วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568

ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
เช้าวันนี้ราคาทองคำ XAUUSD ยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะประคองตัวอย่างระมัดระวังเหนือระดับ 4,060 ดอลลาร์ ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ปัจจัยหลักที่กดดันราคาทองคำไม่ให้ดีดตัวขึ้นได้เต็มที่ในระยะสั้น ไม่ได้มาจากเพียงแค่ความกังวลเรื่องดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เท่านั้น แต่ยังมาจากกระแสเงินทุนที่ไหลกลับเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ได้รับแรงหนุนมหาศาลจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดย Nvidia Corp. ที่เพิ่งประกาศคาดการณ์รายได้ที่แข็งแกร่งเกินคาด ปรากฏการณ์นี้สร้างบรรยากาศ Risk-on หรือภาวะที่นักลงทุนกล้าเสี่ยง ทำให้อุปสงค์ในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำลดลงชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงอยู่ในสภาวะ Wait and See เพื่อรอความชัดเจนจากตัวเลขเศรษฐกิจชุดใหม่ที่จะประกาศในคืนวันศุกร์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการจาก S&P Global รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ข้อมูลเหล่านี้เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะช่วยยืนยันว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังชะลอตัวลงจริงหรือไม่ ท่ามกลางความกังวลว่าหากตัวเลขออกมาดีเกินคาดซ้ำรอยการจ้างงาน อาจทำให้ความหวังที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมต้องพังทลายลงอย่างสมบูรณ์
เบื้องหลังตัวเลขจ้างงานที่ซับซ้อนและสัญญาณเงินเฟ้อที่แผ่วลง
ประเด็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดในขณะนี้คือรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ประจำเดือนกันยายนที่เพิ่งเปิดเผยออกมา
ตัวเลขการจ้างงานที่พุ่งสูงถึง 119,000 ตำแหน่ง ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50,000 ตำแหน่งถึงกว่าเท่าตัว อาจทำให้ดูเหมือนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงร้อนแรง แต่เมื่อนักลงทุนพิจารณาไส้ในของข้อมูลจะพบความย้อนแย้งที่น่ากังวล
ประการแรก อัตราการว่างงานกลับขยับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 4.4% จากเดิม 4.3%
ประการที่สอง มีการปรับลดตัวเลขการจ้างงานย้อนหลังของเดือนสิงหาคมและกรกฎาคมลง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าแนวโน้มตลาดแรงงานในภาพรวมกำลังชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (Jobless Claims) ล่าสุดที่ออกมาที่ 220,000 ราย ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ ยิ่งเพิ่มความสับสนให้กับตลาด
ข้อมูลที่ขัดแย้งกันเองเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์ Government Shutdown ที่ยาวนาน 43 วัน ทำให้กระบวนการเก็บข้อมูลของภาครัฐไม่สมบูรณ์ ถึงขนาดที่กระทรวงแรงงานต้องประกาศยกเลิกการรายงานตัวเลขจ้างงานเดือนตุลาคม
ความไม่ชัดเจนของข้อมูลนี้ทำให้ตลาดขาดทิศทางที่แน่นอนในการประเมินสถานการณ์จริง ส่งผลให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวผันผวนและอ่อนไหวต่อข่าวรายวันเป็นพิเศษ
เสียงแตกในเฟดและสัญญาณอันตรายจากภาคการผลิตฟิลาเดลเฟีย
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจส่งผลโดยตรงต่อทิศทางนโยบายการเงิน จากรายงานการประชุม FOMC รอบล่าสุดเผยให้เห็นถึงความเห็นที่แตกแยกภายในคณะกรรมการเฟด
แม้กรรมการหลายคนจะมองว่าควรตรึงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปตลอดปี 2025 แต่ก็มีกรรมการบางคนที่เปิดช่องสำหรับการลดดอกเบี้ยหากเศรษฐกิจชะลอตัวตามคาด
ความไม่เป็นเอกฉันท์นี้สะท้อนผ่านเครื่องมือ CME FedWatch ที่ล่าสุดให้น้ำหนักโอกาสการลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคมเหลือเพียง 39% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยลบที่คอยกดดันราคาทองคำอยู่
อีกหนึ่งสัญญาณเตือนภัยเงียบที่ถูกตลาดมองข้ามคือ รายงานดัชนีภาคการผลิตจากเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย (Philly Fed Manufacturing Index) ประจำเดือนพฤศจิกายน
แม้ตัวเลขรวมจะอยู่ที่ -1.7 ซึ่งดีกว่าคาด แต่รายละเอียดภายในกลับน่าเป็นห่วง ยอดคำสั่งซื้อใหม่ (New Orders) ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ -8.6 ในขณะที่ดัชนีราคาจ่าย (Prices Paid) กลับพุ่งสูงขึ้น
