเดียวกัน แนวรับสำคัญอยู่ที่เส้น EMA สีแดงบริเวณ $420 และเส้น EMA สีฟ้าที่ประมาณ $400 ตามลำดับ หากราคายังยืนเหนือระดับเหล่านี้ได้ แนวโน้มการเติบโตในระยะกลางถึงยาวยังคงแข็งแกร่ง
โดยสรุป ปัจจัยทางเทคนิคบ่งชี้ว่า Microsoft มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะกลางถึงยาว โดยได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนในธุรกิจ AI และคลาวด์ของบริษัท มีโอกาสสูงที่จะทำจุดสูงสุดใหม่เหนือ $500 ภายในสิ้นปีนี้ แม้อาจมีการพักฐานเป็นระยะในช่วงทดสอบแนวต้านสำคัญก็ตาม




ความเสี่ยงด้านลบต่อราคาหุ้น Microsoft
Microsoft เป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีขนาดใหญ่และดำเนินธุรกิจในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วพร้อมกับการแข่งขันสูง ทำให้การดำเนินธุรกิจและราคาหุ้น Microsoft มีความเสี่ยงด้านลบจากปัจจัยหลากหลาย เช่น
1. การแข่งขันที่สูงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
เนื่องจากสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และมีการแข่งขันในแต่ละส่วนสูง เช่นเดียวกับ Microsoft ที่มีคู่แข่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Apple ที่เป็นคู่แข่งด้านระบบปฏิบัติการณ์และอุปกรณ์, Google ที่เป็นคู่แข่งคนสำคัญต่อผลิตภัณฑ์สนับสนุนผลิตภาพอย่าง Google vs. Office และเสิร์ชเอนจิ้นอย่าง Google vs. Bing โดยเฉพาะ Amazon ผู้ให้บริการคลาวด์ AWS ที่เป็นคู่แข่งคนสำคัญต่อรายได้หลักของ Microsoft อย่าง Azure ทั้งหมดนี้เป็นคู่แข่งที่มีศักยภาพที่พร้อมดึงส่วนแบ่งการตลาดไปจาก Microsoft ได้
2. การเติบโตของรายได้ที่อาจไม่เป็นไปตามคาด
ความเสี่ยงในตลาดที่เป็นความเสียงโดยรวม เช่น สภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ การเติบโตของเศรษฐกิจโลก และความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตหรือสงครามเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงต่อหุ้น Microsoft ซึ่งแน่นอนว่าปัจจัยนี้ส่งผลต่อตลาดโดยรวมด้วยเช่นกัน
3. ความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายด้านทุนที่สูง
Microsoft มีแผนจะใช้เงิน $80 พันล้านในปีงบประมาณ 2025 เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลสำหรับ AI ซึ่งเป็นการลงทุนที่สูงมาก หากการลงทุนนี้ไม่สร้างผลตอบแทนตามที่คาดหวัง อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการและราคาหุ้นในอนาคต
ส่งท้าย
ทั้งหมดนี้ก็คือการอัปเดตภาพรวมของหุ้น Microsoft รวมถึงแนวโน้มและโอกาสในการลงทุนหุ้น Microsoft ในปี 2025 นี้ ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวช่วยในการเริ่มลงทุนในหุ้น Microsoft ได้แบบไม่ยาก โดยเฉพาะการวิเคราะห์หุ้น Microsoft ทั้งทางพื้นฐานและทางเทคนิคที่เรารวบรวมมาฝากกัน ซึ่งน่าจะพอทำให้เห็นภาพการลงทุนในหุ้น Microsoft ในปี 2025 ได้ดียิ่งขึ้น
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน