กองทุนรวมคืออะไร? แนะนำ 10 กองทุนรวมที่น่าสนใจปี 2569

อัพเดทครั้งล่าสุด
coverImg
แหล่งที่มา: DepositPhotos

“อยากลงทุนแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง?” แต่ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะมีประสบการณ์หรือเงินทุนมากน้อยแค่ไหน ทุกคนก็สามารถสร้างความมั่งคั่งผ่านสิ่งที่เรียกว่า กองทุนรวม ได้


วันนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึก พร้อมแนะนำ 10 กองทุนรวมที่น่าสนใจในปี 2569 เพื่อให้คุณเริ่มต้นสร้างความมั่งคั่งกับอนาคตที่กำลังจะมาถึงได้อย่างมั่นใจ


กองทุนรวมคืออะไร?

หากจะอธิบายให้เห็นภาพง่ายที่สุด กองทุนรวม (Mutual Fund) ก็เปรียบเสมือนการลงขันของนักลงทุนรายย่อยหลายๆ คน นำเงินมารวมกันเป็นเงินก้อนใหญ่ จากนั้นก็มอบหมายให้มืออาชีพที่เรียกว่า “ผู้จัดการกองทุน” (Fund Manager) ซึ่งทำงานอยู่ภายใต้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นำเงินก้อนนั้นไปบริหารจัดการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามนโยบายที่กำหนดไว้


เมื่อเรานำเงินไปลงทุน เงินของเราจะถูกเปลี่ยนเป็น “หน่วยลงทุน” (Units) ซึ่งมูลค่าของแต่ละหน่วยจะถูกเรียกว่า “มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ” หรือ NAV (Net Asset Value)


โดย NAV นี้จะถูกคำนวณและประกาศออกมาทุกสิ้นวันทำการ ซึ่งจะสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของสินทรัพย์ทั้งหมดที่กองทุนถืออยู่ หากสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนมีมูลค่าสูงขึ้น NAV ก็จะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย และนั่นคือกำไรของเราในฐานะผู้ถือหน่วยลงทุน


กองทุนรวมเหมาะกับใคร?


กองทุนรวมเหมาะกับใคร?

คำตอบคือ เหมาะกับแทบทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

  • นักลงทุนมือใหม่: ที่ยังไม่มีประสบการณ์หรือความรู้เชิงลึกในการวิเคราะห์หุ้นหรือตราสารหนี้รายตัว การลงทุนผ่านกองทุนรวมจึงเหมือนมีผู้เชี่ยวชาญมาเป็นที่ปรึกษาและผู้จัดการส่วนตัว

  • ผู้ที่ไม่มีเวลา: สำหรับคนทำงานประจำที่ไม่มีเวลาติดตามข่าวสารเศรษฐกิจหรือความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิด ผู้จัดการกองทุนจะทำหน้าที่นั้นแทนเรา

  • ผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง: หลักการลงทุนที่สำคัญคือ “อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียว” กองทุนรวมช่วยให้เรากระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภทได้ แม้จะมีเงินทุนไม่มากก็ตาม

  • ผู้ที่ต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี: กองทุนรวมบางประเภท เช่น SSF, RMF หรือ ThaiESG ถูกออกแบบมาเพื่อให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด


ด้วยขนาดเงินทุนที่ใหญ่ในฐานะนักลงทุนสถาบัน ทำให้ผู้จัดการกองทุนมีอำนาจต่อรองและสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนที่นักลงทุนรายย่อยทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่น การจองซื้อหุ้น IPO บางตัว หรือการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนที่เสนอขายในวงจำกัด


ดังนั้น กองทุนรวมจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักลงทุนทุกระดับ ไม่ใช่แค่สำหรับผู้เริ่มต้นเท่านั้น

เจาะลึกประเภทกองทุนรวม

ประเภทกองทุนรวม


โลกของ กองทุนรวม นั้นมีความหลากหลายสูงมาก เพื่อให้นักลงทุนสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยสามารถแบ่งประเภทหลักๆ ได้ดังนี้


แบ่งตามประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน (Asset Class)

  1. กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund): มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เหมาะสำหรับการพักเงินระยะสั้น หรือเป็นที่เก็บเงินสำรองฉุกเฉิน โดยจะลงทุนในสินทรัพย์สภาพคล่องสูง เช่น เงินฝาก หรือตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนคุณภาพดีที่มีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี


  2. กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund): มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก แต่ไม่ต้องการเสี่ยงสูงเท่าหุ้น โดยจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนเป็นหลัก


  3. กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund): หรือที่เรียกกันติดปากว่า “กองทุนหุ้น” มีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุดในระยะยาว เหมาะกับผู้ที่สามารถรับความผันผวนของราคาได้และมีเป้าหมายการลงทุนระยะยาว


  4. กองทุนรวมผสม (Mixed/Hybrid Fund): เป็นกองทุนที่มีความยืดหยุ่น โดยผู้จัดการกองทุนจะปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ให้เข้ากับสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงแต่ไม่รู้จะจัดสัดส่วนอย่างไร


