เทรดทอง Forex คืออะไร วิธีเทรดทอง Forex ให้ได้กำไร 2568

อัพเดทครั้งล่าสุด
coverImg
แหล่งที่มา: DepositPhotos

การ เทรดทอง Forex เป็นสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกต่างให้ความสนใจ แถมราคาทองคำยังทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง บทความนี้ เราจะมาเจาะลึกวิธีเทรดทอง Forex ให้ได้กำไรในปี 2568 ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน กลยุทธ์ที่ใช้ได้จริง ไปจนถึงวิธีเริ่มต้นเทรดและปลอดภัยกับโบรกเกอร์ชั้นนำ

เทรดทอง Forex คืออะไร?

XAUUSD คือการจับคู่กันของทองคำ และสกุลเงินดอลลาร์


การ เทรดทอง Forex คือการซื้อขายราคาทองคำในตลาดการเงินโลกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยที่นักลงทุนไม่ต้องซื้อขายหรือส่งมอบทองคำจริง ๆ แต่เป็นการทำธุรกรรมผ่านเครื่องมือทางการเงินที่เรียกว่า “สัญญาซื้อขายส่วนต่าง” หรือ CFD (Contract for Difference)


หัวใจสำคัญของการเทรด CFD คือการทำกำไรจาก “ส่วนต่าง” ของราคา ณ จุดที่เปิดสัญญาและจุดที่ปิดสัญญา โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น ๆ


สิ่งนี้เปิดโอกาสให้นักเทรดสามารถทำกำไรได้ทั้งในสภาวะตลาดขาขึ้น (โดยการเปิดสถานะซื้อ หรือ Buy) และตลาดขาลง (โดยการเปิดสถานะขาย หรือ Sell)    


ในตลาด Forex ทองคำมีสัญลักษณ์สากลคือ “XAU” ซึ่งมักจะถูกจับคู่เพื่อซื้อขายกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ทำให้เกิดเป็นคู่เทรดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่นักเทรดทองคำทั่วโลก นั่นคือ “XAU/USD”

วิธีเทรดทอง Forex ให้ได้กำไร

เช็คลิสง่ายๆ สำหรับการเริ่มต้นเทรดทอง Forex ให้ได้กำไร


การเทรดทอง Forex ให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องของโชคช่วย แต่เป็นผลลัพธ์ของการวางแผนอย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์ที่เฉียบคม และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย 


สำหรับปี 2568 เป็นปีที่นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าเป็นปีที่น่าจับตามองของตลาดทองคำ


1.ศึกษาและวิเคราะห์

ก่อนที่จะวางเงินลงทุนแม้แต่บาทเดียว ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจภาพใหญ่ของตลาดเสียก่อน สำหรับปี 2568 มีปัจจัยมหภาคหลายอย่างที่กำลังก่อตัวและมาบรรจบกัน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อราคาทองคำอย่างยิ่ง


  • นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed): แนวโน้มที่ชัดเจนที่สุดคือการที่ Fed จะเริ่มวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางถึงปลายปี 2568 เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทุกครั้งที่ Fed ลดดอกเบี้ย มันจะลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ (ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่จ่ายดอกเบี้ย) และกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้เป็นผลบวกโดยตรงต่อราคาทองคำ


  • ภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่: แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงจากจุดสูงสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ Fed ในสภาวะที่มูลค่าของเงินสดถูกกัดกร่อนลงทุกวัน ทองคำจะยิ่งฉายแววในฐานะ “สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ” (Hedge against Inflation) ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความเชื่อมั่น


  • ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์: สถานการณ์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ ไม่ว่าจะเป็นสงครามในยุโรปตะวันออกหรือความตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงสงครามการค้าที่อาจปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ ล้วนสร้างบรรยากาศของความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก ในช่วงเวลาเช่นนี้ กระแสเงินทุนจะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น) และมุ่งหน้าเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งทองคำคือจุดหมายปลายทางอันดับแรกเสมอ


  • แรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก: นี่คือปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง รายงานจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) ยืนยันอย่างต่อเนื่องว่าธนาคารกลางของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ยังคงสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิอย่างแข็งแกร่ง การเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องนี้เป็นการสร้างอุปสงค์ที่แท้จริงในตลาดและเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำในระยะยาว


  • แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ: จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น โดยเฉพาะการคาดการณ์เรื่องการลดดอกเบี้ยของ Fed ทำให้นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่งคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน ว่าดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องในปี 2568-2569 ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกโดยตรงต่อราคา XAU/USD


การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในอนาคต

ที่มา: advisorperspectives.com


2.เลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้

  • ใบอนุญาตและการกำกับดูแล (Regulation): นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโบรกเกอร์ที่คุณเลือกนั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานทางการเงินที่น่าเชื่อถือในระดับสากล เช่น ASIC (ออสเตรเลีย), CySEC (ไซปรัส) หรือ FCA (สหราชอาณาจักร) ใบอนุญาตเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่าโบรกเกอร์มีการดำเนินงานที่โปร่งใสและมีมาตรฐานความปลอดภัยทางการเงิน


  • ค่าธรรมเนียมการเทรด (Trading Costs): ทำความเข้าใจโครงสร้างค่าธรรมเนียมให้ชัดเจน ซึ่งโดยทั่วไปจะประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ สเปรด (Spread) หรือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขาย, ค่าคอมมิชชั่น (Commission) ซึ่งบางบัญชีอาจมีหรือไม่มี และ ค่าสวอป (Swap) หรือค่าธรรมเนียมในการถือสถานะข้ามคืน โบรกเกอร์ที่ดีควรแสดงข้อมูลเหล่านี้อย่างโปร่งใส


  • แพลตฟอร์มการเทรด (Trading Platform): แพลตฟอร์มต้องมีความเสถียรสูง ส่งคำสั่งได้รวดเร็ว ไม่ค้างหรือเกิดข้อผิดพลาดบ่อยครั้ง ควรมีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ครบครัน และที่สำคัญคือต้องใช้งานง่าย เหมาะสมกับระดับประสบการณ์ของเทรดเดอร์


  • การฝาก-ถอนเงิน: กระบวนการฝากและถอนเงินต้องมีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ควรตรวจสอบว่าโบรกเกอร์รองรับช่องทางการชำระเงินที่คนไทยนิยมใช้หรือไม่ เช่น การโอนเงินผ่านธนาคารในประเทศ หรือ QR Code Payment


  • การสนับสนุนลูกค้า (Customer Support): ในกรณีที่เกิดปัญหาหรือมีข้อสงสัย การมีทีมงานสนับสนุนที่เป็นคนไทยและสามารถติดต่อได้ง่ายและรวดเร็วถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก


สำหรับนักลงทุนชาวไทย การเลือกโบรกเกอร์ที่เข้าใจความต้องการและมีแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายเป็นสิ่งสำคัญ Mitrade เป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ (เช็คที่นี่) และมีจุดเด่นที่แอปพลิเคชันซึ่งออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นและผู้ที่มีประสบการณ์ที่ต้องการความคล่องตัวในการเทรด


mitrade
💸 ห้ามพลาด!!! 💸
เทรดทองคำกับโบรกเกอร์ชั้นนำในโลก🎁🎁🎁


แจกโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์
ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรี 💰
การลงทุนมีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน


3.สร้างแผนการเทรด

การมีแผนเทรดที่ชัดเจน จะทำให้ไม่หวั่นไหวต่อความผันผวนในตลาด


แผนการเทรดคือกฎเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติทั้งหมดของคุณ ซึ่งจะช่วยให้คุณเทรดอย่างมีวินัย ตัดสินใจโดยใช้เหตุผลแทนอารมณ์ และสามารถวัดผลเพื่อพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง


  • เป้าหมายการเทรด: กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและมีการวัดผล แทนที่จะตั้งเป้าหมายลอยๆ ว่า “อยากรวย” ให้เปลี่ยนเป็น “ต้องการสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อเดือนจากพอร์ตการลงทุน โดยยอมรับความเสี่ยงได้ไม่เกิน 2% ต่อการเทรด”


  • สไตล์การเทรด: คุณเป็นเทรดเดอร์ประเภทไหน? คุณมีเวลาเฝ้าหน้าจอมากน้อยเพียงใด


    • Day Trader: เปิดและปิดออเดอร์ภายในวันเดียว ไม่ถือสถานะข้ามคืน

    • Swing Trader: ถือสถานะเป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ เพื่อทำกำไรจากรอบการแกว่งตัวของราคา

    • Position Trader: ถือสถานะเป็นเวลาหลายเดือนหรือเป็นปี โดยอิงจากการวิเคราะห์แนวโน้มใหญ่ในระยะยาว


  • กลยุทธ์เข้า-ออก: ระบุเงื่อนไขที่ชัดเจนว่าคุณจะเข้าสู่ตลาด (เปิดออเดอร์) เมื่อใด และจะออกจากตลาด (ปิดออเดอร์) เมื่อใด เช่น “จะเข้าซื้อ (Buy) เมื่อราคาทองคำทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันขึ้นไป และจะขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวขึ้นไป 50 ดอลลาร์”


  • กฎการบริหารความเสี่ยง: นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด กำหนดจำนวนเงินสูงสุดที่คุณยอมเสียได้ในการเทรดแต่ละครั้ง โดยทั่วไปแล้ว เทรดเดอร์มืออาชีพแนะนำให้เสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดในพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง


  • การทบทวนและบันทึก: สร้างบันทึกการเทรดเพื่อจดรายละเอียดของการเทรดทุกครั้ง รวมถึงเหตุผลในการเข้า-ออก, ผลลัพธ์ และอารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้น การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณสามารถเรียนรู้จากทั้งความสำเร็จและความผิดพลาดของตัวเองได้อย่างเป็นระบบ


4.บริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด

ในโลกของการเทรด มีเพียงสิ่งเดียวที่เราสามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ นั่นคือ “ความเสี่ยง” เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักมองว่าการบริหารความเสี่ยงเป็นเพียงเครื่องมือ “ป้องกัน” การขาดทุน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างกำไรอย่างยั่งยืน ต่อไปนี้ คือเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่ต้องใช้ทุกครั้ง


  • Stop-Loss (SL): คือคำสั่งที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อ “ปิดสถานะขาดทุนโดยอัตโนมัติ” เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คุณคาดการณ์ไว้ถึงระดับที่กำหนด มันคือเข็มขัดนิรภัยที่ช่วยป้องกันไม่ให้การขาดทุนเล็กน้อยกลายเป็นความเสียหายใหญ่หลวงที่ยากจะแก้ไข


  • Take-Profit (TP): คือคำสั่งที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อ “ปิดสถานะทำกำไรโดยอัตโนมัติ” เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงเป้าหมายที่คุณวางไว้ มันช่วยให้คุณสามารถล็อกผลกำไรได้อย่างแน่นอนก่อนที่ตลาดอาจจะเกิดการกลับตัว ซึ่งช่วยขจัดอารมณ์ความโลภที่อาจทำให้คุณถือสถานะนานเกินไปจนกำไรหายไป


ตัวอย่างเช่น


คำนวนความเสี่ยงทุกครั้งก่อนเทรด และอย่าเสียเกินกว่าแผนที่เตรียมไว้


  • คุณมีเงินทุนในพอร์ต $1,000 และตั้งกฎว่าจะเสี่ยงไม่เกิน 2% ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง ($20)

  • คุณวิเคราะห์กราฟ XAU/USD และคาดว่าราคาจะปรับตัวขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ $3,700 

  • คุณจึงวางแผนเข้าซื้อ (Buy) โดยตั้งเป้าหมายทำกำไร (Take-Profit) ที่ $3,730 (ระยะทำกำไร 30 จุด)

  • และตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss) ที่ $3,690 (ระยะตัดขาดทุน 10 จุด)

  • ในกรณีนี้ อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk/Reward Ratio) ของคุณคือ 1:3 ซึ่งหมายความว่าทุกๆ 1 ดอลลาร์ที่คุณเสี่ยง คุณมีโอกาสที่จะได้กำไรกลับมา 3 ดอลลาร์ นี่คือการเทรดที่มีความคุ้มค่าและเป็นไปตามหลักการบริหารความเสี่ยงที่ดี


5.การส่งคำสั่งซื้อขาย

หลังจากที่คุณได้ทำการวิเคราะห์ วางแผน และกำหนดจุด SL/TP เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการส่งคำสั่งเข้าสู่ตลาดบนแพลตฟอร์มการเทรด คุณจะต้องระบุขนาดของสถานะ (Lot Size) ที่คำนวณไว้ และกดส่งคำสั่ง "ซื้อ" (Buy/Long) หากคุณคาดว่าราคาจะขึ้น หรือ "ขาย" (Sell/Short) หากคุณคาดว่าราคาจะลง


6.ทบทวนและพัฒนา

วงจรของการเทรดที่ประสบความสำเร็จไม่ได้จบลงที่การปิดออเดอร์ แต่จบลงที่การทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เทรดเดอร์ที่เติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่องคือผู้ที่กลับไปศึกษาบันทึกการเทรดของตนเอง เพื่อวิเคราะห์ว่าอะไรที่ทำได้ดี และอะไรที่ควรปรับปรุง


การทำ Trading Journal อย่างสม่ำเสมอคือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการค้นหาจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง และปรับปรุงกลยุทธ์ให้เฉียบคมยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปจำไว้เสมอว่า เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ไม่เคยแพ้ แต่เป็นคนที่เรียนรู้จากทุกความพ่ายแพ้


เคล็ดลับจากเทรดเดอร์มืออาชีพ

นอกเหนือจากเทคนิคและขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมา สิ่งที่มักจะแยกระหว่างเทรดเดอร์มืออาชีพกับมือสมัครเล่นออกจากกันอย่างชัดเจนคือมิติของ “วินัย” และ “จิตวิทยาการเทรด”


มืออาชีพจะเทรดตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ใช่อารมณ์ที่ผันผวนไปตามราคาที่แกว่งไปมา พวกเขารู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะเข้าเทรด และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือรู้ว่าเมื่อไหร่ “ไม่ควร” เทรด 


การมีความอดทนที่จะรอคอย หรือรอจังหวะการเทรดที่ดีที่สุดตามแผนของตัวเอง คืออาวุธที่ทรงพลังที่สุดในการเอาชนะความผันผวนของตลาดเทรดทอง Forex ในระยะยาว

ทดลองเทรดทอง Forex ให้ได้กำไร

ก่อนที่จะโดดลงสู่สนามรบจริงด้วยเงินทุนของคุณเอง การใช้เวลาฝึกฝนในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้และปราศจากความเสี่ยงถือเป็นขั้นตอนที่ชาญฉลาดและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน และเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับวัตถุประสงค์นี้ก็คือ บัญชีเดโม่ (Demo Account) และนี่คือประโยชน์หลักๆ ที่คุณจะได้รับจากการฝึกฝนผ่านบัญชีเดโม่


  • ฝึกฝนโดยปราศจากความเสี่ยง: คุณจะได้รับเงินทุนเสมือนจริง เช่น $50,000 เพื่อใช้ในการฝึกเทรด ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถทดลองกลยุทธ์ต่างๆ ลองผิดลองถูก และเรียนรู้จากความผิดพลาดได้โดยไม่ต้องเสี่ยงกับการสูญเสียเงินจริงแม้แต่บาทเดียว


  • สภาพแวดล้อมการเทรดที่สมจริง: บัญชีเดโม่ที่ดีจะใช้ข้อมูลราคาและกราฟแบบเรียลไทม์จากตลาดจริง ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้ฝึกฝนภายใต้สภาวะความผันผวนของตลาดที่เกิดขึ้นจริง ทำให้การฝึกฝนของคุณมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปปรับใช้กับการเทรดจริงได้


  • สร้างความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์ม: แต่ละโบรกเกอร์มีแพลตฟอร์มการเทรดที่มีหน้าตาและฟังก์ชันการใช้งานแตกต่างกัน การใช้บัญชีเดโม่จะช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีการส่งคำสั่งซื้อ-ขาย การตั้งค่า Stop-Loss และ Take-Profit การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆ และการจัดการพอร์ตโฟลิโอจนเกิดความชำนาญ


  • ทดสอบและปรับปรุงกลยุทธ์: บัญชีเดโม่คือห้องทดลองส่วนตัวของคุณ คุณสามารถนำกลยุทธ์ที่ได้ศึกษามาทดลองใช้จริงเพื่อดูว่ามันทำงานได้ดีเพียงใดในสภาวะตลาดต่างๆ และสามารถปรับปรุงแก้ไขกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้โดยไม่มีต้นทุน


  • สร้างความมั่นใจและควบคุมอารมณ์: การฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในบัญชีเดโม่จะช่วยสร้างความมั่นใจและลดความกลัวหรือความลังเลเมื่อคุณต้องเปลี่ยนไปเทรดด้วยเงินจริง มันช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดและเป็นไปตามแผนที่วางไว้ แทนที่จะถูกควบคุมโดยอารมณ์


ซึ่งทั้งหมดนี้ คุณสามารถทดลองเปิดบัญชีเดโม่กับทาง Mitrade ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งกระบวนการเปิดบัญชีเดโม่กับ Mitrade ถูกออกแบบมาให้ง่ายและรวดเร็วที่สุด เพื่อช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงตลาดทองคำโลกและเริ่มต้นฝึกฝนฝีมือได้ทันที


mitrade
💸 ห้ามพลาด!!! 💸
เทรดทองคำกับโบรกเกอร์ชั้นนำในโลก🎁🎁🎁


แจกโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์
ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรี 💰
การลงทุนมีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน

ข้อดีของการเทรดทอง Forex

เทรดทอง Forex ผ่าน CFD ที่มีความยืดหยุ่นกว่าซื้อขายทองแท่งจริงๆ

การเทรดทอง Forex ผ่าน CFD ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่เพราะความน่าดึงดูดใจของทองคำในฐานะสินทรัพย์ แต่ยังเป็นเพราะรูปแบบการเทรดที่มีข้อได้เปรียบหลายประการซึ่งการลงทุนแบบดั้งเดิมไม่มีให้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการเทรดทอง Forex ถึงน่าสนใจอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน


  1. สภาพคล่องสูงที่สุดในโลก: ตลาดทองคำเป็นหนึ่งในตลาดการเงินที่มีปริมาณการซื้อขายหนาแน่นที่สุดในโลก สภาพคล่องที่สูงนี้หมายความว่าคุณสามารถเปิดหรือปิดสถานะการเทรดของคุณได้แทบจะทันทีในราคาตลาด โดยมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดปัญหาการ “ติดดอย” หรือ “ขายไม่ออก” ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ


  2. ตลาดเปิดเกือบตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์: ตลาด Forex เป็นตลาดแบบกระจายศูนย์ (Over-the-Counter) ที่ไม่มีที่ตั้งทางกายภาพ ทำให้สามารถทำการซื้อขายได้อย่างต่อเนื่องตามโซนเวลาของศูนย์กลางการเงินหลักของโลก ตั้งแต่ตลาดซิดนีย์เปิดในเช้าวันจันทร์ ไปจนถึงตลาดนิวยอร์กปิดในคืนวันศุกร์ความยืดหยุ่นนี้ช่วยให้นักลงทุนชาวไทยสามารถเลือกเทรดในเวลาที่สะดวกได้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้า ช่วงบ่าย หรือแม้กระทั่งช่วงดึก


  3. ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง: นี่คือหนึ่งในข้อได้เปรียบที่ทรงพลังที่สุดของการเทรด CFD ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการซื้อทองคำแท่งที่ทำกำไรได้เมื่อราคาขึ้นเท่านั้น หากคุณวิเคราะห์แล้วคาดว่าราคาทองคำกำลังจะปรับตัวลดลง คุณสามารถเปิดสถานะ “ขาย” (Short Sell) เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคาที่ลดลงได้ ความสามารถในการทำกำไรในทุกสภาวะตลาดนี้เองที่เปิดโอกาสในการลงทุนได้อย่างไม่จำกัด


  4. ใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มอำนาจการลงทุน: เลเวอเรจคือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถใช้เงินทุนจำนวนน้อยเพื่อควบคุมสถานะการเทรดที่มีมูลค่าสูงกว่าได้ ตัวอย่างเช่น ด้วยเลเวอเรจ 1:20 คุณสามารถใช้เงินเพียง $100 เพื่อเปิดสถานะการเทรดที่มีมูลค่าถึง $2,000 ได้ สิ่งนี้ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรได้อย่างมหาศาล อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำเตือนเสมอ คือเลเวอเรจเป็นดาบสองคมที่สามารถขยายผลขาดทุนได้มากเท่ากับที่ขยายผลกำไร จึงต้องใช้อย่างมีความเข้าใจและระมัดระวัง


  5. เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงชั้นเยี่ยม: ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนรุนแรง เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ หรือค่าเงินมีความไม่แน่นอน นักลงทุนสถาบันและผู้จัดการกองทุนขนาดใหญ่มักจะเข้าซื้อทองคำเพื่อ “ป้องกันความเสี่ยง” (Hedge) ให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวมของพวกเขา เนื่องจากราคาทองคำมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น) การมีสถานะในทองคำจึงสามารถช่วยชดเชยการขาดทุนจากสินทรัพย์อื่นๆ ได้

กลยุทธ์การเทรดทอง Forex

เมื่อเข้าใจพื้นฐานและขั้นตอนการเทรดแล้ว หัวใจสำคัญต่อไปคือการมี “กลยุทธ์” ที่ชัดเจน เทรดเดอร์มือใหม่จำนวนมากมักจะตามหากลยุทธ์ “ที่ดีที่สุด” เพียงหนึ่งเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีกลยุทธ์ใดที่สามารถใช้ได้ผลในทุกสภาวะตลาด


เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวจึงไม่ได้มีเพียงกลยุทธ์เดียว แต่มีหลากหลายเครื่องมือ และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าจะต้องหยิบเครื่องมือชิ้นไหนออกมาใช้ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดในขณะนั้น ซึ่งเราจะยกตัวอย่างคร่าวๆ ให้คุณได้ทราบ


กลยุทธ์ที่ 1: การเทรดตามปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental “News” Trading)

กลยุทธ์นี้มีพื้นฐานมาจากการใช้ข้อมูลและการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญเป็นตัวชี้นำในการตัดสินใจเทรด เนื่องจากตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงสุขภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อค่าเงินดอลลาร์และราคาทองคำ


ข่าวเศรษฐกิจที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ:

  • การประกาศอัตราดอกเบี้ยของ Fed (FOMC Statement): ถือเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดรุนแรงและโดยตรงที่สุด การตัดสินใจขึ้น คงที่ หรือลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ สามารถกำหนดทิศทางของค่าเงินดอลลาร์และราคาทองคำได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน


  • ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (Non-Farm Payrolls - NFP): ประกาศในวันศุกร์แรกของทุกเดือน ตัวเลขนี้เป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและเศรษฐกิจสหรัฐฯ หากตัวเลขออกมาดีกว่าคาดการณ์ มักจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าและกดดันราคาทองคำ และในทางกลับกัน


  • ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index - CPI): เป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่สำคัญที่สุด หากตัวเลข CPI สูงกว่าคาดการณ์ แสดงว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ


วิธีการเทรด: เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์นี้จะต้องติดตามปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar) อย่างใกล้ชิดและเตรียมพร้อมก่อนที่ข่าวจะประกาศ โดยสามารถเทรดได้ 2 รูปแบบหลัก คือ หนึ่ง เทรดตามโมเมนตัมที่เกิดขึ้นทันทีหลังข่าวประกาศ หรือสอง รอให้ความผันผวนของตลาดลดลง แล้วจึงเข้าเทรดตามแนวโน้มใหม่ที่เกิดขึ้น


กลยุทธ์ที่ 2: การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Following)

กลยุทธ์ที่ง่ายๆ สามารถประยุกต์ใช้ได้หลายสินทรัพย์


นี่คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่คลาสสิกและเป็นที่นิยมมากที่สุด โดยมีหลักการง่ายๆ ว่า “The Trend is Your Friend” หรือ “แนวโน้มคือเพื่อนของคุณ” แทนที่จะพยายามคาดเดาจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของตลาด กลยุทธ์นี้จะเน้นไปที่การระบุทิศทางหลักของตลาดแล้วเทรดไปในทิศทางเดียวกันนั้น 


  • เครื่องมือที่ใช้: เครื่องมือหลักที่ใช้ในการระบุแนวโน้มคือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average - MA) โดยนิยมใช้เส้นค่าเฉลี่ยระยะกลาง (เช่น 50-period EMA) และเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (เช่น 200-period EMA) ควบคู่กัน

  • วิธีการเทรด:

    • ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): กราฟราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ “เหนือ” เส้น EMA 200 อย่างต่อเนื่อง จุดเข้าซื้อที่ดีที่สุดไม่ใช่การไล่ราคา แต่คือการรอจังหวะที่ราคาย่อตัวลงมาทดสอบบริเวณแนวรับของเส้น EMA 50 แล้วจึงเปิดสถานะ “ซื้อ” (Buy on Dip)


    • ในแนวโน้มขาลง (Downtrend): กราฟราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ “ใต้” เส้น EMA 200 อย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน จุดเข้าขายที่ดีที่สุดคือการรอจังหวะที่ราคาดีดตัวขึ้นไปทดสอบบริเวณแนวต้านของเส้น EMA 50 แล้วจึงเปิดสถานะ “ขาย” (Sell on Rally)


กลยุทธ์ที่ 3: การเทรดในกรอบราคา (Range Trading)

ไม่ใช่ทุกช่วงเวลาที่ตลาดจะมีแนวโน้มที่ชัดเจน บ่อยครั้งที่ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในกรอบราคาที่จำกัด หรือที่เรียกว่า “ตลาดไซด์เวย์” (Sideways Market) ในสภาวะเช่นนี้ กลยุทธ์การเทรดในกรอบราคาจะทำงานได้ดีที่สุด


  • เครื่องมือที่ใช้: การระบุ แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) บนกราฟราคา

  • แนวรับ: คือระดับราคาที่มักจะมีแรงซื้อเข้ามาพยุงไว้ ทำให้ราคาหยุดการปรับตัวลงและมีแนวโน้มที่จะดีดตัวกลับขึ้นไป

  • แนวต้าน: คือระดับราคาที่มักจะมีแรงขายออกมากดดันไว้ ทำให้ราคาหยุดการปรับตัวขึ้นและมีแนวโน้มที่จะย่อตัวกลับลงมา

  • วิธีการเทรด:

    • เปิดสถานะ “ซื้อ” (Buy) เมื่อราคาปรับตัวลงมาทดสอบบริเวณแนวรับที่แข็งแกร่ง และเริ่มมีสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น (เช่น เกิดแท่งเทียนกลับตัว)

    • เปิดสถานะ “ขาย” (Sell) เมื่อราคาปรับตัวขึ้นไปทดสอบบริเวณแนวต้านที่แข็งแกร่ง และเริ่มมีสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลง

บทสรุป

การ เทรดทอง Forex ได้แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่รอคอยนักลงทุนอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ที่ปัจจัยพื้นฐานมหภาคหลายประการต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกัน 


นี่คือช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับตลาดทองคำ และตอนนี้คือโอกาสที่ดีที่สุดที่คุณจะเริ่มต้นศึกษาและเตรียมความพร้อม ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดคือการลงมือทำ เริ่มต้นเส้นทางการเทรดของคุณวันนี้โดยการ เปิดบัญชีเดโม่กับ Mitrade เพื่อฝึกฝนกลยุทธ์ในสภาพแวดล้อมที่ไร้ความเสี่ยง และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสที่กำลังจะมาถึง


คำถามที่พบบ่อย

เทรดทอง Forex กับซื้อทองคำแท่ง แบบไหนดีกว่ากัน?

ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและสไตล์การลงทุน หากเป็นนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาการเทรดทอง Forex (CFD) อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่หากเป้าหมายของคุณคือการลงทุนระยะยาว การซื้อทองคำแท่งจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า

การเทรดทอง Forex มีความเสี่ยงสูงหรือไม่?

ใช่ การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง และการเทรดทอง Forex โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการใช้เลเวอเรจ ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่อาจทำให้สูญเสียเงินทุนทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วดังนั้น การทำความเข้าใจในผลิตภัณฑ์อย่างถ่องแท้ การมีแผนการเทรดที่ชัดเจน และการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อจำกัดความเสียหายและอยู่รอดในตลาดระยะยาว

ต้องใช้เงินทุนขั้นต่ำเท่าไหร่ในการเริ่มเทรดทอง Forex?

การเทรด Forex ผ่าน CFD สามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินทุนที่ไม่สูงมากนัก (เช่น $100-$200) เนื่องจากมีระบบเลเวอเรจ อย่างไรก็ตาม เราแนะนำให้เริ่มต้นด้วยเงินทุนที่มากพอที่จะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม และที่สำคัญที่สุดคือ ควรเริ่มต้นจากการฝึกฝนในบัญชีเดโม่จนเกิดความชำนาญก่อนที่จะลงทุนด้วยเงินจริง

*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

goTop
quote
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
บทความที่เกี่ยวข้อง
placeholder
แนวโน้มราคาทองคำในอนาคตปี 2568-2569 ทำไมทองถึงพุ่งแรงและจะไปต่อหรือไม่ราคาทองทะลุ 3,000 ดอลลาร์ไปแล้ว ใครที่ซื้อทองเก็บไว้ช่วงก่อนหน้านี้ ตอนนี้กำลังยิ้มร่าแก้มปริกันเลยใช่มั้ยล่ะ? แต่ถ้าคุณเป็นคนนึงที่ยังลังเลไม่กล้าซื้อเพราะกลัวราคาจะร่วง บทความนี้มีคำตอบให้ มาดูกันว่าเหล่ากูรูระดับโลกคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำปี 2568-2569 ไว้อย่างไร
ผู้เขียน  MitradeInsights
4 เดือน 25 วัน ศุกร์
ราคาทองทะลุ 3,000 ดอลลาร์ไปแล้ว ใครที่ซื้อทองเก็บไว้ช่วงก่อนหน้านี้ ตอนนี้กำลังยิ้มร่าแก้มปริกันเลยใช่มั้ยล่ะ? แต่ถ้าคุณเป็นคนนึงที่ยังลังเลไม่กล้าซื้อเพราะกลัวราคาจะร่วง บทความนี้มีคำตอบให้ มาดูกันว่าเหล่ากูรูระดับโลกคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำปี 2568-2569 ไว้อย่างไร
placeholder
ตลาดทองเปิดกี่โมง พื้นฐานและเทคนิคที่นักลงทุนต้องรู้ถ้าคุณสนใจเทรดทองคำในตลาด ก็จะต้องมีคำถามว่า “ตลาดทองเปิดกี่โมง?” เพราะการเข้าใจเรื่องเวลาเปิด-ปิดถือเป็นพื้นฐานสำคัญ วันนี้ มาทำความเข้าใจกันว่าตลาดทองเปิดกี่โมง และช่วงเวลาไหนที่เหมาะสมกับการเทรดทองคำที่สุด
ผู้เขียน  ชัญญาพัชร์ ประวาสุขInsights
3 เดือน 18 วัน อังคาร
ถ้าคุณสนใจเทรดทองคำในตลาด ก็จะต้องมีคำถามว่า “ตลาดทองเปิดกี่โมง?” เพราะการเข้าใจเรื่องเวลาเปิด-ปิดถือเป็นพื้นฐานสำคัญ วันนี้ มาทำความเข้าใจกันว่าตลาดทองเปิดกี่โมง และช่วงเวลาไหนที่เหมาะสมกับการเทรดทองคำที่สุด
placeholder
เทรดทองแอพไหนดี?แนะนำ 6 แอปเทรดทองที่นิยมใช้กันในปี 2568ทองคำเป็นตัวเลือกที่นักลงทุนให้ความสำคัญเสมอมา เราจะเลือกเทรดทองแอพไหนดี คราวนี้เราจะแนะนำ 6 แอพเทรดทองที่นิยมใช้กันในปี 2568!
ผู้เขียน  MitradeInsights
9 เดือน 15 วัน จันทร์
ทองคำเป็นตัวเลือกที่นักลงทุนให้ความสำคัญเสมอมา เราจะเลือกเทรดทองแอพไหนดี คราวนี้เราจะแนะนำ 6 แอพเทรดทองที่นิยมใช้กันในปี 2568!
placeholder
คู่มือนักเทรดทองคำมือใหม่: ปูทางสู่ความสำเร็จในปี 2568การเทรดทองคำเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน ด้วยความที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามั่นคงและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ทำให้นักลงทุนจำนวนมากสนใจที่จะเริ่มต้นเทรดทองคำ บทความนี้ จะพาคุณเจาะลึกแง่มุมของการเทรดทองคำ ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงเทคนิคการทำกำไรสำหรับมือใหม่
ผู้เขียน  MitradeInsights
9 เดือน 28 วัน อาทิตย์
การเทรดทองคำเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน ด้วยความที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามั่นคงและเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ทำให้นักลงทุนจำนวนมากสนใจที่จะเริ่มต้นเทรดทองคำ บทความนี้ จะพาคุณเจาะลึกแง่มุมของการเทรดทองคำ ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงเทคนิคการทำกำไรสำหรับมือใหม่
placeholder
ซื้อทองเก็บไว้ดีไหม 2568? วิเคราะห์เจาะลึกทุกปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินโลกและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2567 ที่ราคาทองได้พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ บทความนี้ เราจะวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทอง พร้อมตอบคำถามว่าซื้อทองเก็บไว้ดีไหม
ผู้เขียน  ชัญญาพัชร์ ประวาสุขInsights
วันที่ 10 ธ.ค. 2024
ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินโลกและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2567 ที่ราคาทองได้พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ บทความนี้ เราจะวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทอง พร้อมตอบคำถามว่าซื้อทองเก็บไว้ดีไหม
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์