พอร์ตการลงทุน: วิธีจัดพอร์ตการลงทุนสำหรับมือใหม่

อัพเดทครั้งล่าสุด
coverImg
แหล่งที่มา: DepositPhotos

“อยากมีพอร์ตการลงทุน แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง” สำหรับมือใหม่ ในโลกการลงทุนที่เต็มไปด้วยกราฟ ตัวเลข และศัพท์เทคนิค หลายคนเลือกที่จะเก็บเงินไว้ในบัญชีที่ให้ผลตอบแทนน้อยนิด 


แต่วันนี้ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป เพราะเราจะพาคุณไปดูวิธีสร้าง พอร์ตการลงทุน ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน ไปจนถึงกลยุทธ์ที่นักลงทุนระดับโลกใช้กันจริง

พอร์ตการลงทุน คืออะไร?

ถ้าจะให้พูดแบบเข้าใจง่ายที่สุด พอร์ตการลงทุน (Investment Portfolio) ก็คือ “ตะกร้า” ที่เราใช้รวบรวมสินทรัพย์การลงทุนหลายๆ อย่างเอาไว้ในที่เดียวกัน แทนที่เราจะเอาเงินทั้งหมดไปทุ่มกับหุ้นแค่ตัวเดียว เราก็แบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น หุ้น, กองทุนรวม, ตราสารหนี้, ทองคำ, อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่สินทรัพย์ดิจิทัล


หัวใจสำคัญของการมีพอร์ตการลงทุน คือ การกระจายความเสี่ยง (Diversification) คงเคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า “อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียว” กันใช่ไหม หลักการเดียวกันเลย หากตะกร้าใบนั้นตก ไข่ทุกฟองก็จะแตกหมด แต่ถ้าเราแบ่งไข่ใส่ไว้ในตะกร้าหลายๆ ใบ ถึงจะมีตะกร้าใบหนึ่งตกไป เราก็ยังเหลือไข่ในตะกร้าใบอื่นๆ อยู่


ในโลกการลงทุนก็เช่นกัน หากเราลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั้งหมด แล้วเกิดวิกฤตในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เงินลงทุนของเราก็จะเสียหายหนัก แต่ถ้าเรามีทั้งหุ้น, ตราสารหนี้ และทองคำในพอร์ตการลงทุน 


เมื่อหุ้นตก ตราสารหนี้ที่มั่นคงกว่าอาจจะยังให้ผลตอบแทนที่ดี หรือทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอาจมีมูลค่าสูงขึ้นมาช่วยพยุงพอร์ตโดยรวมของเราไว้ได้ นี่แหละครับคือพลังของการกระจายความเสี่ยงที่แท้จริง


สรุปง่ายๆ พอร์ตการลงทุนไม่ใช่แค่การรวมสินทรัพย์ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้เรา


  • ลดความผันผวน: ทำให้เงินลงทุนของเราไม่เหวี่ยงขึ้นลงรุนแรงตามสภาวะตลาด

  • เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน: ได้รับประโยชน์จากสินทรัพย์ที่เติบโตได้ดีในแต่ละช่วงเวลา

  • บรรลุเป้าหมายทางการเงิน: สร้างแผนการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของเรา

5 ขั้นตอนสร้างพอร์ตการลงทุนด้วยตัวเอง

5 ขั้นตอนสร้างพอร์ตการลงทุน


เมื่อเข้าใจคอนเซปต์แล้ว ก็ถึงเวลาลงมือสร้างพอร์ตการลงทุนของเรากันเสียที ไม่ต้องกังวลว่าจะซับซ้อน เราย่อยมาให้เหลือ 5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่ใครก็ทำตามได้


ขั้นตอนที่ 1: ตั้งเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน

นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดแต่คนมักจะมองข้ามไป การลงทุนที่ไม่มีเป้าหมายก็เหมือนการออกเรือโดยไม่มีจุดหมายปลายทาง เราต้องถามตัวเองก่อนว่า “เราลงทุนไปเพื่ออะไร?” เพราะเป้าหมายที่แตกต่างกัน จะนำไปสู่การจัดพอร์ตการลงทุนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


  • เป้าหมายระยะสั้น (1-3 ปี): เช่น เก็บเงินดาวน์รถ, แต่งงาน, ไปเที่ยวต่างประเทศ เป้าหมายแบบนี้ต้องการความมั่นคงสูง ไม่ควรเสี่ยงมาก เพราะมีเวลาจำกัด พอร์ตการลงทุนจึงควรเน้นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้ระยะสั้น หรือกองทุนรวมตลาดเงิน


  • เป้าหมายระยะกลาง (3-7 ปี): เช่น เก็บเงินดาวน์บ้าน, วางแผนเรียนต่อปริญญาโท สามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้นหน่อย อาจจะผสมผสานระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและเสี่ยงปานกลาง เช่น ตราสารหนี้, กองทุนรวมผสม หรือหุ้นปันผลดีๆ


  • เป้าหมายระยะยาว (7 ปีขึ้นไป): เช่น เก็บเงินเพื่อเกษียณ, เป็นทุนการศึกษาให้ลูก เป้าหมายแบบนี้เรามีเวลาให้เงินเติบโตได้เต็มที่ สามารถรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น เพื่อแลกกับโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น พอร์ตการลงทุนสามารถเน้นไปที่สินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างหุ้น หรือกองทุนรวมหุ้นได้


ขั้นตอนที่ 2: ประเมินระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ใจไม่ถึงอย่าเล่น” คำนี้ใช้ได้ดีกับการลงทุน แต่ละคนรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน บางคนเห็นพอร์ตติดลบ 5% ก็นอนไม่หลับแล้ว ในขณะที่บางคนอาจจะเฉยๆ กับการติดลบ 20% เพราะมองเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเพิ่ม


ปัจจัยที่ใช้ประเมินความเสี่ยงมีหลายอย่างครับ ตั้งแต่

  • อายุ: ยิ่งอายุน้อย ยิ่งมีเวลาหาเงินใหม่ได้อีกนาน ก็จะรับความเสี่ยงได้สูงกว่าคนที่ใกล้เกษียณ

  • รายได้และภาระค่าใช้จ่าย: คนที่มีรายได้มั่นคง ไม่มีหนี้สิน ย่อมรับความเสี่ยงได้มากกว่าคนที่มีภาระเยอะ

  • ประสบการณ์การลงทุน: นักลงทุนที่มีประสบการณ์ มักจะเข้าใจความผันผวนของตลาดและรับมือได้ดีกว่ามือใหม่

  • ลักษณะนิสัยส่วนตัว: คุณเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย หรือเป็นคนรอบคอบ?


โดยทั่วไป เราจะแบ่งนักลงทุนออกเป็น 3 ระดับหลักๆ

  • เสี่ยงต่ำ (Conservative): เน้นรักษาเงินต้นเป็นหลัก ยอมรับผลตอบแทนไม่สูงมาก

  • เสี่ยงปานกลาง (Moderate): ต้องการให้เงินเติบโต แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงจนเกินไป ยอมรับความผันผวนได้บ้าง

  • เสี่ยงสูง (Aggressive): มุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว ยอมรับความผันผวนสูงได้


เทียบระดับ "ความเสี่ยง" ลงทุน

ที่มา: Wealth me up


ขั้นตอนที่ 3: จัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation)

เมื่อรู้เป้าหมายและระดับความเสี่ยงแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการเลือกส่วนผสมให้กับพอร์ตการลงทุนของเรา หรือที่เรียกว่า Asset Allocation ซึ่งนักลงทุนระดับโลกอย่าง Ray Dalio บอกว่ามันคือปัจจัยที่สำคัญกว่า 90% ของความสำเร็จในการลงทุนเลยทีเดียว


Asset Allocation คือการกำหนดสัดส่วนว่าเราจะแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหนบ้าง กี่เปอร์เซ็นต์ โดยสินทรัพย์หลักๆ ที่ควรรู้จัก ได้แก่


  • ตราสารหนี้ (Bonds): ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนคงที่ เปรียบเสมือนกองหลังของพอร์ต ช่วยลดความผันผวน

  • หุ้น (Stocks): ความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงที่สุดในระยะยาว เปรียบเสมือนกองหน้าที่คอยทำประตู

  • อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate): ความเสี่ยงปานกลางถึงสูง มักจะอยู่ในรูปของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (REITs)

  • สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): เช่น ทองคำ, น้ำมัน ความเสี่ยงสูง มีไว้เพื่อกระจายความเสี่ยงจากสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ

  • สินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ: เช่น สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงมาก


ตัวอย่างการจัดพอร์ตการลงทุนตามระดับความเสี่ยง

  • พอร์ตเสี่ยงต่ำ: ตราสารหนี้ 70%, หุ้น 20%, สินทรัพย์ทางเลือก 10%

  • พอร์ตเสี่ยงปานกลาง (พอร์ตยอดนิยม 60/40): หุ้น 60%, ตราสารหนี้ 40%

  • พอร์ตเสี่ยงสูง: หุ้น 80%, ตราสารหนี้ 10%, สินทรัพย์ทางเลือก 10%


ขั้นตอนที่ 4: กระจายการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ (Diversification)

การทำ Asset Allocation ในขั้นตอนที่ 3 คือการกระจายความเสี่ยงระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่างๆ แต่ในขั้นตอนนี้ เราจะมาเจาะลึกการกระจายความเสี่ยงภายในสินทรัพย์ประเภทเดียวกัน


ตัวอย่างเช่น ในสัดส่วนของ “หุ้น” 60% เราไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปซื้อหุ้นเพียงบริษัทเดียว แต่ควรกระจายไปใน


  • หลากหลายอุตสาหกรรม: เช่น เทคโนโลยี, การเงิน, พลังงาน, สินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อที่ว่าเมื่ออุตสาหกรรมหนึ่งซบเซา อีกอุตสาหกรรมอาจจะกำลังเติบโต

  • หลากหลายขนาดบริษัท: ทั้งหุ้นบริษัทใหญ่ (พื้นฐานแกร่ง) และหุ้นบริษัทเล็ก (เติบโตสูง)

  • หลากหลายประเทศ: กระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศบ้าง เช่น สหรัฐอเมริกา, ยุโรป, จีน เพื่อลดความเสี่ยงที่ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศไทยเพียงอย่างเดียว


การกระจายการลงทุนแบบนี้จะช่วยให้พอร์ตการลงทุนของเราแข็งแกร่งและทนทานต่อทุกสภาวะตลาดได้ดียิ่งขึ้น


ขั้นตอนที่ 5: ลงมือสร้างและเลือกแพลตฟอร์ม

หลังจากวางแผนมาทั้งหมด ก็ถึงเวลาลงสนามจริง นั่นคือการนำเงินไปซื้อสินทรัพย์ตามสัดส่วนที่เราวางไว้ ซึ่งปัจจุบันการลงทุนทำได้ง่ายและสะดวกสบายกว่าแต่ก่อนมาก โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนรายย่อย


การเลือกแพลตฟอร์มหรือโบรกเกอร์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรพิจารณาจาก


  • ความน่าเชื่อถือ: ต้องมีใบอนุญาตกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้

  • สินทรัพย์ที่ให้บริการ: มีสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนหลากหลายหรือไม่

  • ค่าธรรมเนียม: ค่าธรรมเนียมการซื้อขายไม่สูงจนเกินไป

  • แพลตฟอร์ม: ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับมือใหม่

วิธีจัดการและปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน (Rebalancing)

ทำการปรับสมดุลเมื่อสัดส่วนเปลี่ยนไปจากเป้าหมาย


การสร้างพอร์ตการลงทุนเป็นเพียงจุดเริ่มต้น การดูแลรักษาพอร์ตให้ยังคงสอดคล้องกับเป้าหมายของเราอยู่เสมอคือสิ่งที่ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่า การปรับสมดุลพอร์ต (Portfolio Rebalancing)


ทำไมต้อง Rebalance?

ลองนึกภาพตาม สมมติว่าตอนแรกเราตั้งใจจัดพอร์ตแบบ 60/40 (หุ้น 60%, ตราสารหนี้ 40%) ผ่านไปหนึ่งปี ตลาดหุ้นบูมมาก ทำให้สัดส่วนหุ้นในพอร์ตของเราโตขึ้นกลายเป็น 70% ในขณะที่ตราสารหนี้เหลือเพียง 30% ตอนนี้พอร์ตการลงทุนของเรามีความเสี่ยงสูงกว่าที่เราตั้งใจไว้แต่แรกแล้ว


การ Rebalance ก็คือการ “จัดระเบียบ” พอร์ตของเราให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนเดิมที่เราต้องการ โดยวิธีการก็คือ


  • ขายสินทรัพย์ส่วนที่เติบโตเกินสัดส่วน: ในตัวอย่างข้างต้นคือการขายหุ้นออกไป 10%

  • นำเงินที่ได้ไปซื้อสินทรัพย์ส่วนที่สัดส่วนลดลง: นำเงินจากการขายหุ้นไปซื้อตราสารหนี้เพิ่ม 10%


เพียงเท่านี้ พอร์ตของเราก็จะกลับมาอยู่ที่สัดส่วน 60/40 เหมือนเดิม เป็นการ “ขายตอนแพง ซื้อตอนถูก” ไปในตัวโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นวินัยการลงทุนที่ดีมาก


ควร Rebalance บ่อยแค่ไหน?

โดยทั่วไปแนะนำให้ทำทุกๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี หรือเมื่อสัดส่วนของสินทรัพย์เบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายเกินกว่า 5-10% การทำบ่อยเกินไปอาจทำให้เสียค่าธรรมเนียมโดยไม่จำเป็น


มี 2 วิธีหลักในการทำ Rebalancing

  • ตามระยะเวลา (Time-Based): เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด คือการกำหนดช่วงเวลาที่ชัดเจนในการตรวจสอบและปรับพอร์ต เช่น ทุก 6 เดือน หรือทุกๆ 1 ปี

  • ตามสัดส่วน (Threshold-Based): เป็นการกำหนดเกณฑ์ว่าหากสัดส่วนของสินทรัพย์ใดเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายเกินกว่าที่กำหนด (เช่น 5% หรือ 10%) ก็จะทำการปรับพอร์ตทันที


Vanguard ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทจัดการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ทำการศึกษาวิจัยและพบข้อมูลที่น่าสนใจหากนักลงทุนสร้างพอร์ต 60/40 (หุ้น 60%, ตราสารหนี้ 40%) ในปี 1989 แล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการ Rebalance เลย เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปี 2021 พอร์ตดังกล่าวจะกลายสภาพเป็นพอร์ต 80/20


ดังนั้น คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญของ Vanguard คือการใช้แนวทางแบบผสมผสาน ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนทั่วไป คือ ตรวจสอบพอร์ตทุกปี และทำการปรับสมดุลก็ต่อเมื่อสัดส่วนเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายเกิน 5% วิธีนี้ช่วยรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมความเสี่ยงและต้นทุนค่าธรรมเนียมที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับพอร์ตบ่อยเกินไป

เปิดพอร์ตลงทุนที่ไหนดี?

การเลือกพาร์ทเนอร์ในการลงทุนหรือ “โบรกเกอร์” ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน


รวมโบรกเกอร์ในไทย

สำหรับพอร์ตการลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นและกองทุนรวมของไทย มีโบรกเกอร์ชั้นนำหลายแห่งที่ให้บริการได้เป็นอย่างดี เช่น บล.บัวหลวง (BLS) หรือ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (INVX) หรือ บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ซึ่งแต่ละแห่งก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป


โบรกเกอร์เน้นสินทรัพย์ประเภทเหมาะสำหรับจุดเด่นสำคัญ
บล.บัวหลวง (BLS)หุ้นไทย, กองทุนรวมนักลงทุนมือใหม่มีคอร์สอบรมให้ความรู้, ไม่มีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (INVX)หุ้นไทย/ต่างประเทศ, สินทรัพย์ดิจิทัลลูกค้า SCB ที่ต้องการความสะดวกแอปพลิเคชันใช้งานง่าย, รวมทุกสินทรัพย์ในที่เดียว
บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS)หุ้นไทยนักเทรดที่ต้องการเครื่องมือวิเคราะห์มีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่หลากหลาย


Mitrade โบรกสำหรับโอกาสที่หลากหลาย

Mitrade คือโบรกเกอร์ที่เชี่ยวชาญด้านสัญญาซื้อขายส่วนต่าง หรือ Contracts for Difference (CFDs) ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ทั่วโลกได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นจริงๆ


  • เข้าถึงตลาดโลกอย่างแท้จริง: สามารถเทรด CFDs ของสินทรัพย์ได้หลายร้อยประเภท ทั้งคู่เงิน (Forex), สินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ, น้ำมัน), ดัชนีหุ้นชั้นนำของโลก (S&P 500, NASDAQ), และหุ้นต่างประเทศ

  • โครงสร้างต้นทุนที่น่าสนใจ: จุดเด่นที่สุดคือค่าคอมมิชชั่น 0 บาท สำหรับการซื้อขาย โดยต้นทุนจะรวมอยู่ในส่วนต่างราคาซื้อขาย (Spread)

  • แพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย: ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและตอบสนองเร็ว เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกระดับ สามารถใช้งานได้ทั้งบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือ

  • ความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ: Mitrade อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานทางการเงินชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก เช่น ASIC (ออสเตรเลีย) และ CIMA สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน


mitrade
💸 ห้ามพลาด!!! 💸

แจกโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์! 🎁🎁🎁


ค่าคอมฯ 0 สเปรดต่ำ! เงินฝากขั้นต่ำ $50 🤑

ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรี 💰

การลงทุนมีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน

สิ่งที่ต้องระวังในการสร้างพอร์ตการลงทุน

แม้ว่าการจัดพอร์ตจะเป็นกลยุทธ์ที่ดี แต่ก็มีกับดักบางอย่างที่มือใหม่มักจะพลาดพลั้งไป


  1. การลงทุนตามอารมณ์: ข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดคือการ “ซื้อเพราะโลภ ขายเพราะกลัว” ตลาดหุ้นมีความผันผวนเป็นเรื่องปกติ การมีวินัยและยึดมั่นในแผนการลงทุนระยะยาวคือหัวใจสำคัญ


  2. การกระจุกตัวของความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว (Over-concentration): บางคนคิดว่าซื้อกองทุนรวมหุ้น 5 กองก็ถือว่ากระจายความเสี่ยงแล้ว แต่พอไปดูไส้ในกลับพบว่าทุกกองทุนถือหุ้นตัวเดียวกันซ้ำๆ แบบนี้ไม่เรียกว่าการกระจายความเสี่ยงที่แท้จริง


  3. การละเลยค่าธรรมเนียม: ค่าธรรมเนียมที่ดูเหมือนเล็กน้อย เช่น 1-2% ต่อปี เมื่อเวลาผ่านไป 20-30 ปี มันสามารถกัดกินผลตอบแทนของคุณไปได้อย่างมหาศาล ควรเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนหรือโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมสมเหตุสมผ


  4. ไม่ทบทวนพอร์ตการลงทุนเลย: โลกเปลี่ยนไป เป้าหมายและระดับความเสี่ยงของเราก็อาจเปลี่ยนไปเช่นกัน ควรทบทวนพอร์ตการลงทุนของคุณอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ามันยังตอบโจทย์ชีวิตของคุณอยู่

บทสรุป

การสร้าง พอร์ตการลงทุน ไม่ใช่เส้นชัย แต่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางทางการเงินตลอดชีวิต มันคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างความมั่งคั่งอย่างเป็นระบบและยั่งยืน หัวใจสำคัญคือการเริ่มต้นอย่างถูกต้อง ทั้งเข้าใจตัวเองและเป้าหมาย แล้วเริ่มสร้างพอร์ตที่มีการกระจายความเสี่ยงตามหลักการ Asset Allocation และบริหารจัดการพอร์ตอย่างมีวินัยผ่านการ Rebalancing เท่านี้ คุณก็พร้อมแล้วที่จะก้าวแรกสู่โลกการลงทุนอย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อย

ในพอร์ตการลงทุนควรมีหุ้นกี่ตัว?

คำแนะนำคือประมาณ 5-10 ตัว อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ การเริ่มต้นด้วยกองทุนรวมดัชนี (Index Fund/ETF) เพียง 1-2 กอง ก็เปรียบเสมือนการได้เป็นเจ้าของหุ้นหลายร้อยหรือหลายพันตัวในทันที

การลงทุนแบบ DCA คืออะไร และเหมาะกับพอร์ตของมือใหม่หรือไม่?

DCA คือกลยุทธ์การลงทุนด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆ กันในแต่ละงวด (เช่น ทุกเดือน) อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่สนใจว่าราคาสินทรัพย์ในขณะนั้นจะเป็นเท่าไหร่ วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับมือใหม่ ถือเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการค่อยๆ สร้างพอร์ตการลงทุนให้เติบโต

ควรตรวจสอบพอร์ตการลงทุนบ่อยแค่ไหน?

การตรวจสอบพอร์ตบ่อยเกินไปมักนำไปสู่การตัดสินใจด้วยอารมณ์ การตรวจสอบภาพรวมของพอร์ตอย่างละเอียดทุก 6-12 เดือนก็เพียงพอแล้ว เพื่อประเมินผลการดำเนินงานและพิจารณาว่าถึงเวลาที่ต้องปรับสมดุลพอร์ต (Rebalance) หรือไม่

*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

goTop
quote
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
บทความที่เกี่ยวข้อง
placeholder
วิธีดูกราฟราคาทองที่นักลงทุนทองคำต้องรู้ ฉบับมือใหม่ต้องอ่านบทความนี้จะแนะนำวิธีดูกราฟราคาทองสำหรับมือใหม่ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มตลาด และระบุจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 28 ต.ค. 2024
บทความนี้จะแนะนำวิธีดูกราฟราคาทองสำหรับมือใหม่ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มตลาด และระบุจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม
placeholder
หาเงินออนไลน์ ถูกกฎหมาย! แนะนำ 9 วิธีหาเงินออนไลน์การหาเงินหลักล้านไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปในยุคที่ไร้พรมแดนและทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดียได้อย่างเท่าเทียมกัน ห้ามพลาดกับวิธีหาเงินออนไลน์ทั้ง 9 แบบที่เรานำมาฝาก
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 11 ก.ย. 2024
การหาเงินหลักล้านไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปในยุคที่ไร้พรมแดนและทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดียได้อย่างเท่าเทียมกัน ห้ามพลาดกับวิธีหาเงินออนไลน์ทั้ง 9 แบบที่เรานำมาฝาก
placeholder
ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คืออะไร และ มีอะไรบ้างต้นทุนในธุรกิจ ทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ บทความนี้ เรามาทำความรู้จักกันว่า ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คืออะไร และมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 20 ก.ย. 2024
ต้นทุนในธุรกิจ ทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ บทความนี้ เรามาทำความรู้จักกันว่า ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และ ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คืออะไร และมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย
placeholder
10 อันดับแอพหาเงินสร้างรายได้เสริมปี 2025ยังจำเป็นอยู่ไหมกับการทำงานกินเงินเดือนที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ปัจจุบันที่ใคร ๆ ต่างก็นั่งทำงานหารายได้จากหลายช่องทางต้องบอกว่าหมดยุคแล้วกับตอกบัตรเข้าออฟฟิศ และนี่คือทั้งหมดของแอพหาเงินที่เรารวบรวมมาเป็นตัวเลือกสำหรับการสร้างรายได้แบบง่าย ๆ ที่บ้านสำหรับปีนี้ที่เรานำมาฝากกัน
ผู้เขียน  MitradeInsights
6 เดือน 23 วัน จันทร์
ยังจำเป็นอยู่ไหมกับการทำงานกินเงินเดือนที่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ปัจจุบันที่ใคร ๆ ต่างก็นั่งทำงานหารายได้จากหลายช่องทางต้องบอกว่าหมดยุคแล้วกับตอกบัตรเข้าออฟฟิศ และนี่คือทั้งหมดของแอพหาเงินที่เรารวบรวมมาเป็นตัวเลือกสำหรับการสร้างรายได้แบบง่าย ๆ ที่บ้านสำหรับปีนี้ที่เรานำมาฝากกัน
placeholder
เทรดเดอร์ (Trader)คืออะไร มีกี่ประเภท และวิธีทำกำไรที่ดีที่สุดมีอะไรบ้างหลายคนคงคุ้นหูกับคำว่าเทรดเดอร์หรือนักเทรดมาสักระยะและอาจยังไม่เข้าใจที่มาของคำนี้อย่างลึกซึ้งเท่าไหร่นัก ดังนั้นในบทความนี้จะมาอธิบายถึงคำว่า เทรดเดอร์ (Trader) และประเภทที่แตกต่างกันรวมทั้งใครกันแน่ที่เทรดฟอเร็กซ์เก่งที่สุดในโลกโดยจะมาสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ กันที่นี่ที่เดียว
ผู้เขียน  MitradeInsights
1 เดือน 22 วัน พุธ
หลายคนคงคุ้นหูกับคำว่าเทรดเดอร์หรือนักเทรดมาสักระยะและอาจยังไม่เข้าใจที่มาของคำนี้อย่างลึกซึ้งเท่าไหร่นัก ดังนั้นในบทความนี้จะมาอธิบายถึงคำว่า เทรดเดอร์ (Trader) และประเภทที่แตกต่างกันรวมทั้งใครกันแน่ที่เทรดฟอเร็กซ์เก่งที่สุดในโลกโดยจะมาสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ กันที่นี่ที่เดียว
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์