  5. กองทุนรวมสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investment Fund): ลงทุนในสินทรัพย์นอกเหนือจากหุ้นและตราสารหนี้ เช่น ทองคำ น้ำมัน อสังหาริมทรัพย์ หรือโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมักจะมีความเสี่ยงสูงและซับซ้อน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวม


แบ่งตามนโยบายการลงทุนแบบพิเศษ

  1. กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) และ ETF (Exchange Traded Fund): เป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ (Passive) โดยจะสร้างผลตอบแทนให้ล้อไปกับดัชนีอ้างอิง เช่น ดัชนี SET50 หรือ S&P500 ทำให้มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนทั่วไป โดย ETF จะมีความพิเศษตรงที่สามารถซื้อขายได้แบบเรียลไทม์ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้นตัวหนึ่ง


  2. กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (Sector Fund): มีนโยบายลงทุนแบบกระจุกตัวในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการแพทย์ หรือกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมากแต่ก็มีโอกาสทำกำไรสูงหากคาดการณ์ทิศทางของอุตสาหกรรมนั้นๆ ได้ถูกต้อง


  3. กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund - FIF): เป็นประตูที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยสามารถกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์ทั่วโลกได้ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน เวียดนาม หรือยุโรป


  4. กองทุนลดหย่อนภาษี: เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนหลากหลายเหมือนกองทุนทั่วไป แต่มีเงื่อนไขการถือครองเพิ่มเติมเพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG)


เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถสรุปประเภทกองทุน ความเสี่ยง และความเหมาะสมได้ดังตารางต่อไปนี้


ประเภทกองทุนสินทรัพย์หลักที่ลงทุนระดับความเสี่ยง (1-8+)เหมาะกับใครตัวอย่างเป้าหมาย
ตลาดเงินเงินฝาก, ตราสารหนี้ระยะสั้นมาก1ผู้ที่รับความเสี่ยงไม่ได้เลยพักเงินรอลงทุน, เงินสำรองฉุกเฉิน
ตราสารหนี้พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้เอกชน2-4ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ, ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอเก็บเงินดาวน์บ้านใน 1-3 ปี
ผสมหุ้นและตราสารหนี้ (ปรับสัดส่วนได้)5ผู้ที่ลังเล, ต้องการกระจายความเสี่ยงในกองเดียว

สร้างการเติบโตระยะกลาง

ตราสารทุน (หุ้น)หุ้นในประเทศ/ต่างประเทศ6ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง, ลงทุนระยะยาววางแผนเกษียณในอีก 20 ปีข้างหน้า
หมวดอุตสาหกรรมหุ้นในอุตสาหกรรมเดียว7ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงมาก, มีความรู้เฉพาะทางเก็งกำไรตามวัฏจักรของอุตสาหกรรม
สินทรัพย์ทางเลือกทองคำ, อสังหาฯ, น้ำมัน8+ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงมาก, ต้องการกระจายพอร์ตสร้างผลตอบแทนที่ไม่ขึ้นกับตลาดหุ้น

เคล็ดลับเลือกกองทุนรวม จะรู้ได้อย่างไรว่ากองทุนไหน “ดีจริง”

ท่ามกลางกองทุนรวมหลายพันกองทุนในตลาด การเลือกกองทุนที่ “ใช่” อาจดูเป็นเรื่องน่าปวดหัว แต่หากเรามีกระบวนการคัดเลือกที่เป็นระบบ ก็จะสามารถค้นพบกองทุนที่เหมาะสมกับเราได้อย่างแน่นอน


1. สำรวจตัวเองก่อน

นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดและมักถูกมองข้าม ก่อนจะมองหากองทุนข้างนอก เราต้องเข้าใจความต้องการของตัวเองให้ชัดเจนก่อน ผ่าน 3 คำถามหลัก

  • เป้าหมายการลงทุน (Goal): คุณลงทุนไปเพื่ออะไร? เพื่อเก็บเงินเกษียณในอีก 30 ปีข้างหน้า เพื่อซื้อรถในอีก 5 ปี หรือเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูก? เป้าหมายที่แตกต่างกันจะนำไปสู่การเลือกประเภทกองทุนที่แตกต่างกัน

  • ระยะเวลาลงทุน (Time Horizon): คุณสามารถปล่อยให้เงินก้อนนี้เติบโตได้นานแค่ไหน? ยิ่งมีระยะเวลานานเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเพื่อแลกกับโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้

  • ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Tolerance): คุณนอนหลับได้สนิทแค่ไหนหากพอร์ตการลงทุนติดลบ 10% หรือ 20% ก่อนเริ่มลงทุนทุกครั้ง บลจ. หรือตัวแทนจำหน่ายจะบังคับให้เราทำ “แบบประเมินความเสี่ยง”เพื่อประเมินว่าเราเหมาะกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงระดับใด


2. ดูนโยบายการลงทุน

เมื่อรู้จักตัวเองแล้ว ก็ถึงเวลาทำความรู้จักกองทุน โดยการอ่านหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ หรือ Fund Fact Sheet ซึ่งเปรียบเสมือนบัตรประชาชนของกองทุน สิ่งที่ต้องดูคือ กองทุนนี้เอาเงินของเราไปลงทุนในสินทรัพย์อะไร ประเทศไหน มีกลยุทธ์การลงทุนแบบใด (Active หรือ Passive)


3. วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก

ขั้นตอนนี้คือการเปรียบเทียบและคัดเลือกกองทุนที่มีนโยบายคล้ายกัน เพื่อหาผู้ชนะที่แท้จริง

  • ผลการดำเนินงานย้อนหลัง (Past Performance): ใช้เพื่อดูความสม่ำเสมอในการบริหารของผู้จัดการกองทุน แต่ต้องท่องไว้ในใจเสมอว่า “ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต” สิ่งที่ควรทำคือการเปรียบเทียบผลตอบแทนกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) และกองทุนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน เพื่อดูว่าผู้จัดการกองทุนทำผลงานได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยหรือไม่


  • ความผันผวนและความเสี่ยง

    • Maximum Drawdown: ตัวเลขนี้สำคัญมาก มันคืออัตราผลขาดทุนสูงสุดในอดีตของกองทุน บอกให้เรารู้ว่ากองทุนนี้เคยเจ็บหนักที่สุดแค่ไหน และเราพร้อมจะรับความเสียหายระดับนั้นได้หรือไม่

    • Sharpe Ratio: เป็นมาตรวัดความคุ้มค่าในการลงทุน โดยเปรียบเทียบผลตอบแทนที่ทำได้กับความเสี่ยงที่ต้องรับเข้ามา ค่า Sharpe Ratio ยิ่งสูง ยิ่งหมายความว่ากองทุนนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับความเสี่ยงเท่าๆ กัน


  • ค่าธรรมเนียม (Fees): เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนระยะยาว กองทุนที่มีนโยบายคล้ายกันแต่มีค่าธรรมเนียมรวม (Total Expense Ratio) ต่ำกว่า ย่อมมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสุทธิให้นักลงทุนได้มากกว่า


ขั้นตอนเลือกกองทุนฉบับมือใหม่


การเลือกกองทุนที่ดีจึงไม่ใช่แค่การไล่ตามกองทุนที่ให้ผลตอบแทนย้อนหลังสูงสุด แต่คือการค้นหากองทุนที่มีความสอดคล้องระหว่างนโยบายการลงทุน สไตล์ของผู้จัดการกองทุน และระดับความเสี่ยง (ที่สะท้อนผ่าน Maximum Drawdown และ Sharpe Ratio) กับเป้าหมายและโปรไฟล์ความเสี่ยงของตัวเราเอง

ซื้อกองทุนรวมไหนดี? เปิด 10 กองทุนรวมที่น่าจับตามองปี 2569

ก่อนจะไปดูรายชื่อกองทุน เราต้องเข้าใจภาพใหญ่ของเศรษฐกิจและเมกะเทรนด์ที่จะเป็นฉากหลังสำคัญในปี 2569 เสียก่อน

  • ภาพรวมเศรษฐกิจ “ปีแห่งสองช่วงเวลา” นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2569 อาจแบ่งเป็นสองช่วง โดยครึ่งปีแรกอาจเผชิญกับความผันผวนและการชะลอตัวจากผลกระทบของสงครามการค้าและมาตรการทางภาษี แต่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ดีขึ้นในครึ่งปีหลัง เมื่อภาคธุรกิจปรับตัวได้และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มส่งผล


  • เมกะเทรนด์ที่เชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ การปฏิวัติของ AI ไม่ใช่แค่เรื่องของซอฟต์แวร์ แต่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่สร้างความต้องการมหาศาลในอุตสาหกรรมพลังงาน เพราะการประมวลผลของ AI ใช้ไฟฟ้ามหาศาล ทำให้เกิดความต้องการลงทุนในพลังงานสะอาด และโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า รวมถึงฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะชิปประมวลผลขั้นสูงที่เป็นเหมือนหัวใจของ AI


จากภาพรวมดังกล่าว เราได้คัดเลือก 10 กองทุนรวมที่น่าสนใจ ซึ่งครอบคลุมหลากหลายสินทรัพย์และสอดรับกับเทรนด์แห่งอนาคต ดังนี้


กองทุนหุ้นไทย (Thai Equity Funds) - เน้นตั้งรับและปันผล ท่ามกลางความไม่แน่นอน

ท่ามกลางความผันผวนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งปีแรกของปี 2569 กองทุนหุ้นปันผลสูงถือเป็นกลยุทธ์ตั้งรับที่น่าสนใจ ช่วยสร้างกระแสเงินสดและลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตได้


1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล (SCBDV)

  • ชื่อย่อและประเภท: SCBDV / กองทุนเปิดตราสารทุน (หุ้นไทยปันผล)

  • บริษัทจัดการ: SCBAM

  • กลยุทธ์การลงทุน: เน้นลงทุนในหุ้นไทยขนาดใหญ่ในดัชนี SET ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีอย่างสม่ำเสมอ โดยมักจะประกอบด้วยหุ้นในกลุ่มพลังงาน ค้าปลีก และธนาคาร

  • อ้างอิงผลงานในอดีต: มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอและเป็นที่รู้จักของนักลงทุนมายาวนาน

  • ระดับความเสี่ยง: 6 - เสี่ยงสูง

  • เหมาะกับนักลงทุน: ผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดระหว่างการลงทุน (Passive Income) และสามารถรับความผันผวนของตลาดหุ้นไทยได้


2. กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV)

  • ชื่อย่อและประเภท: KFSDIV / กองทุนเปิดตราสารทุน (หุ้นไทยปันผล)

  • บริษัทจัดการ: Krungsri Asset Management (KSAM)

  • กลยุทธ์การลงทุน: มีนโยบายลงทุนในหุ้นปันผลดีเช่นเดียวกับ SCBDV แต่มีความแตกต่างตรงที่จะผสมผสานการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก เข้าไปด้วย ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการเติบโตของมูลค่าหน่วยลงทุนได้มากกว่า

  • อ้างอิงผลงานในอดีต: เป็นกองทุนหุ้นปันผลอีกหนึ่งกองที่มีประวัติการจ่ายปันผลมาอย่างยาวนาน

  • ระดับความเสี่ยง: 6 - เสี่ยงสูง

  • เหมาะกับนักลงทุน: ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อแลกกับโอกาสการเติบโตของเงินลงทุนที่มากกว่ากองทุนหุ้นปันผลที่เน้นแต่หุ้นใหญ่


กองทุนหุ้นต่างประเทศ (Overseas Equity Funds) - เกาะกระแสโลกแห่งอนาคต

การกระจายการลงทุนไปต่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเปิดรับโอกาสการเติบโตจากเมกะเทรนด์ระดับโลก


3. กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เทคโนโลยี อาร์ทิฟิเชียล อินเทลลิเจนซ์ อิควิตี้ (KT-WTAI-A)

  • ชื่อย่อและประเภท: KT-WTAI-A / กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (Feeder Fund)

  • บริษัทจัดการ: KTAM

  • กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Allianz Global Artificial Intelligence ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและลงทุนในบริษัททั่วโลกที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากเทคโนโลยี AI

  • อ้างอิงผลงานในอดีต: มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วงที่หุ้นกลุ่ม AI เติบโตอย่างร้อนแรง

  • ระดับความเสี่ยง: 6 - เสี่ยงสูง

  • เหมาะกับนักลงทุน: ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงมาก มีมุมมองการลงทุนระยะยาว และเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI


4. กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH)

  • ชื่อย่อและประเภท: B-INNOTECH / กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (Feeder Fund)

  • บริษัทจัดการ: BBLAM

  • กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Fidelity Funds - Global Technology Fund ที่กระจายการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก ไม่ได้จำกัดแค่ AI แต่ครอบคลุมทั้ง Cloud Computing, E-commerce, Fintech โดยมีหุ้นหลักเป็นบริษัท Big Tech ที่เป็นที่รู้จักกันดี

  • อ้างอิงผลงานในอดีต: เป็นกองทุนเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในผลงานระยะยาว

  • ระดับความเสี่ยง: 7 - เสี่ยงสูง

  • เหมาะกับนักลงทุน: ผู้ที่ต้องการสร้างการเติบโตไปพร้อมกับภาพรวมของโลกเทคโนโลยี รับความเสี่ยงสูงได้ และมีเป้าหมายการลงทุนระยะยาว


5. กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ A (PRINCIPAL VNEQ-A)

  • ชื่อย่อและประเภท: PRINCIPAL VNEQ-A / กองทุนรวมตราสารทุน (หุ้นเวียดนาม)

  • บริษัทจัดการ: Principal Asset Management

  • กลยุทธ์การลงทุน: เป็นกองทุนแบบ Active ที่ผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตสูงในตลาดเวียดนามโดยตรง โดยเน้นกลุ่มธนาคาร ค้าปลีก และเทคโนโลยี

  • อ้างอิงผลงานในอดีต: เป็นหนึ่งในกองทุนหุ้นเวียดนามยุคบุกเบิกที่ทำผลงานได้โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับ

  • ระดับความเสี่ยง: 6 - เสี่ยงสูง

  • เหมาะกับนักลงทุน: ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงมาก และต้องการกระจายการลงทุนไปยังตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่มีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดด


กองทุนตราสารหนี้ (Bond Funds) - หลุมหลบภัยยามตลาดผันผวน


6. กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้น พลัส (KTSTPLUS-A)

  • ชื่อย่อและประเภท: KTSTPLUS-A / กองทุนรวมตราสารหนี้ (ระยะสั้น)

  • บริษัทจัดการ: KTAM

  • กลยุทธ์การลงทุน: เน้นลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝาก หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝากคุณภาพดี (Investment Grade) ทั้งในและต่างประเทศ โดยควบคุมอายุเฉลี่ยของพอร์ตให้ไม่เกิน 1 ปี เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย

  • อ้างอิงผลงานในอดีต: ให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและมีความผันผวนต่ำตามลักษณะของสินทรัพย์ที่ลงทุน

  • ระดับความเสี่ยง: 4 - ปานกลางค่อนข้างต่ำ

  • หมาะกับนักลงทุน: ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ต้องการพักเงินระยะสั้น หรือใช้เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงโดยรวม


กองทุนผสม / ยืดหยุ่น (Hybrid/Flexible Funds) - ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์


7. กองทุนเปิด ทิสโก้ เฟล็กซิเบิ้ล พลัส (TISCOFLEXP)

  • ชื่อย่อและประเภท: TISCOFLEXP / กองทุนรวมผสม

  • บริษัทจัดการ: TISCO Asset Management

  • กลยุทธ์การลงทุน: เป็นกองทุนผสมแบบยืดหยุ่น (Flexible Fund) ที่ให้อิสระผู้จัดการกองทุนในการปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์อื่นได้ตั้งแต่ 0-100% ตามมุมมองต่อสภาวะตลาด

  • อ้างอิงผลงานในอดีต: มีประวัติการบริหารแบบ Active ที่น่าสนใจและเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักลงทุน

  • ระดับความเสี่ยง: 6 - เสี่ยงสูง

  • เหมาะกับนักลงทุน: ผู้ที่เชื่อมั่นในฝีมือของผู้จัดการกองทุน และต้องการเครื่องมือที่สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ตามสถานการณ์โดยที่ตนเองไม่ต้องคอยจับจังหวะตลาด


กองทุนเฉพาะทาง (Thematic Funds) - ลงทุนในเทรนด์เปลี่ยนโลก


8. กองทุนเปิดกรุงศรี ESG Climate Tech (KFCLIMA-A)

  • ชื่อย่อและประเภท: KFCLIMA-A / กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (Feeder Fund, ESG)

  • บริษัทจัดการ: Krungsri Asset Management (KSAM)

  • กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนผ่านกองทุนหลัก DWS Invest ESG Climate Tech ที่เน้นลงทุนในบริษัททั่วโลกที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

  • อ้างอิงผลงานในอดีต: เป็นกองทุนธีมใหม่ที่น่าจับตามองและสอดคล้องกับเทรนด์โลก

  • ระดับความเสี่ยง: 6 - เสี่ยงสูง

  • เหมาะกับนักลงทุน: ผู้ที่ต้องการลงทุนในเมกะเทรนด์ด้านความยั่งยืน รับความเสี่ยงสูงได้ และมองหาการเติบโตในระยะยาวจากธุรกิจที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม


9. กองทุนเปิดเค โกลบอล เฮลท์แคร์ (K-GHEALTH)

  • ชื่อย่อและประเภท: K-GHEALTH / กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (Feeder Fund)

  • บริษัทจัดการ: Kasikorn Asset Management (KAsset)

  • กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds - Global Healthcare Fund ซึ่งลงทุนในบริษัทกลุ่มดูแลสุขภาพชั้นนำทั่วโลก ครอบคลุมทั้งบริษัทยา, เทคโนโลยีการแพทย์ และผู้ให้บริการทางการแพทย์

  • อ้างอิงผลงานในอดีต: เป็นกองทุน Healthcare ที่มีชื่อเสียงและบริหารโดย บลจ. ระดับโลก

  • ระดับความเสี่ยง: 7 - เสี่ยงสูง

  • เหมาะกับนักลงทุน: ผู้ที่มองหาการเติบโตที่มั่นคงและมีลักษณะเป็น Defensive Growth เนื่องจากธุรกิจ Healthcare มีความจำเป็นในทุกสภาวะเศรษฐกิจ


10. กองทุนเปิด แอสเซทพลัส หุ้นไทยยั่งยืน (ASP-THAIESG)

  • ชื่อย่อและประเภท: ASP-THAIESG / กองทุนรวมตราสารทุน (ThaiESG)

  • บริษัทจัดการ: Asset Plus Fund Management

  • กลยุทธ์การลงทุน: เป็นกองทุน Active ที่เน้นคัดเลือกหุ้นไทยที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยอ้างอิงจากรายชื่อหุ้นยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET ESG Rating)

  • อ้างอิงผลงานในอดีต: บริหารโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์และมีผลงานโดดเด่นในการบริหารกองทุนหุ้นไทย

  • ระดับความเสี่ยง: 6 - เสี่ยงสูง

  • เหมาะกับนักลงทุน: ผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทยที่มีคุณภาพและใส่ใจในความยั่งยืน ต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี และเชื่อมั่นในการเติบโตของบริษัทไทยที่มีธรรมาภิบาลที่ดี

ชื่อกองทุน (ชื่อย่อ)บลจ.ประเภทกองทุนนโยบายการลงทุนหลักระดับความเสี่ยง
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล (SCBDV)SCBAMหุ้นไทย (ปันผล)ลงทุนในหุ้นไทยขนาดใหญ่ใน SET ที่มีพื้นฐานดีและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ

6 - เสี่ยงสูง

กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV)KSAMหุ้นไทย (ปันผล)ลงทุนในหุ้นไทยปันผลดี โดยผสมผสานทั้งหุ้นขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก6 - เสี่ยงสูง
กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เทคโนโลยี อาร์ทิฟิเชียล อินเทลลิเจนซ์ อิควิตี้ (KT-WTAI-A)KTAMหุ้นต่างประเทศ (เทคโนโลยี AI)ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Allianz Global Artificial Intelligence ที่เน้นบริษัททั่วโลกที่ได้ประโยชน์จาก AI6 - เสี่ยงสูง

กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลอินโนเวชั่นและเทคโนโลยี (B-INNOTECH)


BBLAMหุ้นต่างประเทศ (เทคโนโลยี)ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Fidelity Funds - Global Technology Fund ที่ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก

7 - เสี่ยงสูง

กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ A (PRINCIPAL VNEQ-A)Principalหุ้นต่างประเทศ (เวียดนาม)คัดเลือกหุ้น (Active) ที่มีศักยภาพเติบโตสูงในตลาดเวียดนามโดยตรง6 - เสี่ยงสูง
กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้น พลัส (KTSTPLUS-A)KTAMตราสารหนี้ (ระยะสั้น)ลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากคุณภาพดี (Investment Grade) อายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี4 - ปานกลางค่อนข้างต่ำ
กองทุนเปิด ทิสโก้ เฟล็กซิเบิ้ล พลัส (TISCOFLEXP)TISCOAMกองทุนผสม (ยืดหยุ่น)ปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์อื่นได้ตั้งแต่ 0-100% ตามสภาวะตลาด6 - เสี่ยงสูง
กองทุนเปิดกรุงศรี ESG Climate Tech (KFCLIMA-A)KSAMหุ้นต่างประเทศ (ESG/Climate Tech)ลงทุนผ่านกองทุนหลัก DWS Invest ESG Climate Tech ที่เน้นบริษัทแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ6 - เสี่ยงสูง
กองทุนเปิดเค โกลบอล เฮลท์แคร์ (K-GHEALTH)KAssetหุ้นต่างประเทศ (Healthcare)ลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds - Global Healthcare Fund ที่ลงทุนในบริษัทกลุ่มดูแลสุขภาพชั้นนำทั่วโลก7 - เสี่ยงสูง
กองทุนเปิด แอสเซทพลัส หุ้นไทยยั่งยืน (ASP-THAIESG)Asset Plusหุ้นไทย (ThaiESG)คัดเลือกหุ้นไทย (Active) ที่มีความโดดเด่นด้าน ESG ตามเกณฑ์ SET ESG Rating6 - เสี่ยงสูง

ข้อดี-ข้อเสียของการลงทุนในกองทุนรวมที่ต้องรู้

แม้ว่ากองทุนรวมจะเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยม แต่ก็เหมือนกับการลงทุนทุกประเภทที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจ

ข้อดี

  • การกระจายความเสี่ยง: ด้วยเงินลงทุนที่ไม่มากนัก คุณสามารถเป็นเจ้าของสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว

  • มีผู้เชี่ยวชาญดูแล: มีผู้จัดการกองทุนและทีมนักวิเคราะห์มืออาชีพคอยติดตามสภาวะตลาดและตัดสินใจลงทุนแทนเราตลอดเวลา

  • สภาพคล่องสูง: กองทุนเปิดส่วนใหญ่สามารถทำรายการซื้อขายได้ทุกวันทำการ ทำให้สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายเมื่อต้องการ

  • ใช้เงินลงทุนน้อย: หลายกองทุนอนุญาตให้เริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินเพียงหลักร้อยหรือหลักพันบาท ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้

  • ความหลากหลาย: มีนโยบายการลงทุนให้เลือกมากมาย ตั้งแต่เสี่ยงต่ำสุดไปจนถึงเสี่ยงสูงสุด ทำให้สามารถจัดพอร์ตให้ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายการลงทุนได้


ข้อเสีย

  • ค่าธรรมเนียม: การมีผู้เชี่ยวชาญมาบริหารจัดการย่อมมีค่าใช้จ่าย ซึ่งค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะถูกหักออกจากผลตอบแทนของเรา

  • ไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง: นักลงทุนไม่สามารถเลือกซื้อหรือขายหุ้นรายตัวในพอร์ตของกองทุนได้ด้วยตนเอง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน

  • ความเสี่ยงด้านผู้จัดการกองทุน: หากผู้จัดการกองทุนตัดสินใจผิดพลาด หรือมีสไตล์การลงทุนที่ไม่สอดคล้องกับสภาวะตลาด ก็อาจส่งผลให้กองทุนมีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าที่คาดหวังได้

  • ภาระภาษี: แม้ว่ากำไรจากการขายหน่วยลงทุน (Capital Gain) ส่วนใหญ่จะได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา แต่เงินปันผลที่ได้รับจากกองทุน (Dividend) จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%

ค่าธรรมเนียมกองทุนรวมมีอะไรบ้าง? ค่าใช้จ่ายแฝงที่ต้องระวัง

ค่าธรรมเนียมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อผลตอบแทนระยะยาว แต่กลับเป็นเรื่องที่นักลงทุนมือใหม่มักมองข้าม โดยค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ


1.ค่าธรรมเนียมที่เก็บจากนักลงทุนโดยตรง

เป็นค่าธรรมเนียมที่เราจะเห็นและต้องจ่ายทุกครั้งที่ทำธุรกรรม

  • ค่าธรรมเนียมการขาย: เก็บเมื่อเรา “ซื้อ” หน่วยลงทุน เช่น หากค่าธรรมเนียม 1.5% เมื่อเราลงทุน 10,000 บาท เงินที่จะเข้าไปลงทุนจริงคือ 9,850 บาท

  • ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน: เก็บเมื่อเรา “ขาย” หน่วยลงทุนคืนให้กับ บลจ. ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยมในปัจจุบัน

  • ค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนกองทุน: เก็บเมื่อเราย้ายเงินลงทุนจากกองทุนหนึ่งไปยังอีกกองทุนหนึ่งภายใต้ บลจ. เดียวกัน


2.ค่าธรรมเนียมที่เก็บจากกองทุน

เป็นค่าใช้จ่ายที่ซ่อนอยู่ใน NAV เพราะจะถูกทยอยหักออกจากมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนทุกวันโดยอัตโนมัติ ทำให้เราไม่รู้สึกว่ากำลังจ่ายอยู่ แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลตอบแทน

  • ค่าธรรมเนียมการจัดการ: เป็นเหมือนค่าจ้างให้ บลจ. บริหารจัดการกองทุนให้เรา

  • ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์: เป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างสถาบันการเงิน (มักจะเป็นธนาคาร) มาทำหน้าที่ดูแลและเก็บรักษาทรัพย์สินของกองทุน เพื่อให้แน่ใจว่า บลจ. บริหารกองทุนตามนโยบายที่กำหนดไว้

  • ค่าธรรมเนียมนายทะเบียน: เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำและดูแลข้อมูลทะเบียนของผู้ถือหน่วยลงทุนทั้งหมด


ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะถูกรวมและแสดงไว้ใน Fund Fact Sheet ภายใต้ชื่อ Total Expense Ratio (TER) หรืออัตราส่วนค่าใช้จ่ายรวม ซึ่งเป็นตัวเลขสำคัญที่นักลงทุนต้องเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจลงทุน


ค่าธรรมเนียมเพียง 1-2% ต่อปีเป็นตัวเลขที่ไม่มากนัก แต่ในระยะยาว พลังของผลตอบแทนทบต้นจะทำให้ส่วนต่างของค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อยส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนสุดท้ายอย่างมหาศาล


หลายคนอาจมองว่าค่าธรรมเนียมเพียง 1-2% ต่อปีเป็นตัวเลขที่ไม่มากนัก แต่ในระยะยาว พลังของผลตอบแทนทบต้นจะทำให้ส่วนต่างของค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อยส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนสุดท้ายอย่างมหาศาล


ลองนึกภาพกองทุน A และ B ที่มีนโยบายการลงทุนเหมือนกันทุกประการ แต่กองทุน A มี TER ที่ 2.5% ต่อปี ในขณะที่กองทุน B มี TER เพียง 1.5% ต่อปี ส่วนต่าง 1% นี้ เมื่อเวลาผ่านไป 20-30 ปี อาจทำให้มูลค่าพอร์ตสุดท้ายของคุณแตกต่างกันหลายสิบเปอร์เซ็นต์


ดังนั้น การเลือกกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมสมเหตุสมผลจึงเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว

บทสรุป

กองทุนรวม ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ทรงพลัง เข้าถึงง่าย และเหมาะสำหรับนักลงทุนทุกระดับ สำหรับปี 2569 ซึ่งเป็นปีที่คาดว่าจะเต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาส การจัดพอร์ตการลงทุนโดยอาศัยกองทุนรวมที่สอดรับกับเมกะเทรนด์สำคัญของโลก จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว


การลงทุนในกองทุนรวมถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเยี่ยมในการสร้างความมั่งคั่งระยะยาว อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ การศึกษาเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ เช่น CFD ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งที่ Mitrade เรามีแพลตฟอร์มที่ทันสมัยและแหล่งข้อมูลครบครันเพื่อสนับสนุนนักลงทุนในทุกย่างก้าว


mitrade
💸 ห้ามพลาด!!! 💸

แจกโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์! 🎁🎁🎁


ค่าคอมฯ 0 สเปรดต่ำ! เงินฝากขั้นต่ำ $50 🤑

ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรี 💰

การลงทุนมีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน
คำถามที่พบบ่อย

การลงทุนแบบ DCA คืออะไร? จำเป็นต้องทำไหม?

DCA ย่อมาจาก Dollar-Cost Averaging คือ กลยุทธ์การทยอยลงทุนเป็นงวดๆ ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันอย่างสม่ำเสมอ วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนมือใหม่ เพราะช่วยสร้างวินัยในการออมและการลงทุน อีกทั้งยังช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุน ทำให้ลดความเสี่ยงจากการเข้าลงทุนผิดจังหวะในช่วงที่ตลาดราคาสูงได้

ซื้อกองทุนแล้วขาดทุน ควรทำอย่างไร? ขายทิ้งหรือซื้อเพิ่ม?

หากปัจจัยพื้นฐานของกองทุนยังคงดี นโยบายการลงทุนยังสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของเรา การที่ราคาปรับตัวลงอาจเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยซื้อเพิ่ม แต่หากพบว่าปัจจัยพื้นฐานของกองทุนเปลี่ยนไป หรือมีกองทุนอื่นในกลุ่มเดียวกันที่ทำผลงานได้ดีกว่าอย่างสม่ำเสมอ ก็อาจพิจารณาขายหรือสับเปลี่ยนไปยังกองทุนที่ดีกว่า

กองทุนที่มี NAV สูงๆ แปลว่าแพง ไม่น่าซื้อแล้วใช่หรือไม่?

ไม่จริงเสมอไป NAV ที่สูงเป็นเพียงภาพสะท้อนของผลการดำเนินงานที่ดีในอดีตที่ผ่านมา ไม่ได้หมายความว่ากองทุนนั้นแพงแล้ว การตัดสินใจลงทุนไม่ควรดูที่ตัวเลข NAV เพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาจากนโยบายการลงทุน โอกาสเติบโตของสินทรัพย์ที่กองทุนถือครองในอนาคต และผลการดำเนินงานเมื่อเทียบกับกองทุนในกลุ่มเดียวกัน

*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

goTop
quote
บทความที่เกี่ยวข้อง
placeholder
วิธีดูกราฟราคาทองที่นักลงทุนทองคำต้องรู้ ฉบับมือใหม่ต้องอ่านบทความนี้จะแนะนำวิธีดูกราฟราคาทองสำหรับมือใหม่ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มตลาด และระบุจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 28 ต.ค. 2024
บทความนี้จะแนะนำวิธีดูกราฟราคาทองสำหรับมือใหม่ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มตลาด และระบุจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม
placeholder
หาเงินออนไลน์ ถูกกฎหมาย! แนะนำ 9 วิธีหาเงินออนไลน์การหาเงินหลักล้านไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปในยุคที่ไร้พรมแดนและทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดียได้อย่างเท่าเทียมกัน ห้ามพลาดกับวิธีหาเงินออนไลน์ทั้ง 9 แบบที่เรานำมาฝาก
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 11 ก.ย. 2024
การหาเงินหลักล้านไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปในยุคที่ไร้พรมแดนและทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดียได้อย่างเท่าเทียมกัน ห้ามพลาดกับวิธีหาเงินออนไลน์ทั้ง 9 แบบที่เรานำมาฝาก
placeholder
ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คืออะไร และ มีอะไรบ้างต้นทุนในธุรกิจ ทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ บทความนี้ เรามาทำความรู้จักกันว่า ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คืออะไร และมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 20 ก.ย. 2024
ต้นทุนในธุรกิจ ทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ บทความนี้ เรามาทำความรู้จักกันว่า ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คืออะไร และมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย
placeholder
10 อันดับแอพหาเงินสร้างรายได้เสริมปี 2025ยังจำเป็นอยู่ไหมกับการทำงานกินเงินเดือนที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ปัจจุบันที่ใคร ๆ ต่างก็นั่งทำงานหารายได้จากหลายช่องทางต้องบอกว่าหมดยุคแล้วกับตอกบัตรเข้าออฟฟิศ และนี่คือทั้งหมดของแอพหาเงินที่เรารวบรวมมาเป็นตัวเลือกสำหรับการสร้างรายได้แบบง่าย ๆ ที่บ้านสำหรับปีนี้ที่เรานำมาฝากกัน
ผู้เขียน  MitradeInsights
6 เดือน 23 วัน จันทร์
ยังจำเป็นอยู่ไหมกับการทำงานกินเงินเดือนที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ปัจจุบันที่ใคร ๆ ต่างก็นั่งทำงานหารายได้จากหลายช่องทางต้องบอกว่าหมดยุคแล้วกับตอกบัตรเข้าออฟฟิศ และนี่คือทั้งหมดของแอพหาเงินที่เรารวบรวมมาเป็นตัวเลือกสำหรับการสร้างรายได้แบบง่าย ๆ ที่บ้านสำหรับปีนี้ที่เรานำมาฝากกัน
placeholder
เทรดเดอร์ (Trader)คืออะไร มีกี่ประเภท และวิธีทำกำไรที่ดีที่สุดมีอะไรบ้างหลายคนคงคุ้นหูกับคำว่าเทรดเดอร์หรือนักเทรดมาสักระยะและอาจยังไม่เข้าใจที่มาของคำนี้อย่างลึกซึ้งเท่าไหร่นัก ดังนั้นในบทความนี้จะมาอธิบายถึงคำว่า เทรดเดอร์ (Trader) และประเภทที่แตกต่างกันรวมทั้งใครกันแน่ที่เทรดฟอเร็กซ์เก่งที่สุดในโลกโดยจะมาสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ กันที่นี่ที่เดียว
ผู้เขียน  MitradeInsights
1 เดือน 22 วัน พุธ
หลายคนคงคุ้นหูกับคำว่าเทรดเดอร์หรือนักเทรดมาสักระยะและอาจยังไม่เข้าใจที่มาของคำนี้อย่างลึกซึ้งเท่าไหร่นัก ดังนั้นในบทความนี้จะมาอธิบายถึงคำว่า เทรดเดอร์ (Trader) และประเภทที่แตกต่างกันรวมทั้งใครกันแน่ที่เทรดฟอเร็กซ์เก่งที่สุดในโลกโดยจะมาสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ กันที่นี่ที่เดียว
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์