ดัชนีราคาผู้บริโภค คืออะไร ส่งผลต่อกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างไร
ก่อนจะเข้าบทความเรามาทำความรู้จักกับดัชนีผู้บริโภคหรือ CPI ที่ย่อมาจาก Consumer Price Index กันก่อนว่ามีความเป็นมาอย่างไร นักลงทุนบางคนอาจจะยังรู้จักไม่มากนัก บทความนี้ได้หาคำตอบมาให้นักลงทุนหมดแล้ว
ดัชนีราคาผู้บริโภคคืออะไร? เชื่อถือได้แค่ไหน?
ดัชนีผู้บริโภคหรือ (CPI) เป็นดัชนีชี้วัดตัวเลขสถิติทางเศรษฐกิจ ที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนในแต่ละช่วงเวลา เช่น
ในปัจจุบันเปรียบเทียบกับราคาในปีที่กำหนดไว้เป็นปีฐาน
เทียบกับเดือนปัจจุบันที่ผ่านมา
เทียบดัชนีเฉลี่ยกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดย CPI จะเป็นตัววัดมูลค่ารวมในระบบเศรษฐกิจ ทำการวัดกำลังซื้อของหน่อยสกุลเงินของประเทศ ในการคำนวณนั้นจะนำค่าเฉลี่ยของราคาสินค้าและบริการมีใช้คำนวณ CPI ต่อมาก็ได้มีการใช้กันอย่างเป็นวงกว้าง อย่างเช่น คนว่างงาน ผู้ทำอาชีพอิสระ ฯลฯ เพื่อใช้เป็นตัวบ่งชี้สถานะทางเศรษฐกิจ เป็นตัวสะท้อนเงินเฟ้อทางเศรษฐกิจให้เห็นถึงภาวะเงินเฟ้อหรือมูลค่าของเงิน แล้วสามารถนำไปใช้ให้นักลงทุนปรับพอร์ตรับมือกับเงินเฟ้อได้ด้วย
ดัชนีราคาผู้บริโภคมีกี่ประเภท
ประเภท | ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป | ดัชนีราคาผู้บริโภครายได้น้อย | ดัชนีราคาผู้บริโภคเขตชนบท |
ครัวเรือนที่ตั้ง | ในเขตเทศบาลเมือง 4 ภาค กรุงเทพ และปริมณฑล | ในเขตเทศบาลเมือง 4 ภาค กรุงเทพ และปริมณฑล | ในเขตเทศบาลเมือง 4 ภาค กรุงเทพ และปริมณฑล |
สมาชิกในครัวเรือน | 1 - 5 คน | 1 - 5 คน | 2 - 6 คน |
รายได้/ต่อครัวเรือน | 3,000 – 60,000 บาท | 3,000 – 15,000 บาท | 2,000 – 25,000 บาท |
ประโยชน์และข้อจำกัดของดัชนีราคาผู้บริโภค
ประโยชน์ของ CPI
ใช้วัดภาวะอัตราเงินเฟ้อระดับจังหวัดและประเทศ
เป็นแนวทางมาตรฐานในการปรับค่าจ้าง เงินเดือน บำเหน็จ บำนาญ และเงินช่วยเหลือสวัสดิการสังคมในรูปแบบต่าง ๆ
เป็นแนวทางในการปรับค่าจ้างแรงงาน เงินเดือนของข้าราชการและเอกชน
ใช้ในการหาค่าของเงินหรือมูลค่าที่แท้จริง (Real value) ของประชาชน
ใช้วัดค่าครองชีพของประชากรทุกระดับรายได้
ใช้เป็นแนวทางในการวิจัย พยากรณ์การตลาด และราคาสินค้าต่าง ๆ ประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายการเงินและการคลังของประเทศ
ข้อจำกัดของ CPI
ดัชนีราคาผู้บริโภค CPI ใช้วัดเฉพาะการเปลี่ยนแปลงราคาแท้จริงของสินค้าและบริการแต่ไม่มีผลต่อการวัดปัจจัยอื่น ๆ
ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าที่ซื้อขายกันในกลุ่มคนทำงานและมีรายได้ระดับกลางเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้กับผู้มีรายได้ระดับอื่นหรือใช้กับคนทั่วไปได้
ไม่สามารถใช้แทนดัชนีราคาผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดหรือบุคคลหนึ่งได้ เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคแบบกลุ่มมีลักษณะแตกต่างกัน
พารามิเตอร์ใดที่ส่งผลต่อ CPI
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีราคาผู้บริโภคคือ อัตราแลกเปลี่ยน ปริมาณของค่าเงิน การว่างงาน เศรษฐกิจ รายได้ประชาชาติ ที่จะเป็นเครื่องมือในการอธิบายอัตราการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภค-บริโภคต่าง ๆ
ตัวอย่างเช่น
- อัตราแลกเปลี่ยน อาจส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อเศรษฐกิจไทย อัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้รายได้จากการส่งออกที่แปลงเป็นมูลค่าเงินบาทลดลง รวมไปถึงส่งผลต่อเนื่องไปยังค่าจ้างแรงงาน ตลอดจนราคาสินค้าเกษตรและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย
- อัตราการว่างงาน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อ CPI เนื่องจากการบริโภคและการลงทุนลดลง ไม่เกิดการกระจายรายได้ทำให้เกิดปัญหาทางสังคม จนนำไปสู่ความสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งรวมไปถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย
ประวัติดัชนีราคาผู้บริโภคในประเทศไทย
การจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค CPI ในประเทศไทย จัดทำโดยกรมการสนเทศ ในปี พ.ศ. 2486 แต่เป็นการใช้งานเฉพาะภายในหน่วยงานเท่านั้น ต่อมาถึงได้มีการเผยแพร่ ในปี พ.ศ. 2491 โดยใช้ปี พ.ศ. 2491 มาเป็นฐานการพัฒนาปรับปรุงการจัดทำดัชนีราคา จนมาเป็นดัชนีราคาผู้บริโภคในปัจจุบันนั่นเอง จากนั้นได้มีการพัฒนาปรับปรุงดัชนีราคา CPI มาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 ระยะเริ่มต้น (ปี 2486 - 2504)
- เป็นการจัดทำดัชนีค่าครองชีพขึ้นมา เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงค่าใช้จ่ายของคนงาน ข้าราชการรายได้น้อยในกรุงเทพฯ มีรายการสินค้าที่สำรวจเพียง 21 รายการเท่านั้น
- ต่อมาได้จัดทำดัชนีราคาขายปลีก เป็นการคำนวณแบบง่าย ๆ เป็นราคาเฉลี่ยสัมพัทธ์ของสินค้า 58 ชนิด
ระยะที่ 2 ระยะพัฒนา (ปี 2505 – 2519)
เริ่มเข้าสู่ยุคการปฎิรูป มีการจัดทำดัชนีผู้บริโภคครั้งใหญ่
- มีการสำรวจรายจ่ายของครอบครัวเฉพาะในเขตพื้นที่ เพื่อนำมาคำนวณน้ำหนักดัชนีราคาผู้บริโภค CPI และปรับปรุงดัชนีผู้บริโภคมาจนถึงปัจจุบัน
- นำผู้เชี่ยวชาญทางสถิติมาช่วยปรับปรุงให้คำแนะนำ และเพิ่มรายการสินค้าเป็น 232 รายการ
ระยะที่ 3 ระยะสืบสานและก้าวหน้า (ปี 2519 – ปัจจุบัน)
- ระยะที่ 3 นี้ มีการจัดทำดัชนีราคาผู้บริโภค CPI เข้าสู่ระบบสากลแล้ว และมีการปรับปรุงเป็นระยะ ๆ มาตลอด เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป
ดัชนีราคาผู้บริโภคส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร?
การที่ค่า CPI สูงขึ้น จะเป็นตัวผลักดันให้เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรงมากขึ้น ตัวเลข CPI ครั้งล่าสุด คือ 0.3% และเมื่อรายงาน CPI ออกมาแล้วจะทำให้เกิดความผันผวนเป็นอย่างมากในตลาดการลงทุน จากตัวเลขที่สูงขึ้นจะทำให้นักลงทุนหันไปกระจายความเสี่ยงกับตลาดคริปโตฯ กองทุน และตลาดหุ้นแทน
ในทางกลับกันหากตัวเลขการปรับอัตราดอกเบี้ยออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ จะเป็นข้อบ่งชี้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งก่อนได้ค่อย ๆ ลดอัตราเงินเฟ้อลง ผลกระทบคือค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นและทำให้สกุลเงินอื่น ๆ รวมถึงสกุลเงินดิจิทัลและสินค้าโภคภัณฑ์อ่อนค่าลง
ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ส่งผลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยอีกด้วย แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาสินทรัพย์อย่างแน่นอน เมื่อมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ย่อมดึงดูดเม็ดเงินให้เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์การเงินที่เป็นสกุลเงิน USD ทำให้สกุลเงิน USD แข็งค่า และการแข็งค่าของสกุลเงิน USD ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ภายในประเทศสูงขึ้น จึงส่งผลให้ความต้องการสินค้าที่มีราคาสูงลดน้อยลงและสินค้าที่มีราคาต่ำกว่าจากนอกประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้ส่งผลต่อค่า CPI ภายในประเทศตามมานั่นเอง
อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยส่งผลต่อกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร?
อัตราเงินเฟ้อทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นลดลง โดยช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่หักด้วยอัตราเงินเฟ้อนั้นมักจะติดลบไปด้วย และทำให้การวางแผนการลงทุนนั้นมีความไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากไม่อาจคาดการณ์ได้แน่นอนว่าจะต้องลงทุนด้วยจำนวนเท่าไหร่เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ซึ่งเป็นผลมาจากผลตอบแทนที่เปลี่ยนไป อีกทั้งยังอาจส่งผลให้ธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอเงินเฟ้อ ทำให้ส่งผลกระทบในทางลบต่อตลาดหุ้นด้วย เนื่องจากการเพิ่มดอกเบี้ย จะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้นตามนั่นเอง
ผลบวกบางประการของอัตราเงินเฟ้อ
อัตราเงินเฟ้อทำให้เราทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นเพื่อจัดการกับความเสี่ยงได้ เพราะการถือเงินสดไว้กับตัวเองนั้นจะทำให้มูลค่าของเงินที่เราถือไว้นั้นลดลง หลายคนจึงเลือกลงทุนผ่านหุ้น
- กลุ่มธนาคาร SCB, KBANK, BBL
- กลุ่มประกัน BLA, TIPH
- กลุ่มส่งออกอาหาร ASIAN, CFRESH
หุ้นกลุ่มพวกนี้จะได้รับประโยชน์โดยตรง นอกจากจะเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นแล้ว ยังสามารถทำกำไรได้จากการลงทุนเทรดทองคำ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการลงทุนเพื่อเก็งกำไร เพราะซื้อง่าย ขายคล่อง และจับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็น
- การลงทุนในทองคำแท่ง
- การลงทุนทองคำผ่านกองทุนรวม และ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Gold Futures)
- การเทรดทองคำออนไลน์ สามารถซื้อขายได้สะดวก
ปัจจุบันมีผู้ให้บริการผ่านโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือมากมาย เช่น โบรกเกอร์ Mitrade เป็นแพลตฟอร์มเทรดที่ใช้งานง่าย และยังสามารถเลือกการเทรดได้หลากหลาย เช่น เทรดฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี หุ้น และตราสารทางการเงินยอดนิยมอื่น ๆ อีกมากมายบน Mitrade
คำแนะนำการลงทุนภายใต้ภาวะเศรษฐกิจเงินเฟ้อ
เมื่อภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้น อย่าเก็บเงินสดไว้ที่บ้าน ทางที่ดีให้นำเงินไปฝากธนาคารโดยการกินดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ อย่าไปฝากแบบระยะยาว และเลือกลงทุนในตราสารหุ้นต่าง ๆ ที่ได้กำไรจากภาวะเงินเฟ้อ จะมีการลงทุนอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
กองทุนรวม แนะนำให้กระจายุความเสี่ยงผ่านการลงทุนในหลายสินทรัพย์ ที่มีผู้จัดการกองทุนจัดสรรพอร์ตการลงทุนให้ เป็นวิธีที่สะดวกสำหรับนักลงทุนที่อยากลงทุนแต่มีเวลาน้อย
ลงทุนในตราสารหนี้ แต่ไม่ควรถือตราสารหนี้ในระยะยาวมากเกินไปในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เพราะการปรับนโยบายดอกเบี้ยขึ้น อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินต้องมีการปรับเพิ่มตามไปด้วย แต่อาจจะต้องเลือกประเภทของตราสารหนี้ที่เป็น Floating Rate bond หรือ Inflation Linked Bond ที่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายในแต่ละงวดตามอัตราดอกเบี้ย
เทรดทองคำ หลายคนรู้กันดีว่าทองคำเป็นสิ่งที่ต่อสู้กับเงินเฟ้อได้เป็นอย่างดีเลย ยิ่งเงินเฟ้อสูงราคาทองยิ่งเติบโต สามารถลงทุนได้ในระยะยาวอีกด้วย แนะนำเลยการเทรดทองในช่วงภาวะเงินเฟ้อน่าสนใจมาก
ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ จะทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่เกิดเงินเฟ้อได้เช่นกัน เนื่องจากราคาสินทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้
ลงทุนหุ้น ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนในภาวะเงินเฟ้อ แต่ก็ต้องเลือกหุ้นที่มีความปลอดภัยสูง อาทิเช่น
หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาขายสินค้าและอัตรากำไรขั้นต้นปรับสูงขึ้น | หุ้นที่ประกอบธุรกิจนำเข้า ต้นทุนการนำเข้าสินค้าต่ำลงจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น |
ข้อสังเกตก่อนการลงทุน - รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ - รายได้จากค่าธรรมเนียม | ข้อสังเกตก่อนการลงทุน -ต้นทุน - อัตรากำไรขั้นต้น |
หุ้นธนาคารพาณิชย์ ยอดสินเชื่อเติบโต | หุ้นประกันชีวิต ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้ปรับสูงขึ้น |
ข้อสังเกตก่อนการลงทุน - รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ - รายได้จากค่าธรรมเนียม | ข้อสังเกตก่อนการลงทุน - ผลกำไร-ขาดทุน จากการลงทุน |
อย่างสุดท้ายเลือกลงทุนใน Cryptocurrency ก็เป็นการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้นะ เพราะว่าเหรียญ Bitcoin มีจำนวนจำกัด ทำให้มีความต้องการซื้อมากขึ้น ก็จะเป็นการนำไปสู่ราคาของ Cryptocurrency ที่มากขึ้นตามไปด้วย
และทั้งหมดนี้เป็นคำแนะนำเบื้องต้นของการลงทุนภายใต้สภาวะเศรษฐกิจเงินเฟ้อ ผู้เขียนหวังว่านักลงทุนทุกคนจะนำข้อมูลการลงทุนไปปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน และเลือกจัดการพอร์ตการลงทุนของตนเองให้เข้ากับสภาวะของตลาดนะคะ
อ้างอิง:krungthai
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน