Mitrade Insights ทุ่มเทเพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลทางการเงินที่ครบถ้วน ทันเวลา และมีคุณค่ามากที่สุด เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสถานการณ์ตลาดและคว้าโอกาสในการซื้อขายได้ทันท่วงที
    2021
    ผู้ให้บริการข่าวและการวิเคราะห์ที่ดีที่สุด
    FxDailyInfo
    2022
    แหล่งข้อมูลการศึกษา Forex ที่ดีที่สุดทั่วโลก
    International Business Magazine

    แนวโน้มค่าเงินบาท 2023 ! มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลกต่อประเทศไทย

    5 นาที
    อัพเดทครั้งล่าสุด 11 พ.ค. 2566 08:37 น.

    บทความนี้ จะพานักลงทุนดูแนวโน้มของค่าเงินบาทในปี 2023 รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น-อ่อนค่าลง และมุมมองเศรษฐกิจทั่วโลกต่อประเทศไทยในปี 2023 ว่าจะเป็นอย่างไร นักลงทุนควรลงทุนในสินทรัพย์อะไรบ้างเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนให้ได้กำไรกลับมา

    รีวิวค่าเงินบาทในปี 2022

    ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 ค่าเงินบาทอยู่ในทิศทางอ่อนค่ามาตั้งแต่ต้นปี 2022 อ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 16 ปี โดยอยู่ที่ 38.31 บาท/ดอลลาร์ หรือ อ่อนค่าลงกว่า 14% มีสาเหตุมาจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นมากจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ Fed และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย แต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ 36.85 บาท/ดอลลาร์ จากการที่ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็ว หนุนดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มปรับดีขึ้นในปีหน้า ทำให้ ณ สิ้นปี 2023 เงินบาทมีแนวโน้มแข็งขึ้นเล็กน้อยอาจอยู่ที่ระดับ 36.5 บาท/ดอลลาร์

    ประเมินแนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2023


    - แนวโน้มค่าเงินบาทในไตรมาสที่ 1

    “กรุงไทย” คาดไตรมาสแรกจะอยู่ที่ระดับ 33.00 บาท/ดอลลาร์ หรือลงต่ำกว่าระดับดังกล่าวได้ จากปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 34.00 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งจะเห็นว่าในช่วงต้นปี 2566 เปิดตลาดเงินบาทแข็งค่าสูงสุดในภูมิภาค หรือแข็งค่าเฉลี่ยแล้ว 2% เมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งทิ้งห่างอันดับ 2 ที่มีการแข็งค่าเพียงกว่า 1% เท่านั้น โดยกรอบบนจะอยู่ที่ 34.00-34.50 บาทต่อดอลลาร์


    - แนวโน้มค่าเงินบาทไตรมาส 2

    ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) คาดระดับแนวโน้มค่าเงินมีโอกาสจะเห็นในระดับต้น ๆ 32 บาท/ดอลลาร์ แต่คาดว่าจะไม่แข็งค่ามากกว่านั้น เนื่องจากการเปิดเมืองของจีนหลังจากนี้ ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามเพราะการเปิดเมืองอาจทำให้การติดเชื้อโควิด-19 สูง ซึ่งมาตรการต่างๆ ในอนาคตอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ 


    - แนวโน้มค่าเงินบาทไตรมาส 3

    ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ที่เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันจนอาจอ่อนค่าไปแตะระดับ 36.00-36.50 บาท/ดอลลาร์ ได้อีกครั้ง แต่ต้องระวังความผันผวนของค่าเงินบาทที่อาจเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย


    - แนวโน้มค่าเงินบาทไตรมาส 4

    SCB CIO มองค่าเงินบาทไทย สิ้นปี 2566 น่าจะอยู่ที่ 33-34 บาท/ดอลลาร์ นักลงทุนต้องป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อลงทุนในต่างประเทศ คาดเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ในการประชุม 3 ครั้งของปีนี้ในเดือน ก.พ. มี.ค. และ พ.ค. หลังจากนั้นจะค้างดอกเบี้ยกรอบบนไว้ที่ 5.25% ตลอดทั้งปี และ มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งแรกของปี 67

    การแข็งค่าและการอ่อนค่าของเงินบาทมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร?

    ค่าเงินบาทของไทย เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากส่งผลกระทบต่อ ระบบเศรษฐกิจของไทยในภาพรวม เช่น การนำเข้าและการส่งออกสินค้า ซึ่งส่งผลต่อระดับต้นทุนการผลิต และกำไรของผู้ประกอบการ ความเชื่อมั่นต่อการลงทุนของนักลงทุน และอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ (GDP) 


    •    จะเกิดอะไรขึ้นหากเงินบาทแข็งค่าขึ้น?

    ก็จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการส่งออกจากกำไรที่ ลดลง หรือกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศได้เช่นกัน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เป็นเวลานาน อาจก่อให้เกิดปัญหาการขาดทุนของกิจการ ปัญหาการว่างงาน และจะส่งผลต่อการอัตราเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ



               หน่วย (Unit) :                        

            ล้านเหรียญสหรัฐ                        


      ธ.ค2565             


    ม.ค.ธ.ค.2565                        

    มูลค่าการค้ารวม

    44,471.5

    -13.2%

    590,258.5

    +9.5%

    มูลค่าการส่งออก

    (Export value)

    21,718.8

    -14.6%

    287,067.9

    +5.5%

    หักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำและยุทธปัจจัย

    19,610.3

    -12.5%

    248,735.3

    +4.7%

    มูลค่าการนำเข้า

    (Import value)

    22,752.7

    -12.0%

    303,190.7

    +13.6%

    ดุลการค้า

    (Trade Balance)

    -1,033.9

    -16,122.8

    จากตาราง การส่งออกไปประเทศคู่ค้าสำคัญส่วนใหญ่แล้วล้วนมีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจการค้าโลก ที่มีแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่องในหลายประเทศ อีกทั้งยังเกิดความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความขัดแย้ง รัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อออกมามากแล้ว ขณะที่การส่งออกไปจีนและญี่ปุ่นหดตัวตามภาคการผลิตและการบริโภคในประเทศ เกิดการชะลอตัวจากผลกระทบของมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เข้มงวด 


    •    จะเกิดอะไรขึ้นหากเงินบาทอ่อนค่า?

    เงินบาทที่อ่อนค่าส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าสูงขึ้น เนื่องจากต้องใช้เงินบาทในจำนวนที่มากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าจากต่างประเทศเข้ามา ต้นทุนการกู้ยืมเงินต่างประเทศสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเที่ยวหรือศึกษาต่อต่างประเทศสูงขึ้น แต่เป็นผลดีกับการส่งออก เพราะรายได้ที่ได้รับมาเป็นสกุลเงินต่างประเทศสามารถแลกกลับมาเป็นเงินบาทในจำนวนค่าเงินที่มากขึ้น


    สาเหตุที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงในรอบนี้เกิดจาก 

           ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed เริ่มลดขนาดงบดุล

    ตั้งแต่เดือนมิ.ย. 65 ที่ผ่านมา Fed ปรับลดขนาดงบดุล ซึ่งในงบดุลประกอบด้วยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MBS) โดยปล่อยให้ตราสารเหล่านี้ครบอายุในแต่ละเดือนโดยที่ไม่มีการซื้อเพิ่ม ส่งผลให้ปริมาณเงินดอลลาร์ในระบบลดลง เงินไหลกลับเข้ามา ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง 


           การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ

    เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นตามแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่เปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ Fed ด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ 1.75% เป็นผลมาจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ Fed ขณะของไทยในเดือนเดียวกันยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ทำให้มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 1.25% เมื่อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลไทย การลงทุนในสหรัฐฯ จึงมีความน่าสนใจมากกว่า เงินจึงไหลออกไปยังสหรัฐฯ และทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงนั่นเอง


    ส่งผลอะไรต่อพอร์ตนักลงทุน

            เวลาเงินบาทอ่อนค่า 

    นักลงทุนจะสามารถซื้อหุ้นได้ในปริมาณที่น้อยลง จากการแลกเงินสกุลต่างประเทศได้น้อยลง หุ้นส่งออกจะได้ประโยชน์ เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เกษตร เป็นต้น หุ้นท่องเที่ยว และกลุ่มที่มีรายได้จากต่างประเทศ รวมไปถึงนักลงทุนที่ถือเงินดอลลาร์ด้วย เพราะจะได้กำไรจากค่าเงินเมื่อแลกกลับมาเป็นเงินบาท และผู้ที่ถือครองทองคำแท่งก็ได้ประโยชน์เช่นกัน


           เวลาเงินบาทแข็งค่า

    สลับกันกับเงินอ่อนค่าเลย เพราะ ผลตอบแทนในรูปเงินบาทน้อยลง ส่วนคนที่จะแลกเงินเพื่อนำไปลงทุน จะกลายเป็นโอกาสเพราะเงินเราแพงขึ้น ก็จะสามารถแลกเงินสกุลต่างประเทศได้มากขึ้น ทำให้ซื้อหุ้นต่างประเทศในจำนวนที่มากขึ้น หุ้นกลุ่มที่เน้นการนำเข้าจะได้ประโยชน์ เช่น TVO บริษัทน้ำมันพืชที่นำเข้าถั่วเหลือง

    ผลกระทบของเศรษฐกิจโลกในอนาคตต่อประเทศไทย

    ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าในอนาคต ความเสี่ยงและความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ไม่ลดลง เพราะปัจจัยสำคัญที่กำหนดค่าเงินบาทมาจากต่างประเทศ เช่น จากอเมริกา หรือจาก Brexit ในยุโรป ดังนั้น ค่าเงินจะขึ้นหรือลงไม่มีใครสามารถคาดเดาได้อยู่แล้ว 


    • เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย

    เงินเฟ้อ จะลดลงทั่วโลกในปี 2566 แต่ความเสียหายยังมีสูง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดว่า เงินเฟ้อโลกจะทะลุ 6.5% ในปีนี้ลดลงจาก 8.8% ในปี 2565 ขณะที่ เขตเศรษฐกิจกำลังพัฒนาลดลงน้อยกว่า เงินเฟ้อน่าจะเบาลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 8.1% ในปี 2566


    • เศรษฐกิจชะลอตัวและถดถอย

    ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปี 2566 จะขยายตัวแค่ 2.7% ลดลงจาก 3.2% ในปี 2565 ส่วนปี 2566-2567 ก็ราว ๆ นั้น อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจโลกยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในทางเทคนิค แต่หลายคนอาจรู้สึกเหมือนเศรษฐกิจถดถอยในปี 2566 เนื่องจากการผสมโรงกันระหว่างเศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อสูง และการขึ้นอัตราดอกเบี้ย


    • จีนเปิดประเทศ

    จีนเริ่มผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่เคยเข้มงวด ผลพวงจากการประท้วงของประชาชนในหลายพื้นที่อย่างไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก เริ่มเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. ถือเป็นโมเมนตัมใหม่ให้การฟื้นตัวของโลก สร้างแรงหนุนให้กับประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และสิงคโปร์ ในเวลาเดียวกันการเปลี่ยนนโยบายกะทันหันของจีนก็แบกรับความเสี่ยงเป็นอย่างมาก เพราะต่อไปอาจเกิดสายพันธุ์ใหม่ที่อันตรายน้อยลงหรือมากกว่าเดิม 


    • บริษัทล้มละลาย

    ตัวอย่างเช่นในสหรัฐ ปี 2564 ธุรกิจ 16,140 แห่งยื่นขอล้มละลาย ปี 2563 จำนวน 22,391 รายเทียบกับ 22,910 รายในปี 2562 แต่เทรนด์นี้กำลังสวนทางในปี 2566 ท่ามกลางราคาพลังงานและอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น บริษัทประกันสินเชื่อ Allianz Trade ประเมินว่าการล้มละลายทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นกว่า 10% ในปี 2565 และ 19% ในปี 2566 สูงกว่าระดับก่อนโควิดมากคงต้องจับตาดูกันต่อไป


    • โลกาภิวัตน์สั่นคลอน

    การผันแปรที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการค้าและเศรษฐกิจเสรีไปสู่การกีดกันทางการค้าและหันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญเกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ ในอนาคตอันใกล้การนำเข้าจะแพงขึ้นและเศรษฐกิจจะชะลอลงในทุกประเทศที่


    • 2 ปัจจัยเสี่ยงรั้งการเติบโต

    จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อาจทำให้การส่งออกของไทยชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ได้ ซึ่งความกังวลเหล่านี้ ยังมีผลต่อการท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ลดลงได้ ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกยังมาจาก การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ หรือภูมิรัฐศาสตร์ ที่หากรุนแรงมากขึ้น อาจกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกรวมถึงเศรษฐกิจไทยให้ได้รับผลกระทบมากขึ้น


    ยังมีสิ่งที่น่าห่วงอีกคือ หนี้ครัวเรือน และหนี้เอกชนในประเทศโดยเฉพาะหนี้เอสเอ็มอี ต่างๆ ที่อยู่ระดับสูง จากต้นทุนราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

    • การท่องเที่ยว

    เศรษฐกิจไทย ปี 2566 คาดว่า จะขยายตัวอยู่ที่ 3.4% ปัจจัยบวกหลัก ๆ มาจากท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลคาดการณ์ท่องเที่ยวมาสู่ 21.4ล้านคนปีนี้ แต่หากจีนเปิดประเทศเร็วขึ้น คาดนักท่องเที่ยวอาจเพิ่มขึ้น เป็น 22.5 ล้านคน


    • การส่งออก

    ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยหลัก ๆ มาจากความเสี่ยง จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของประเทศต่าง ๆ ได้ ผ่านการส่งออกที่ต้องจับตาส่งผลให้ธปท. ปรับประมาณการส่งออกลดลงมาก เหลือเติบโตเพียง 1% ในปี2566 และหากความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมากขึ้น อาจส่งผลกระทบให้ส่งออกอาจหดตัวมากกว่าที่ประเมินไว้ได้

    เมื่อค่าเงินบาทอ่อนค่า สกุลเงิน USD หรือ EUR จะเป็นอย่างไร

    เงินดอลลาร์ (USD)

    รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ อาจมีไม่มาก แต่ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง ในเดือนกุมภาพันธ์คาดว่าภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่ได้แย่ลงอย่างที่ตลาดเคยกังวล รวมถึงภาพเงินเฟ้อที่ชะลอลงมากขึ้น อาจช่วยหนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทรงตัวที่ระดับ 64.9 จุด (หรืออาจปรับตัวขึ้นเล็กน้อยได้) นอกจากนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดหลังจากในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดตีความถ้อยแถลงของประธานเฟดอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยไปมากนักจากระดับล่าสุด 


    และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานล่าสุดในวันศุกร์ที่ผ่านมากลับออกมาดีเกินคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานล่าสุดที่ดีกว่าคาด นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจและถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากผลประกอบการรวมถึงแนวโน้มผลประกอบการในอนาคต ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาได้


    เงินยุโรป (EUR)

    ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปที่ดีขึ้นกว่าคาด จะช่วยหนุนให้บรรดานักลงทุนสถาบันและบรรดานักวิเคราะห์มีมุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน สะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนโดย Sentix (Investor Confidence) เดือนกุมภาพันธ์ ที่อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -12 จุด ดีขึ้นจากระดับ -17.5 จุด ในเดือนก่อนหน้า(ดัชนีน้อยกว่า 0 สะท้อนมุมมองเชิงลบ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 6 เดือนข้างหน้า) ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานข้อมูลเศรษฐกิจอังกฤษในไตรมาสที่ 4 โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า เศรษฐกิจอังกฤษ อาจขยายตัวเพียง +0.3% ชะลอลงหนัก จากที่ขยายตัวกว่า +1.9% ในไตรมาสก่อนหน้า กดดันโดยภาวะเงินเฟ้อสูงและผลกระทบของราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูงจนกดดันการใช้จ่ายของครัวเรือน  


    ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดรอติดตามรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปอย่างใกล้ชิด เพราะหากผลประกอบการส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจยังคงกดดันให้บรรยากาศในตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นและกดดันให้เงินยูโร (EUR) มีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้


    เนื่องจากธนาคารกลางทั้ง ECB และ FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้น ค่าเงินยูโรและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจึงแข็งค่าขึ้นในระดับที่แตกต่าง กันเมื่อเทียบกับเงินบาท เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลง เราจึงเลือกซื้อสกุลเงิน USD หรือ EUR ก็ได้


    นักลงทุนมือใหม่อาจเป็นกังวลว่าจะเทรดอย่างไร เทรดกับใครดี โบรกเกอร์ไหนน่าเชื่อถือและน่าลงทุนที่สุด ผู้เขียนขอเสนอแพลตฟอร์ม Mitrade เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายเหมาะสมหรับมือใหม่หัดเทรดสุด ๆ มากไปกว่านั้นยังมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ ไม่มีค่าคอมมิชชั่น และสเปรดต่ำ รองรับการเทรด Forex ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน ดัชนี และตราสารอื่น ๆ อีกมากมายให้นักลงทุนสามารถเข้าไปเลือกเทรดทำกำไรตามสภาวะของตลาดได้เลย 

    นักลงทุนควรรับมืออย่างไร?

    ก่อนตัดสินใจลงทุน นักลงทุนควรนำปัจจัยเรื่องค่าเงินมาพิจารณาด้วยว่าหุ้นกลุ่มใดจะได้รับประโยชน์ หุ้นกลุ่มใดจะเสียประโยชน์ หรือไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทเลย เพราะปัจจัยค่าเงินมีผลกระทบต่อราคาหุ้น


    • ผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้นควรเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มส่งออก เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และ อาหาร เพราะสิ่งเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากการแปลงเงินดอลลาร์กลับมาเป็นเงินบาทที่เพิ่มมากขึ้น และหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้า ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทอ่อนค่าเนื่องจากมีการกู้เงินสกุลเงินดอลลาร์มาใช้ 

    • ผู้ที่มีทองคำในพอร์ต ถือเป็นจังหวะขายทำกำไร แล้วเหลือไว้ในพอร์ตประมาณ 10% เพราะเมื่อเงินบาทอ่อนค่า ราคาทองคำมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มมากขึ้น 

    • การถือครองเงินดอลลาร์ ถือเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจที่สุดแล้ว เพราะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะได้รับประโยชน์กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เช่น  เลือกลงทุนสกุลเงินดิจิทัลประเภท Stable coin และกองทุนรวมตลาดเงินต่างประเทศ 


    สรุป ตลาดการเงินในการลงทุนยังมีปัจจัยความเสี่ยงหลายประการ ทั้งความเสี่ยงสงครามและความกังวลเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินเฟด ผู้เขียนอยากแนะนำว่านักลงทุนควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

    *** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


    การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

    บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
    บทความที่เกี่ยวข้อง
    ราคาเสนอแบบเรียลไทม์
    ราคาเสนอแบบเรียลไทม์