Mitrade Insights ทุ่มเทเพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลทางการเงินที่ครบถ้วน ทันเวลา และมีคุณค่ามากที่สุด เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสถานการณ์ตลาดและคว้าโอกาสในการซื้อขายได้ทันท่วงที
    2021
    ผู้ให้บริการข่าวและการวิเคราะห์ที่ดีที่สุด
    FxDailyInfo
    2022
    แหล่งข้อมูลการศึกษา Forex ที่ดีที่สุดทั่วโลก
    International Business Magazine

    ซื้อหุ้น APPLE ยังไง? สเต็ปการซื้อหุ้นแอปเปิ้ลแบบละเอียด

    5 นาที
    อัพเดทครั้งล่าสุด 19 ก.ค. 2566 10:01 น.

    ถ้าพูดถึงหุ้น APPLE น่าจะเป็นหุ้นในฝันตัวหนึ่งของนักลงทุนที่ยังคงสามารถเติบโตได้ในทุกสภาวะการณ์ของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสาวก APPLE ด้วยแล้วก็คงยิ่งไม่อยากพลาดโอกาสที่จะมีหุ้นตัวนี้ติดพอร์ตเอาไว้บ้างไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ดีการซื้อหุ้น APPLE ที่เทรดในตลาดหุ้นอเมริกานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับนักลงทุนไทย แต่เราก็ยังพอจะมีวิธีให้สามารถทำกำไรจากหุ้นตัวนี้ได้ในวิธีที่ไม่ซับซ้อนอยู่บ้างเหมือนกัน และคราวนี้เราจะมาชวนคุยกับประเด็นจะซื้อหุ้น APPLE ยังไงให้ทำกำไรได้ด้วยวิธีการเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนกัน

    ซื้อหุ้น Apple ยังไง? แนะนำ 2 แนวทางในการซื้อหุ้น Apple

    1. ซื้อหุ้น Apple รายตัวโดยตรง

    วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ลงทุนในหุ้น APPLE โดยตรงที่สุด ข้อดีของการซื้อหุ้น Apple รายตัวโดยตรงคือนักลงทุนมีโอกาสได้ผลตอบแทนได้อย่างดี แต่ต้องทำการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท Apple ติดตามผลการดำเนินงาน และอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ดีและต้องใช้เวลาพอสมควร


    ทำให้วิธีนี้จะเหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์การเล่นหุ้นมาบ้างแล้วและมีความสามารถในการรับความเสี่ยงสูงมากกว่า


    2. ซื้อหุ้น Apple ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ติดตามดัชนี NASDAQ 100 และ S&P 500

    Apple เป็นองค์ประกอบสำคัญของดัชนี NASDAQ 100 และ S&P 500 ซึ่งหมายความว่าเราสามารถลงทุนหุ้น Apple ผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ติดตามดัชนี NASDAQ 100 และ S&P 500 เช่น CFD(สัญญาซื้อขายส่วนต่าง)


    ลงทุนดัชนี NASDAQ 100 และ S&P 500 ผ่าน CFD สามารถช่วยสร้างสมดุลของความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุน เนื่องจากการแกว่งตัวของตลาดมักจะผันผวนน้อยกว่าในดัชนีเมื่อเทียบกับหุ้นรายตัว แต่ผลตอบแทนอาจจะไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้น Apple รายตัวโดยตรง


    นอกจากนี้แล้ว การลงทุนหุ้น Apple ผ่านดัชนี CFD ยังช่วยลดความซับซ้อนในการลงทุนได้ เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากเกินในการติดตามติดตามผลการดำเนินงานของบริษัท Apple

     

    ทำให้วิธีนี้จะเหมาะกับนักลงทุนมือใหม่หรือนักลงทุนที่ไม่อยากเสี่ยงสูงมากมากกว่า


    โดยนักลงทุนสามารถเลือกเทรดหุ้น Apple รายตัวโดยตรงหรือผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ติดตามดัชนี NASDAQ 100 และ S&P 500 กับโบรกเกอร์ Mitrade ได้ ต่อมาเราจะยกตัวอย่างกับแพลตฟอร์ม Mitrade เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจขั้นตอนการซื้อเทรดหุ้น Apple ให้มากขึ้น 

    ตัวอย่างขั้นตอนการซื้อหุ้น Apple กับโบรกเกอร์ MiTrade

    1 เปิดบัญชี

    การเปิดบัญชีกับ MiTrade ทำได้โดยการใช้เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล หรือบัญชี Google/FB/APPLE เพื่อสมัครขอไอดีการซื้อขาย หลังจากนั้นลงทะเบียนข้อมูลส่วนตัวพร้อมทำแบบประเมินความเหมาะสมในการลงทุนและยืนยันตัวตนตามขั้นตอนของโบรกเกอร์ให้เรียบร้อย เมื่อครบจบก็สามารถได้รับการยืนยันและเปิดบัญชีได้ในแทบจะทันที


    นอกจากนี้ MiTrade ยังมีบัญชีทดลอง (Demo Account) สำหรับการซื้อขายที่มาพร้อมเงินเสมือนจริง $50,000 ดอลล่าร์เพื่อให้นักลงทุนฝึกฝนทักษะการเทรดและคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มการเทรดของ MiTrade ให้มากขึ้น 


    สำหรับการเปิดบัญชีทดลองกับ MiTrade เรายังไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลส่วนตัวกับทางเว็บไซต์ ไม่ต้องทำแบบประเมินความเหมาะสม ทั้งยังไม่ต้องยืนยันตัวตนใด ๆ เพียงแค่ลงทะเบียนด้วยเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่อีเมล หรือเชื่อมต่อกับบัญชี Google/FB/APPLE ก็สามารถสร้างบัญชีทดลองได้เลยในทันที หลังจากนั้นหากเราพร้อมและต้องการเปิดบัญชีซื้อขายจริงก็สามารถอัปเดทบัญชีทดลองให้กลายเป็นบัญชีซื้อขายจริงได้เลย เพียงเพิ่มข้อมูลที่จำเป็นลงไป โดยไม่ต้องขอเปิดบัญชีใหม่แต่อย่างใด 



    2 ฝากเงินเข้าบัญชี

    หลังจากที่สร้างบัญชีเทรดจริงได้เรียบร้อยแล้วก็สามารถฝากเงินเข้าบัญชีเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับเริ่มซื้อขายหุ้น APPLE ได้โดยผ่านหลากหลายช่องทางที่ MiTrade สนับสนุน คือ Skrill และ ธนาคารออนไลน์เจ้าต่าง ๆ ของไทยผ่าน QR Code/ Online Banking ซึ่งธนาคารที่ MiTrade รองรับการทำธุรกรรม ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกร ธนาคารกรุงไทย ธนาคาร TMB ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงศรี โดยที่เงินฝากจะเข้าบัญชีได้ทันที


    นอกจากนี้ MiTrade ยังไม่มีค่าธรรมเนียมสำหรับการฝากเงินแต่อย่างใด และสามารถถอนเงินฟรีได้เดือนละ 1 ครั้งสำหรับการถอนเงินมูลค่าต่ำกว่า $10,000 ดอลลาร์ และฟรีเดือนละ 2 ครั้งสำหรับการถอนเงินที่มีมูลค่ามากกว่า $10,000 ดอลลาร์ขึ้นไป จากนั้นจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมการถอนเงินเพิ่มครั้งละ $5 ดอลลาร์


    ฝากเงินเข้าบัญชี Mitrade



    3 เปิดคำสั่งซื้อขาย

    เมื่อบัญชีและเงินทุนพร้อมในบัญชีเรียบร้อยแล้ว เราสามารถค้นหาหุ้น APPLE ได้ด้วยการกรอกสัญลักษณ์ ‘AAPL’ หรือชื่อ “แอปเปิ้ล” แล้วก็เปิดคำสั่งซื้อหุ้น APPLE ได้เลยในทันที 


    การเทรด CFD ที่ MiTrade ยังอนุญาตให้นักลงทุนเปิดคำสั่งขายได้ โดยคำสั่งนี้จะทำหน้าที่สำหรับทำกำไรในทิศทางราคาขาลง ซึ่งหากคาดว่าราคา AAPL จะลดลง นักลงทุนสามารถเปิดคำสั่ง Short เพื่อสร้างกำไรได้ด้วยเทคนิคการขายแพง-ซื้อถูก แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่ควรทำด้วยระมัดระวัง


    นอกจากนี้ MiTrade ยังเสนอเลเวอเรจให้นักลงทุนได้เลือกใช้เพื่อขยายความสามารถในการทำกำไร โดยนักลงทุนสามารถเลือกใช้ตามความต้องการและประสบการณ์เทรด จากที่ MiTrade เสนออัตราเลเวอเรจไว้ที่ เรจ 2/5/10/20 เท่า (2x/5x/10/20x) แต่แม้ว่าเลเวอเรจจะช่วยขยายโอกาสในการทำกำไรและเรียกร้องเงินลงทุนไม่มาก แต่ก็ตามมาด้วยความเสี่ยงที่สูงขึ้นอันมาจากความเสี่ยงด้านเงินทุนและความเสี่ยงจากการถูกบังคับปิดสัญญา (Force Sell) โดยยิ่งใช้เลเวอเรจสูงความเสี่ยงก็ยิ่งสูงตามไปด้วย ดังนั้นเราจึงเสนอให้นักลงทุนมือใหม่หรือนักลงทุนที่มีประสบการณ์การเทรดน้อยปิดการใช้ตัวเลือกนี้ไปก่อน นั่นคือปรับเลเวอเรจเป็น 1X และเมื่อมีประสบการณ์พอสมควรแล้วจึงค่อยปรับใช้ค่าเลเวอเรจให้สูงขึ้นได้ 


    เปิดคำสั่งซื้อขายหุ้น AAPL กับ Mitrade


    ด้านการส่งคำสั่งซื้อขาย ที่ MiTrade คุณสามารถเปิดคำสั่งซื้อขายได้ 2 ประเภท นั่นคือ คำสั่งตามราคาตลาด (Market Order) และ คำสั่งที่จำกัดราคา (Limit Order) ซึ่ง 


    -คำสั่งตามราคาตลาด (Market Order) คือ การส่งคำสั่งซื้อขายที่ราคาตลาดทันที ซึ่งคำสั่งนี้จะทำให้นักลงทุนได้รับการยืนยันคำสั่งซื้อขายทันที แต่ราคาที่ได้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามราคาตลาดในขณะนั้น เหมาะกับการเทรดในระยะสั้นที่ต้องการถือคำสั่งไว้ในทันที 


    -คำสั่งแบบจำกัดราคา (Limit Order) เป็นการเปิดสถานะรอค้างไว้ในระบบ ซึ่งแม้จะต้องรอการยืนยันคำสั่งและมีโอกาสที่คำสั่งจะไม่ถูกยืนยัน แต่ก็แลกมาด้วยการที่นักลงทุนสามารถกำหนดราคาที่ต้องการซื้อขายได้อย่างแน่นอนและมักจะได้ราคาที่ดีสำหรับการเปิดสถานะนั้น ๆ


    สำหรับเครื่องมือจัดการความเสี่ยง MiTrade เสนอครื่องมือการจัดการความเสี่ยงให้ใช้ได้ฟรี ทั้งคำสั่ง Take Profit, Stop Loss, Trailing Stop รวมถึงระบบป้องกันยอดเงินคงเหลือติดลบซึ่งช่วยให้นักลงทุนควบคุมความเสี่ยงได้มากขึ้น และหากเปิดคำสั่งเรียบร้อยแล้วต้องการแก้ไขทีหลังก็สามารถทำได้


    เครื่องมือจัดการความเสี่ยง Stop Loss ของ Mitrade


    อย่างไรก็ดีเนื่องจากความต่างของเวลาในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาทำให้เวลาซื้อขายหุ้นในช่วงเวลาที่ตลาดสหรัฐเปิดตอนเช้า จะตรงกับเวลาไทยตอนกลางคืน ดังนั้นนักลงทุนจึงจำเป็นต้องสังเกตช่วงเวลาซื้อขายที่แตกต่างไปจากปกติอยู่บ้าง


    การซื้อขายหุ้น AAPL กับ MiTrade ไม่มีการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ทั้งยังมีค่าเสปรดต่ำ จึงช่วยลดต้นทุนในการซื้อขาย หากกรณีที่ใช้เลเวอเรจ 1 เท่าจะไม่มีการคิดค่า Swap แต่หากมีการถือคำสั่งข้ามคืน MiTrade จะมีการเก็บค่าธรรมเนียมการถือคำสั่งข้ามคืน (Swap) เล็กน้อยที่ประมาณ 0.02% 


    4 เฝ้ารอและปิดคำสั่ง

    หลังจากเปิดคำสั่งซื้อขายแรกเรียบร้อยแล้ว เราจำเป็นต้องเฝ้ารอราคาและปฏิบัติตามกลยุทธ์การลงทุนที่ได้วางเอาไว้ เมื่อระดับราคาปรับมาจนถึงจุดที่เราพอใจก็ปิดคำสั่งและรับรู้ผลกำไร/ขาดทุนจากสถานะนั้น

     

    แต่เพื่อให้ประหยัดเวลาและสามารถควบคุมราคาที่ต้องการส่งคำสั่งได้อย่างถูกต้อง เรายังสามารถตั้งระดับราคาสำหรับปิดสถานะด้วยคำสั่ง Take Profit, Stop Loss, Trailing Stop สถานะนั้น ๆ ก็จะถูกปิดและรับรู้เป็นผลกำไร/ขาดทุนแบบอัตโนมัติ

    เทรดหุ้น Apple รายตัวหรือเทรดหุ้น Apple ผ่านดัชนีหุ้นกับ Mitrade ↓↓↓


    mitrade
    dago เทรดหุ้นและดัชนีหุ้นต่างประเทศอย่างง่ายดาย
    dago เงินทุนมีความปลอดภัยระดับสูง
    dago ฝากถอนเงินฟรีและรวดเร็ว
    dago ฟรีเงินเสมือนจริง $50,000 ดอลล่าร์
    ตราสารอนุพันธ์อาจจะทำให้คุณขาดทุนทั้งหมด โปรดอ่านพิจรนา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงของเรา นำเสนอ โดย Mitrade Holding Ltd.SIB License 1612446

    ทำความรู้จักบริษัท APPLE

    บริษัท APPLE - Apple Inc. (AAPL) เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เริ่มก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1976 โดยสองผู้ก่อตั้งอย่าง Stephen Wozniak และ Steve Jobs ที่ภายหลังกลายเป็นตำนานให้คนกล่าวถึงไม่รู้จบ และในปี 2018 บริษัทนี้ก็ได้กลายมาเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และปัจจุบันมูลค่าตามราคาตลาดของ APPLE ก็พุ่งทยานเกิน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปเรียบร้อยแล้ว


    แรกเริ่มเดิมทีผลิตภัณฑ์หลักของ APPLE มาจากการขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Mac ที่รันบนระบบปฏิบัติการ Macintosh โดยมีคู่แข่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในตลาดอย่าง Intel, IBM, Microsoft 


    แม้ในช่วงเริ่มแรกและถัดมาในอีกเป็นสิบปี APPLE จะเผชิญภาวะการแข่งขันและการเติบโตแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่การกลับมาของสตีฟ จอบส์ในปลายทศวรรษที่ 1990s ก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันในตลาดของ APPLE ให้เข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น โดยปรับดีไซน์ของผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Mac เสียใหม่ และนำระบบ Mac OS มาใช้จนได้เป็น iMac ในปี 1998 และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโฉมหน้าของบริษัทนี้ไปอย่างก้าวกระโดด


    ปี 2001 APPLE เริ่มออกผลิตภัณฑ์ตัวอื่นที่นอกเหนือจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล iPod เป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่เข้ามาตีตลาด Sony Walkman จากนั้นก็ปิดตัว iTune Store, Macbook Pro, ตามมาด้วย iPhone ในปี 2007 ซึ่งสร้างปรากฏการณ์เปลี่ยนโฉมหน้าวงการโทรศัพท์มือถือไปอย่างสิ้นเชิง


    การเติบโตของรายได้ APPLE ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกนั้นอ้างอิงจากการขายอุปกรณ์อย่าง iPhone เป็นหลัก อย่างไรก็ดีในช่วงหลังยอดขายทั้ง iPhone และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ นั้นเริ่มตกลง ทางบริษัทจึงเริ่มมองหาแหล่งรายได้ใหม่ที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของผลกำไรให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีของโลกต่อไป และการให้บริการทางดิจิทัลก็กลายมาเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่สำคัญ


    ในปี 2019 แม้บริษัทจะเผชิญอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย แต่โดยรวมแล้วบริษัทก็ยังประสบความสำเร็จในการกระตุ้นการเติบโตของกำไรจากการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากบริการ ในขณะที่ช่วงปีก่อนหน้ายอดขายทั้ง iPhone และ Macbook ต่างก็ไม่ได้เป็นไปตามคาด


    ในไตรมาสแรกของปี 2020 APPLE กลายเป็นบริษัทที่ได้ชื่อว่าสามารถสร้างรายได้และผลกำไรได้สูงที่สุด นั่นคือ $91.8 พันล้านดอลลาร์ และ $22.2 พันล้านดอลลาร์ ทั้งยังสามารถปิดผลงานสิ้นปีได้ด้วยผลกำไร $274.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 และตามด้วยผลกำไร $365.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021

    การวิเคราะห์หุ้น APPLE


    ราคา  ราคาหุ้น AAPL เรียลไทม์   


    สำหรับการเลือกซื้อหุ้นสักตัวนั้นลำพังแค่ความชอบและอาศัยการทำความรู้จักหุ้นเพียงผิวเผินนั้นไม่พอ เพราะนั่นอาจทำให้เราถูกหลอกจากภาพลักษณ์ที่ดูดีได้ แต่การนำเครื่องมือการวิเคราะห์หุ้นเข้ามาจับและประเมินความเป็นไปได้นั้นจะช่วยลดความผิดพลาดตรงนี้ลงไปได้ และเครื่องมือด้านการวิเคราะห์หุ้นที่เรานิยมใช้ก็มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ นั่นคือ การวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และการวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) 


    ● การวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน (Fundamental Analysis) 

    เป็นการพิจารณาพื้นฐานของบริษัทเพื่อให้เห็นถึงโครงสร้างรายได้ ความสามารถในการทำกำไร รวมถึงสถานะความมั่นคงทางการเงินของบริษัท ซึ่งสำหรับ APPLE นั้นมีจุดน่าสนใจสำหรับการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานหลายส่วน ได้แก่


    1) การวิเคราะห์กิจการและโครงสร้างรายได้

    การวิเคราะห์กิจการและโครงสร้างรายได้จะช่วยให้เราเห็นที่มาของรายได้จนสามารถคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของรายได้บริษัทต่อไปได้ในอนาคต สำหรับรายได้ของ APPLE เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดนับตั้งแต่ออกวางขาย iPhone ซึ่งทำให้ในปี 2008 ฉุดรายได้ของ APPLE ให้พุ่งทยานขึ้นจาก $37.4 พันล้านดอลลาร์ เป็น $65 พันล้านดอลลาร์ในปี 2010 หรือ 2 เท่าในเวลาเพียง 2 ปี จากนั้นเริ่มเปิดตัว iPad ในปี 2010, เปิดตัว Apple Watch และ Apple Pencil ในปี 2015 และยังเข้าสู่ตลาดหูฟังไร้สายด้วย AirPods ในปีต่อมา 


    ปัจจุบันช่องทางรายได้ของ APPLE สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ iPhone, iPad, Mac, อุปกรณ์อื่น ๆ และบริการต่าง ๆ ซึ่งทั้ง 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ทำส่วนแบ่งรายได้ในไตรมาส 3/2021 ให้กับบริษัทเป็นสัดส่วน 48.6%, 9.0%, 10.1% 10.8% และ  21.5% ตามลำดับ


    และทั้งปี 2021 (ปิดงบสิ้นปีในเดือนกันยาของทุกปี) APPLE ยังสามารถทำกำไรได้กว่า $365.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน และเป็นผลกำไรสูงที่สุดเท่าที่บริษัทเคยทำได้ อันเนื่องมาจากการตอบรับและยอดขาย iPhone 13 ที่เพิ่งเปิดตัวไปในเดือนกันยายนที่กลับมาดึงให้ APPLE กลับมาทวงอันดับสองจาก Xiaomi ในฐานะผู้ครองตลาดโทรศัพท์มือถือเป็นอันดับสองรองจาก Samsung 


    รายได้ของ APPLE หากคิดจากกลุ่มประเทศ APPLE จะมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากอเมริกาสูงที่สุดคิดเป็นกว่า 45% ของรายได้ทั้งหมด ตามมาด้วย ยุโรป จีน ญี่ปุ่น และเอเชียแปซิฟิกตามลำดับ ซึ่งแม้ในช่วง 3 – 4 ปีหลังมานี้รายได้ของ APPLE ในประเทศจีนจะมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน แต่กลับเพิ่มขึ้นได้ในอเมริกา ยุโรป และเอเชียแปซิฟิกที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


    2) การวิเคราะห์สัดส่วนทางการเงินและความแข้มแข็งของสถานะการเงิน

    สำหรับการวิเคราะห์ตัวเลขและสัดส่วนการเงินจะทำให้เราได้เห็นภาพสถานะและความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และในอีกส่วนหนึ่งก็ยังสามารถใช้สัดส่วนเหล่านี้ประเมินมูลค่าหาความถูกแพงของราคาหุ้นที่เราจะเข้าซื้อได้อีกด้วย


    ปัจจุบันหุ้น APPLE มีมูลค่าตามราคาตลาด $2.48 ล้านล้านดอลลาร์


    -กำไรปี 2021 รายงานที่ $365.82 พันล้านดอลลาร์ เป็นสัดส่วนที่เติบโตสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมีการเติบโตของรายได้ในไตรมาสล่าสุดเพิ่มขึ้นกว่า 62.20% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว


    -ส่วนแบ่งรายได้ (Profit Margin) ปี 2021 ที่ 25.88% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง แสดงว่าในยอดขายที่ทำได้มีส่วนแบ่งรายได้เป็นสัดส่วนที่สูงพอสมควร


    -เงินสด (Total Cash) APPLE มีกระแสเงินสดในมือ $62.64 พันล้านดอลาร์


    -สินทรัพย์ (Asset) APPLE มีสินทรัพย์รวม $329 พันล้านดอลลาร์


    -หนี้สินรวม (Total Debt) APPLE มีหนี้สินรวม $136.52 พันล้านดอลลาร์


    -อัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียน (Current Ratio) 1.08 เป็นสัดส่วนที่เปรียบเทียบระหว่างสินทรัพย์หมุนเวียนกับหนี้สินหมุนเวียน ซึ่งหมายความว่าในระยะสั้น APPLE มีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สินและไม่มีความเปราะบางทางการเงินในระยะสั้น


    ที่ราคา $151.59 ต่อหุ้น APPLE เราสมารถประเมินมูลค่าหุ้น APPLE ได้แบบคร่าว ๆ ด้วยสัดส่วนทางการเงินจาก


    -ราคาต่อกำไรสุทธิ (Price per Earning – PE) รายงานที่ 26.74 นั่นหมายความว่าการถือหุ้น APPLE 26.74 ปีจะทำให้นักลงทุนเริ่มคุ้มทุนและทำกำไรจากการถือหุ้นนี้ได้ ซึ่งนับเป็นมูลค่าที่ไม่สูงสำหรับหุ้นนวัตกรรมและเติบโตอย่าง APPLE


    -กำไรต่อหุ้น (EPS – Earning per Share) รายงานที่ $5.61 หมายความว่าในการถือหุ้น APPLE หุ้น สามารถสร้างผลกำไรได้ $5.61 ดอลลาร์สหรัฐ


    -ราคาต่อกำไรสุทธิเทียบการเติบโต (Price/Earning to Growht -PEG Ratio) เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีรายงานที่  2.04 ซึ่งสัดส่วนทางการเงินตัวนี้หมายความว่าความคุ้มค่าในการถือหุ้นจาก PE เมื่อเทียบกับการเติบโตของรายได้แล้วเพียงพอจะชดเชยความแพงของ PE นั้นได้หรือเปล่า ซึ่งแม้ค่า PE มีค่ามาก แต่ การเติบโตของรายได้สูงเช่นกัน ค่า PEG จะไม่สูง และยังคุ้มค่ากับการลงทุนอยู่


    -อัตราเงินปันผล (Dividend Yield) รายงานที่ 0.59% นั่นหมายความว่าการถือหุ้น APPLE ด้วยเงิน $100 จะมีการจ่ายปันผลกลับมา $0.59 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งสำหรับหุ้น APPLE ราคา $151.59 ก็จะมีการจ่ายปันผลโดยประมาณต่อหุ้นราว $0.89 ดอลลาร์ต่อหุ้น

    ● การวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) 

    เป็นการวิเคราะห์โดยการพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของราคาเป็นหลัก เครื่องมือพื้นฐานที่นักวิเคราะห์เชิงเทคนิคจำเป็นต้องรู้จักและทำความคุ้นเคยเอาไว้ก็คงหนีไม่พ้นกราฟราคา ซึ่งแม้จะมีอยู่หลากหลายประเภท เช่น กราฟแท่งเทียน กราฟเส้น บาร์ชาร์ท ก็สามารถใช้ได้ทั้งหมดตามความเชี่ยวชาญของแต่ละคน


    การวิเคราะห์เชิงเทคนิคนี้จะเป็นการใช้ข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตเพื่อประเมินและคาดการณ์การแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต โดยอาศัยการประเมินแรงซื้อแรงขายที่ก่อให้เกิดเป็นทิศทางราคาที่แสดงออกมาผ่านกราฟราคา ซึ่งมีวิธีการหลากหลายให้เลือกใช้เช่นกัน นั่นคือ


    1) วิเคราะห์จากรูปแบบกราฟราคา (Price Pattern)

    เป็นการใช้รูปแบบราคาที่มีการเรียงตัวแบบเป็นแบบแผน เพื่อพิจารณาและคาดการณ์แนวโน้มของราคาที่จะเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งเครื่องมือที่นิยมใช้สำหรับการวิเคราะห์ประเภทนี้คือกราฟแท่งเทียน โดยที่จะมีรูปแบบที่ใช้คาดการณ์การกลับตัวของราคาที่ใช้กราฟแท่งเทียน 1 แท่ง เช่น Morning Star/ Shooting Star, การใช้แท่งเทียน 3 แท่ง เช่น Three Black Crows, และใช้การเรียงตัวของกลุ่มแท่งเทียนเป็นรูปแบบราคา เช่น รูปแบบชายธง (Flag) ที่สามารถแสดงถึงการกลับตัวของราคาได้เช่นกัน


    2) วิเคราะห์จากอินดิเคเตอร์ (Chart Indicator) 

    เป็นการนำข้อมูลการซื้อขายในอดีตทั้งราคาปิด ปริมาณการซื้อขาย และระยะเวลามาคำนวณเป็นอินดิเคเตอร์หรือเครื่องชี้วัดประเภทต่าง ๆ เพื่อบ่งบอกข้อมูลบางอย่างให้กับผู้วิเคราะห์ ตัวอินดิเคเตอร์ที่สามารถนำมาใช้นั้นแบ่งได้ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ นั่นคือ


    -อินดิเคเตอร์บอกแนวโน้ม (Trend Indicator) เช่น Moving Average, ADX, MACD

    -อินดิเคเตอร์โมเมนตัม (Momentum Indicator) เช่น RSI, Stochastic Oscillator

    -อินดิเคเตอร์วัดความผันผวน (Volatility Indicator) เช่น ATR, Bollinger Band

    -อินดิเคเตอร์วัดปริมาณการซื้อขาย (Volume Indicator) เช่น OBV


    วิเคราะห์หุ้น Apple จากอินดิเคเตอร์ (Chart Indicator)


    สำหรับกราฟราคา Apple สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค เราอาจใช้รูปแบบของราคา (Price Pattern) จับได้ไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากยังไม่มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม จึงเป็นเพียงการทำจุดสูงสุดใหม่เรื่อย ๆ (Higher High) ขณะที่ยกจุดต่ำขึ้นเรื่อย ๆ (Higher Low) อันเป็นการยืนยันแนวโน้มขาขึ้น (Bullish) เท่านั้น 


    ในด้านของการใช้อินดิเคเตอร์เข้ามาพิจารณาร่วมกับกราฟราคาในระดับวันด้วยการใช้เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average) 5, 10, 20, 200 ร่วมกับ RSI จะพบว่าแม้การปรับตัวขึ้นของราคาจะมีการปรับฐานบ้าง แต่ก็สามารถรีบาวน์กลับได้ทุกครั้งที่ราคาปรับลงมาถึงเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (สีแดง) และยังคงแนวโน้มเป็นขาขึ้นอยู่ ขณะที่ RSI แกว่งตัวในที่สูง แต่ยังไม่ได้เข้าเขตซื้อมากเกินไป (Overbought) อย่างไรก็ดี เนื่องจากทิศทางของกราฟราคามีการทำจุดสูงสุดใหม่ตลอด ขณะที่ RSI ไม่ได้ยืนยันในทิศทางเดียวกัน โซนนี้จึงเป็นโซนที่ควรระวังในการซื้อเพราะอาจเกิด RSI Bearish Divergence ได้

    วิธีลดความเสี่ยงในการซื้อหุ้น Apple

    สำหรับความเสี่ยงในการซื้อขายหุ้น Apple ความเสี่ยงที่นักลงทุนจะต้องเผชิญในตลาดแน่ ๆ ก็คือความเสี่ยงในเชิงระบบที่หุ้นทุกตัวในตลาดต้องเผชิญเหมือนกัน, ความเสี่ยงด้านราคาที่เป็นการเปลี่ยนแปลงราคาเฉพาะตัวของหุ้นแต่ละตัว, และความเสี่ยงจากการใช้เครื่องมือเช่นเลเวอเรจ ซึ่งหากนักลงทุนต้องการปรับลดความเสี่ยงเหล่านี้ลง จำเป็นต้องมีการวางแผนเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้โดย


    - กระจายเงินลงทุนไปยังหุ้นหลาย ๆ ตัว เพราะการลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียวเป็นเหมือนการวางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว ที่หากตะกร้านั้นตกหรือเกิดอุบัติเหตุ เราก็จะสูญเสียไข่ทั้งหมดไปได้ แต่การกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังหุ้นหลาย ๆ ตัวจะเป็นเหมือนการกระจายไข่ลงไปในตะกร้าหลาย ๆ ใบ ที่หากใบหนึ่งเกิดอุบัติเหตุทำให้สูญเสียไข่ไป เราก็ยังมีไข่ในตะกร้าใบอื่น ๆ อยู่ ดังนั้นแม้หุ้น Apple จะมีโปรไฟล์ที่ดีมากและน่าลงทุนแค่ไหนก็ไม่ควรทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดไว้ในหุ้นตัวเดียว


    - เลือกหุ้นหรือสินทรัพย์ในพอร์ตที่ไม่มีความสัมพันธ์ของราคาแบบมีนัยสำคัญต่อกัน เพราะการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาแบบมีนัยสำคัญต่อกันไม่มีผลในการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน เช่น การเลือกซื้อหุ้นหลายตัว แต่ทุกตัวเป็นหุ้นกลุ่มน้ำมันและพลังงาน ก็อาจเกิดความที่เพิ่มขึ้นในพอร์ตการลงทุนได้ ดังนั้นแม้จะมีการกระจายพอร์ตก็ควรเลือกหุ้นที่มี Corelation ต่อกันต่ำ ซึ่งจะสามารถช่วยลดความผันผวนของมูลค่าเงินในพอร์ตการลงทุน และช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับพอร์ตการลงทุนได้


    - ใช้เลเวอเรจต่ำ แม้การใช้เลเวอเรจจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร แต่การใช้เลเวอเรจที่สูงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงสำหรับการลงทุนที่นอกจากจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านตลาดและราคาแล้ว ก็ยังต้องเผชิญความเสี่ยงด้านการบริหารจัดการเงินลงทุน (Money Management) และความเสี่ยงของการถูกบังคับขาย (Force Sell) ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงทำได้โดยการปรับค่าเลเวอเรจให้เหมาะกับความผันผวนของราคาและตลาด และหากปรับให้ค่าเลเวอเรจเป็น 1 ก็จะขจัดความเสี่ยงของการใช้เลเวอเรจออกไปได้ทั้งหมด

    บทความนี้ได้ไขข้อสงสัย ซื้อหุ้น Apple ยังไง และแนะนำ 2 แนวทางในการซื้อหุ้น Apple เราเสนอให้นักลงทุนสามารถเลือกวิธีการที่เหมาะกับตนเองได้ หรือหากยังไม่แน่ใจหรือไม่มั่นใจควรเลือกวิธีไหนดี เราเสนอให้ฝึกฝนด้วยบัญชีเทรดทดลองไปสักพักหนึ่งแล้วค่อยลงมือเทรดจริงเพื่อเพื่อโอกาสในการทำกำไรได้

    *** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


    การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

    บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
    บทความที่เกี่ยวข้อง