สถานการณ์ที่ยอดขายลดลงแต่ต้นทุนสูงขึ้นนี้ กำลังสะท้อนภาวะที่ภาคธุรกิจจริงกำลังถูกบีบอัด และอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่มาพร้อมกับเงินเฟ้อ (Stagflation) ในระดับภูมิภาค ซึ่งหากลุกลามจะเป็นปัจจัยบวกระยะยาวต่อทองคำอย่างมีนัยสำคัญ
มุมมองระยะยาวจาก UBS ทองคำคือคำตอบของปี 2026
แม้ภาพระยะสั้นจะเต็มไปด้วยความผันผวนและแรงกดดัน แต่สถาบันการเงินระดับโลกอย่าง UBS ยังคงยืนกรานในมุมมองขาขึ้นระยะยาว โดยได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทองคำในช่วงกลางปี 2026 ขึ้นสู่ระดับ 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมองกรณีขาขึ้นสูงสุด (Upside Case) ไว้ที่ 4,900 ดอลลาร์
Sagar Khandelwal นักกลยุทธ์จาก UBS ชี้ให้เห็นปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่าความผันผวนรายวัน นั่นคือแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Rates) จะปรับตัวลดลงในอนาคต ประกอบกับความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะบกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในระยะยาว
นอกจากนี้ แรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเป็นพื้นหลังที่แข็งแกร่งให้กับราคาทองคำ โดยเฉพาะธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่รายงานการเข้าซื้อทองคำต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน รวมถึงกระแสเงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำที่ทำสถิติสูงสุดในไตรมาสที่ผ่านมา
UBS จึงแนะนำให้นักลงทุนมองข้ามความผันผวนระยะสั้น และใช้จังหวะที่ราคาย่อตัว (Buy the Dip) ในการสะสมทองคำเข้าพอร์ต เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและปกป้องความมั่งคั่งจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการเงินที่ยังคงรออยู่เบื้องหน้าในปี 2026
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
ราคาทองคำไม่สามารถยืนระยะเหนือแนวต้านสำคัญที่ได้ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ ภาพการเคลื่อนไหวในกราฟราย 4 ชั่วโมงปัจจุบันได้เฉลยออกมาในรูปแบบของ False Breakout อย่างชัดเจน
โดยหลังจากที่ราคาพยายามขึ้นไปทดสอบแรงขายบริเวณกรอบบนของรูปสามเหลี่ยม (เส้นประสีดำ) ก็ถูกตบกลับลงมาอย่างรุนแรงจนหลุดระดับ 4,087 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวรับ Fibonacci 38.2% ที่เคยคาดหวังให้เป็นฐานราคาใหม่
การร่วงลงมาซื้อขายอยู่ที่ระดับ 4,063 ดอลลาร์ในขณะนี้ ส่งผลให้โครงสร้างกลับมาเป็นการพักตัวเพื่อสะสมกำลังใหม่อีกครั้ง
ด้านอินดิเคเตอร์ Stochastic RSI จะพบว่าการเตือนเรื่องภาวะ Overbought ในบทวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดย Signal Lines ได้หักหัวลงต่ำกว่าระดับ 50 แล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่าโมเมนตัมของตลาดได้เหวี่ยงกลับมาอยู่ข้างฝั่งหมีในระยะสั้น
นอกจากนี้ การที่ราคาหลุดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA เส้นสีฟ้าลงมาอีกครั้ง เป็นการยืนยันว่าแนวโน้มการฟื้นตัวยังขาดความแข็งแกร่ง และราคามีโอกาสสูงที่จะถูกดึงดูดลงไปหาเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวเส้นสีส้มที่ทำหน้าที่เป็น Dynamic Support ด้านล่าง ซึ่งปัจจุบันประคองตัวอยู่ที่บริเวณประมาณ 4,020 ดอลลาร์
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้านี้ ถือเป็นจุดวัดใจที่สำคัญที่สุดของสัปดาห์ โดยนักลงทุนต้องจับตามองพฤติกรรมราคาที่บริเวณแนวรับระยะสั้น 4,057 ดอลลาร์ อย่างใกล้ชิด
หากกราฟราย 4 ชั่วโมงยังคงมีแรงขายกดดันจนปิดแท่งเทียนหลุดต่ำกว่า 4,057 ดอลลาร์ จะเป็นการเปิด Downside ของราคาให้ไหลลงต่อเพื่อไปทดสอบแนวรับจิตวิทยาสำคัญที่ 4,000 ดอลลาร์ และเส้น EMA สีส้มตามลำดับ
แต่ในกรณีที่เลวร้ายน้อยกว่า หากราคาสามารถเกิดแท่งเทียนกลับตัว (Reversal Candlestick) และยืนเหนือโซน 4,060 ดอลลาร์ได้ เราอาจได้เห็นการดีดตัวระยะสั้น (Technical Rebound) เพื่อขึ้นไปทดสอบแนวต้านเดิมที่เปลี่ยนสถานะกลับมาแข็งแกร่งบริเวณ 4,087 ดอลลาร์อีกครั้ง
ดังนั้นกลยุทธ์ที่เหมาะสมในเวลานี้คือการ Wait & See รอให้ราคาเลือกทางที่แนวรับ 4,057 ให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจเข้าออเดอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการรับมีดในขณะที่โมเมนตัมขาลงกำลังแรง

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$4,057
$4,000
$3,950
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$4,087
$4,100
$4,135
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน


