คู่มือนักเทรดทองคำมือใหม่: ปูทางสู่ความสำเร็จในปี 2568

อัพเดทครั้งล่าสุด
coverImg
แหล่งที่มา: DepositPhotos

ปี 2568 เป็นปีที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับราคาทองคำ และมักมีคำถามว่าอยาก เทรดทองคำ มือใหม่ จะเริ่มต้นยังไงดี บทความนี้ จึงไม่ใช่แค่การสอน วิธีเทรดทอง ทั่วไป แต่จะพาไปเทรดทองคำอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การเลือกวิธีการเทรด การเตรียมความพร้อม ไปจนถึงการสร้างกลยุทธ์และบริหารความเสี่ยงเพื่อความสำเร็จในระยะยาว

ขั้นตอนที่ 1: เลือกวิธีการเทรดทองคำ

คำถามแรกที่สำคัญที่สุดคือ “เป้าหมายของคุณคืออะไร?” การตอบคำถามนี้จะช่วยให้คุณเลือกเครื่องมือหรือวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับสไตล์และเป้าหมายทางการเงินของคุณมากที่สุด เมื่อกำหนดเป้าหมายได้แล้ว ก็ถึงเวลาเลือกเครื่องมือหรือวิธีการลงทุนในทองคำ ซึ่งแต่ละรูปแบบมีข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมที่แตกต่างกันไป


4 วิธีเทรดทองคำยอดนิยม


1.ทองคำแท่ง

วิธีการดั้งเดิมและเป็นที่เข้าใจง่ายที่สุด คือการเดินเข้าไปที่ร้านทองและซื้อทองคำแท่งมาเก็บไว้


  • เหมาะกับใคร: นักลงทุนระยะยาว หรือคนที่ต้องการถือครองสินทรัพย์ที่จับต้องได้จริง และไม่ต้องการความซับซ้อนในการลงทุน


  • ข้อดี: เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้จริงและอยู่นอกระบบสถาบันการเงิน ให้ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนบุคคลธรรมดาในประเทศไทย คือกำไรจากการขายทองคำแท่งได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา


  • ข้อเสีย: มีต้นทุนแฝงที่เรียกว่า “ค่ากำเหน็จ” หรือ “ค่าบล็อก” ซึ่งจะสูงเป็นพิเศษสำหรับทองคำแท่งที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 5 บาท นอกจากนี้ยังขาดสภาพคล่องในการซื้อขาย ต้องเดินทางไปที่ร้าน มีความเสี่ยงในการจัดเก็บ และต้องใช้เงินทุนเต็มจำนวนในการซื้อ


  • เงินทุนเริ่มต้น: ขึ้นอยู่กับราคาทอง ณ เวลานั้นๆ เช่น หากราคาทองบาทละ 57,000 บาท ก็ต้องใช้เงินทุนเท่านั้นในการซื้อ 1 บาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีบริการ “ออมทอง” กับร้านทองชั้นนำที่สามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินหลักร้อยหรือหลักพันบาท


2.กองทุนรวมทองคำ (Gold ETFs)

กองทุนรวมทองคำ หรือ Gold Exchange-Traded Funds (ETFs) เป็นกองทุนที่ระดมเงินจากนักลงทุนเพื่อไปลงทุนในทองคำแท่ง 99.99% อีกทอดหนึ่ง โดยกองทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลกคือ SPDR Gold Trust (GLD)


  • เหมาะกับใคร: ผู้ที่ต้องการลงทุนในทองคำแต่มีงบจำกัด ต้องการทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (DCA) และไม่ต้องการยุ่งยากกับการเก็บรักษาทองคำจริง


  • ข้อดี: ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อยมาก (บางกองทุนเริ่มต้นที่หลักพันบาท) ซื้อขายได้สะดวกผ่านแอปพลิเคชันเหมือนการซื้อขายหุ้น และมีสภาพคล่องสูง สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้รวดเร็ว


  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน ซึ่งจะถูกหักออกจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ทุกวัน (ประมาณ 0.25%-0.40% ต่อปี) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนในระยะยาว


  • ข้อจำกัดที่สำคัญ: คือสามารถซื้อขายได้เฉพาะช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการเท่านั้น และอาจเกิด Tracking Error ซึ่งทำให้ราคาของหน่วยลงทุนเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับราคาทองคำในตลาดโลกแบบ 100%


3.Gold Futures

Gold Futures คือสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่จดทะเบียนในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ของประเทศไทย


  • เหมาะกับใคร: นักเทรดที่มีประสบการณ์สูง เข้าใจกลไกตลาดล่วงหน้า สามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูง และมีเวลาติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด


  • ข้อดี: จุดเด่นที่สุดคือใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อย โดยวางเพียงเงินหลักประกัน (Initial Margin) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 10% ของมูลค่าสัญญาทั้งห ทำให้มี Leverage สูง สามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้น (เปิดสถานะ Long) และตลาดขาลง (เปิดสถานะ Short)


  • ข้อเสีย: ความเสี่ยงสูงมากจากการใช้ Leverage หากคาดการณ์ผิดทาง อาจขาดทุนอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนถึงขั้นถูกบังคับปิดสถานะ (Margin Call) แถมสัญญามีวันหมดอายุ ทำให้นักลงทุนต้องคอยบริหารจัดการสถานะ และกำไรที่ได้จากการเทรดต้องนำไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย


4.Gold CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง)

CFD หรือ Contract for Difference คือตราสารอนุพันธ์ที่ให้นักเทรดสามารถเก็งกำไรจาก “ส่วนต่าง” ของราคาสินทรัพย์อ้างอิง (ในที่นี้คือทองคำ หรือ XAUUSD) โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทองคำจริง


  • เหมาะกับใคร: นักเทรดระยะสั้นถึงกลางที่ต้องการทำกำไรจากความผันผวนของราคาต้องการความยืดหยุ่นสูงสุดในการเทรด และมีความเข้าใจในการบริหารความเสี่ยงจาก Leverage


  • ข้อดี:

    • ความยืดหยุ่นสูง: สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น (เปิดสถานะ Long) และขาลง (เปิดสถานะ Short)

    • ใช้เงินทุนน้อย: สามารถใช้ Leverage ในการเพิ่มโอกาสซื้อขาย ทำให้สามารถควบคุมสถานะการลงทุนที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนจริงได้

    • สภาพคล่องสูงและต้นทุนต่ำ: ตลาดทองคำ CFD มีปริมาณการซื้อขายมหาศาลทั่วโลก ทำให้มีสภาพคล่องสูงมาก โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มักคิดค่าธรรมเนียมในรูปแบบของค่าสเปรด (Spread) ที่แคบ และหลายแห่งไม่มีการเก็บค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติม

    • เข้าถึงตลาดได้ตลอดเวลา: สามารถเทรดได้เกือบ 24 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ ตามเวลาตลาดโลก


  • ข้อเสีย:

    • ความเสี่ยงจาก Leverage: สามารถขยายผลกำไรและผลขาดทุนได้อย่างมหาศาลและรวดเร็ว การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

    • ค่าธรรมเนียมข้ามคืน (Overnight Fee/Swap): หากนักเทรดถือสถานะ CFD ข้ามคืน อาจมีค่าธรรมเนียมเกิดขึ้น ซึ่งเป็นต้นทุนที่ต้องพิจารณาหากต้องการถือสถานะเป็นเวลาหลายวัน

    • ความซับซ้อน: เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกคนที่ยังไม่ศึกษาทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้

ขั้นตอนที่ 2: เตรียมความพร้อมก่อนเริ่มเทรด

การเลือกโบรกเกอร์ไม่ใช่แค่การหาที่ที่ “ค่าธรรมเนียมถูกที่สุด” แต่คือการหาพันธมิตรที่น่าเชื่อถือและปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับนักเทรดทองคำ มือใหม่ ควรพิจารณาตาม Checklist 5 ข้อต่อไปนี้


  1. ใบอนุญาตกำกับดูแล: ควรเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานทางการเงินที่น่าเชื่อถือในระดับสากล เช่น ASIC (ออสเตรเลีย), FCA (สหราชอาณาจักร) หรือ CySEC (ไซปรัส) ตัวอย่างเช่น Mitrade ที่เป็นโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลโดยหลายหน่วยงาน รวมถึง ASIC, CIMA และ FSC ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ว่าการดำเนินงานเป็นไปตามมาตรฐานสากล


  2. ค่าธรรมเนียมการเทรด: ต้นทุนการเทรดส่งผลโดยตรงต่อกำไรขาดทุนของคุณ โดยหลักๆ จะมี 2 ส่วนคือ ค่าสเปรด (Spread) และค่าคอมมิชชั่น (Commission) ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าสเปรดแคบและโปร่งใส


  3. Leverage ที่เหมาะสม: ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง การใช้ Leverage ที่สูงเกินไปอาจทำให้พอร์ตเสียหายได้ง่าย สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วย Leverage ที่ไม่สูงเกินไป เช่น 1:100 หรือ 1:200 เพื่อให้สามารถควบคุมความเสี่ยงได้ดีขึ้น


  4. แพลตฟอร์มการเทรด: แพลตฟอร์มที่ดีต้องใช้งานง่าย เสถียร ส่งคำสั่งได้รวดเร็ว และมีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคครบ แม้ว่าแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MT4 และ MT5 จะมีเครื่องมือให้เลือกใช้เยอะ แต่โบรกเกอร์หลายแห่งก็พัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเองขึ้นมาซึ่งอาจใช้งานง่ายกว่าสำหรับมือใหม่


  5. การบริการลูกค้า (Customer Support): ปัญหาทางเทคนิคหรือข้อสงสัยสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ โบรกเกอร์ที่ดีควรมีระบบฝาก-ถอนเงินที่รวดเร็ว รองรับธนาคารในประเทศไทย และที่สำคัญคือมีทีมงานสนับสนุนลูกค้าที่สามารถสื่อสารเป็นภาษาไทยได้ เพื่อให้คุณสามารถขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที


เงินทุนเริ่มต้น: ควรเริ่มเทรดทองด้วยเงินเท่าไหร่?

คำถามยอดฮิตสำหรับนักเทรดทองคำ มือใหม่ คำแนะนำที่เป็นรูปธรรมคือ หากต้องการเทรด CFD ทองคำอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดี ควรเริ่มต้นด้วยเงินทุนประมาณ $500 - $1,000


อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการเทรด CFD คือความยืดหยุ่น โบรกเกอร์อย่าง Mitrade กำหนดเงินฝากขั้นต่ำไว้เพียง $50 เท่านั้น


แต่ก่อนที่จะนำเงินจริงเข้าสู่ตลาด มีเครื่องมือที่สำคัญยิ่งกว่าสำหรับมือใหม่ นั่นคือ บัญชีทดลอง (Demo Account) โบรกเกอร์ชั้นนำส่วนใหญ่จะมีบริการนี้ ซึ่งเป็นบัญชีที่จำลองสภาพแวดล้อมการเทรดจริงทุกประการ แต่ใช้ “เงินเสมือน” ในการซื้อขาย


Mitrade มีบัญชีทดลองพร้อมเงินเสมือนจริงถึง $50,000 ให้นักเทรดมือใหม่ได้ฝึกฝนกลยุทธ์ ทดลองใช้เครื่องมือต่างๆ และทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มโดยปราศจากความเสี่ยงใดๆ


mitrade
💸 ห้ามพลาด!!! 💸
เทรดทองคำกับโบรกเกอร์ชั้นนำในโลก🎁🎁🎁


แจกโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์
ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรี 💰
การลงทุนมีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน

ขั้นตอนที่ 3: วิเคราะห์และคาดการณ์ราคาทองคำ

เมื่อเตรียมเครื่องมือพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาเรียนรู้ที่จะอ่านเกมของตลาด การวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางราคาทองคำเป็นทักษะสำคัญที่จะเพิ่มโอกาสในการทำกำไร โดยแบ่งออกเป็น 2 ศาสตร์หลักที่ต้องใช้ควบคู่กันเสมอ


ปัจจัยพื้นฐาน และทางเทคนิค เป็นศาสตร์ที่นักลงทุนต้องรู้


ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis)

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานคือการทำความเข้าใจ “ภาพใหญ่” ของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ ข่าวและตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้คือตัวขับเคลื่อนแนวโน้มหลักของตลาด


  • ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD): นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่ง ราคาทองคำในตลาดโลกซื้อขายกันด้วยสกุลเงินดอลลาร์ ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์แบบผกผันกันโดยธรรมชาติ เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง จะใช้เงินดอลลาร์น้อยลง ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น


  • อัตราดอกเบี้ยนโยบาย: โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้การถือครองสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย (เช่น พันธบัตรรัฐบาล) น่าสนใจกว่าการถือทองคำซึ่งไม่มีดอกเบี้ย จึงเป็นแรงกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลง ในทางตรงกันข้าม การลดอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ทองคำน่าสนใจขึ้นและเป็นปัจจัยบวกต่อราคา


  • อัตราเงินเฟ้อ: ทองคำได้รับการยอมรับในประวัติศาสตร์ว่าเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Hedge) เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น มูลค่าของเงินสดจะลดลง นักลงทุนจึงมักจะโยกย้ายเงินมาพักไว้ในทองคำเพื่อรักษามูลค่า


  • สถานการณ์เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์: ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สงคราม หรือความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ นักลงทุนจะเกิดความกลัวและต้องการหลุมหลบภัยที่ปลอดภัย ทองคำจึงกลายเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกวิ่งเข้าหา ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว


  • อุปสงค์และอุปทาน: ความต้องการทองคำไม่ได้มาจากนักลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากภาคอุตสาหกรรมเครื่องประดับและอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบันคือ “การเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ (De-dollarization) และเป็นแรงหนุนสำคัญที่คาดว่าจะผลักดันราคาทองคำในปี 2568


การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการศึกษาพฤติกรรมของราคาในอดีตผ่าน “กราฟ” เพื่อคาดการณ์ความน่าจะเป็นของทิศทางราคาในอนาคต โดยเชื่อว่าข้อมูลทุกอย่างได้สะท้อนอยู่ในราคาหมดแล้วนักเทรดทองคำ มือใหม่ ควรเริ่มต้นจากเครื่องมือพื้นฐานง่ายๆ แต่ทรงพลัง


รู้จักประเภทกราฟและอ่านแท่งเทียนเบื้องต้น

กราฟแท่งเทียน

 ที่มา: knowledge.bualuang


กราฟมีหลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่นักเทรดทั่วโลกนิยมใช้มากที่สุดคือ กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) เพราะมันสามารถบอกเล่าเรื่องราวและอารมณ์ของตลาดได้ภายในแท่งเดียว


  • ส่วนประกอบ: แต่ละแท่งเทียนจะแสดงข้อมูล 4 อย่างคือ ราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุด ในช่วงเวลานั้นๆ

  • สีของแท่งเทียน: โดยทั่วไป แท่งสีเขียวหมายถึงราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (แรงซื้อชนะ) และแท่งสีแดงหมายถึงราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (แรงขายชนะ)

  • รูปแบบพื้นฐาน: การเกิดรูปแบบแท่งเทียนบางอย่างในตำแหน่งที่สำคัญ สามารถเป็นสัญญาณเตือนการกลับตัวของราคาได้ เช่น Doji (ลักษณะคล้ายเครื่องหมายบวก) บ่งบอกถึงความลังเลของตลาด หรือ Hammer (ลักษณะคล้ายค้อน) ที่เกิดขึ้นหลังราคาปรับตัวลง อาจเป็นสัญญาณว่าแรงขายเริ่มหมดและกำลังจะกลับตัวเป็นขาขึ้น


กราฟ Doji ประเภทต่างๆ

 ที่มา: clickalgo


หาแนวโน้มด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average - MA)

MA คือ Indicator ที่ช่วยกรองความผันผวนของราคาในระยะสั้นออกไป และทำให้เรามองเห็น “แนวโน้ม” หลักของราคาได้ชัดเจนขึ้น


  • วิธีใช้: หลักการง่ายๆ คือ หากกราฟราคาเคลื่อนไหวอยู่ “เหนือ” เส้น MA แสดงว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ในทางกลับกัน หากราคาเคลื่อนไหวอยู่ “ใต้” เส้น MA แสดงว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend)


  • การตั้งค่า: นักเทรดนิยมใช้เส้น MA หลายเส้นเพื่อยืนยันแนวโน้ม เช่น ใช้เส้น EMA (Exponential Moving Average) ระยะสั้น (เช่น 10, 20 วัน) เพื่อดูโมเมนตัม และใช้เส้น EMA ระยะยาว (เช่น 50, 200 วัน) เพื่อกำหนดแนวโน้มหลักของตลาด


หาจังหวะซื้อ-ขายด้วย RSI (Relative Strength Index)

RSI เป็น Indicator ประเภท Oscillator ที่ใช้วัด “โมเมนตัม” หรือความเร็วและความแรงของการเปลี่ยนแปลงราคา


  • วิธีใช้: ค่า RSI จะวิ่งอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100


  • RSI > 70: บ่งชี้ถึงภาวะ ซื้อมากเกินไป (Overbought) ซึ่งหมายความว่าราคาอาจปรับตัวขึ้นมาเร็วและแรงเกินไป มีโอกาสที่จะพักตัวหรือกลับตัวลงในไม่ช้า อาจเป็นสัญญาณให้พิจารณา “ขาย”


  • RSI < 30: บ่งชี้ถึงภาวะ ขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งหมายความว่าราคาอาจปรับตัวลงมาเร็วและแรงเกินไป มีโอกาสที่จะฟื้นตัวหรือกลับตัวขึ้น อาจเป็นสัญญาณให้พิจารณา “ซื้อ”


  • การใช้งานขั้นสูง: นักเทรดที่มีประสบการณ์มักจะมองหาสัญญาณ Divergence ซึ่งเป็นภาวะที่ทิศทางของราคากับทิศทางของ RSI เคลื่อนไหวขัดแย้งกัน เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าแนวโน้มปัจจุบันกำลังจะอ่อนแรงและอาจเกิดการกลับตัวในไม่ช้า


ตัวอย่างการใช้งานเส้น EMA และ RSI

ขั้นตอนที่ 4: พัฒนากลยุทธ์และบริหารความเสี่ยง

การมีความรู้ในการวิเคราะห์ตลาดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมการ แต่สิ่งที่แยกนักเทรดที่ประสบความสำเร็จออกจากผู้ที่ล้มเหลวในระยะยาวคือ “วินัย” ในการทำตามกลยุทธ์และ “การบริหารความเสี่ยง” ที่ยอดเยี่ยม


เริ่มต้นด้วยกลยุทธ์ที่เข้าใจง่าย

  • Trend Following (เทรดตามแนวโน้ม)

    • นี่คือกลยุทธ์คลาสสิกที่มีหลักการว่า “The trend is your friend” หรือ “แนวโน้มคือเพื่อนของคุณ” แทนที่จะพยายามสวนทิศทางตลาด เราจะหาทางไหลไปตามกระแสหลัก

    • หลักการ: ในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น (Uptrend) เราจะมองหาจังหวะ “ซื้อ” (Buy) เท่านั้น และในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง (Downtrend) เราจะมองหาจังหวะ “ขาย” (Sell)

    • วิธีใช้: ใช้เส้น Moving Average (เช่น EMA 50) เป็นตัวกำหนดแนวโน้ม หากราคาอยู่เหนือเส้น EMA 50 ให้รอจังหวะที่ราคาย่อตัวลงมาใกล้เส้น EMA แล้วเริ่มฟื้นตัว เป็นสัญญาณในการเข้าซื้อ


  • Range Trading (เทรดในกรอบราคา)

    • กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับช่วงที่ตลาดยังไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน หรือที่เรียกว่า “Sideways” ซึ่งราคาวิ่งขึ้นลงอยู่ในกรอบแคบๆ

    • หลักการ: ซื้อถูกที่แนวรับ และขายแพงที่แนวต้าน

    • วิธีใช้: มองหา “แนวรับ” (Support) ซึ่งเป็นระดับราคาที่มักจะมีแรงซื้อเข้ามาผลักดันให้ราคาดีดตัวขึ้น และ “แนวต้าน” (Resistance) ซึ่งเป็นระดับราคาที่มักจะมีแรงขายกดดันให้ราคาปรับตัวลง จากนั้นวางแผนเข้าซื้อใกล้แนวรับ และตั้งเป้าหมายทำกำไรใกล้แนวต้าน


การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)

หลักการป้องกันความเสี่ยง


  • ตั้ง Stop Loss และ Take Profit

    • Stop Loss (SL): คือคำสั่ง “ตัดขาดทุน” อัตโนมัติ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและต้องตั้งทุกครั้งที่ทำการเทรด มันคือเข็มขัดนิรภัยที่ช่วยจำกัดความเสียหายไม่ให้ลุกลามจนพอร์ตพัง การไม่ตั้ง SL ก็เหมือนกับการขับรถโดยไม่มีเบรก

    • Take Profit (TP): คือคำสั่ง “ทำกำไร” อัตโนมัติเมื่อราคาไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ ช่วยให้คุณสามารถล็อกกำไรได้ตามแผน และป้องกันไม่ให้ความโลภเข้ามาครอบงำจนทำให้จากกำไรกลายเป็นขาดทุน


  • กำหนดขนาดการลงทุน (Position Sizing)

    • Position Sizing คือการกำหนดว่า “จะเสี่ยงเงินเท่าไหร่ในการเทรดแต่ละครั้ง” นี่คือสิ่งเดียวที่เทรดเดอร์สามารถควบคุมได้ 100%

    • การตั้ง Stop Loss จะไร้ความหมายหากคุณเปิดออเดอร์ใหญ่เกินไป จนการขาดทุนเพียงครั้งเดียวสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับพอร์ต

    • กฎ 1-2%: คือกฎเหล็กที่เทรดเดอร์มืออาชีพทั่วโลกใช้กัน คือไม่ควรเสี่ยงเงินทุนเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดในการเทรดเพียงครั้งเดียว

    • ตัวอย่าง: หากคุณมีเงินทุนในพอร์ต 1,000 การเสี่ยงที่ 1% หมายความว่าในการเทรดครั้งนี้ คุณจะยอมขาดทุนได้ไม่เกิน 10

    • จากนั้นคุณจึงนำตัวเลขนี้ไปคำนวณหาขนาด Lot ที่เหมาะสม โดยอิงจากระยะ Stop Loss ที่คุณวางแผนไว้ วิธีนี้จะช่วยให้พอร์ตของคุณสามารถทนทานต่อการขาดทุนติดต่อกันหลายครั้งได้ และยังคงอยู่ในเกมเพื่อรอจังหวะทำกำไรกลับคืนมา


การควบคุมจิตวิทยา

  • Overtrading: การเทรดบ่อยเกินความจำเป็นเพราะความเบื่อหรือความอยากเอาชนะตลาด มักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด

  • Revenge Trading: การรีบเปิดออเดอร์ใหม่ทันทีหลังจากขาดทุนเพื่อ “เอาคืน” ตลาด ซึ่งเกือบทั้งหมดจะจบลงด้วยการขาดทุนที่หนักกว่าเดิม

  • การใช้ Leverage สูงเกินไป: ความโลภที่อยากรวยเร็วทำให้มือใหม่หลายคนใช้ Leverage สูงสุดที่มี ซึ่งเป็นทางด่วนไปสู่การล้างพอร์ต

  • การเทรดด้วยอารมณ์: ความกลัวทำให้ขายเร็วเกินไป ส่วนความโลภทำให้ไม่ยอมขายทำกำไร วิธีแก้คือการมี แผนการเทรด (Trading Plan) ที่ชัดเจน (ระบุจุดเข้า จุดออก SL TP) ก่อนเข้าเทรดทุกครั้ง และทำตามแผนนั้นอย่างมีวินัย ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

บทสรุป

สำหรับนักเทรดทองคำ มือใหม่ กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวไม่ได้อยู่ที่การทำกำไรมหาศาลในครั้งเดียว แต่อยู่ที่การเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง การมีวินัยในการทำตามแผน และการให้ความสำคัญสูงสุดกับการบริหารความเสี่ยงเพื่อรักษาเงินทุนให้อยู่รอดในตลาดได้ การเริ่มต้นอาจดูท้าทาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและแนวทางที่ถูกต้อง ทุกคนก็สามารถพัฒนากลายเป็นนักเทรดที่ดีขึ้นได้


ในเส้นทางการเรียนรู้นี้ การมีพาร์ทเนอร์ที่ดีย่อมสร้างความแตกต่าง Mitrade พร้อมที่จะสนับสนุนนักเทรดมือใหม่ในทุกย่างก้าว ด้วยแพลตฟอร์มการเทรดที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย, ต้นทุนการเทรดที่โปร่งใสและแข่งขันได้ และแหล่งข้อมูลการเรียนรู้มากมายที่จะช่วยติดอาวุธทางปัญญาและพัฒนาทักษะการเทรดของคุณให้ก้าวไปอีกระดับ


mitrade
💸 ห้ามพลาด!!! 💸

แจกโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์! 🎁🎁🎁


ค่าคอมฯ 0 สเปรดต่ำ! เงินฝากขั้นต่ำ $50 🤑

ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรี 💰

การลงทุนมีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน
คำถามที่พบบ่อย

เทรดทองคำ มือใหม่ควรเลือกเทรดทองคำในรูปแบบไหน?

สำหรับมือใหม่ การเทรดทองคำในรูปแบบ CFD มักจะเหมาะสมที่สุด เพราะใช้เงินลงทุนน้อยกว่า Futures มาก และมีความยืดหยุ่นในการเทรดมากกว่า ETF อีกทั้งสามารถเริ่มต้นด้วยขนาดการเทรดเล็กๆ เช่น 0.01 lot ได้ ทำให้บริหารความเสี่ยงได้ดีกว่า แพลตฟอร์มอย่าง Mitrade ยังออกแบบมาให้ง่ายต่อการเริ่มต้นสำหรับมือใหม่โดยเฉพาะ

เลเวอเรจในการเทรดทองคำคืออะไร และควรใช้เท่าไหร่?

เลเวอเรจคือการใช้เงินลงทุนจำนวนน้อยเพื่อสถานะการเทรดที่ใหญ่กว่า เช่น เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่าใช้เงิน $1 สามารถเปิดสถานะมูลค่า $100 ได้ สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยเลเวอเรจต่ำๆ ไม่เกิน 1:20 เพื่อลดความเสี่ยง เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นจึงค่อยพิจารณาเพิ่มเลเวอเรจ

*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

goTop
quote
บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
บทความที่เกี่ยวข้อง
placeholder
แนวโน้มราคาทองคำในอนาคตปี 2568-2569 ทำไมทองถึงพุ่งแรงและจะไปต่อหรือไม่ราคาทองทะลุ 3,000 ดอลลาร์ไปแล้ว ใครที่ซื้อทองเก็บไว้ช่วงก่อนหน้านี้ ตอนนี้กำลังยิ้มร่าแก้มปริกันเลยใช่มั้ยล่ะ? แต่ถ้าคุณเป็นคนนึงที่ยังลังเลไม่กล้าซื้อเพราะกลัวราคาจะร่วง บทความนี้มีคำตอบให้ มาดูกันว่าเหล่ากูรูระดับโลกคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำปี 2568-2569 ไว้อย่างไร
ผู้เขียน  MitradeInsights
4 เดือน 25 วัน ศุกร์
ราคาทองทะลุ 3,000 ดอลลาร์ไปแล้ว ใครที่ซื้อทองเก็บไว้ช่วงก่อนหน้านี้ ตอนนี้กำลังยิ้มร่าแก้มปริกันเลยใช่มั้ยล่ะ? แต่ถ้าคุณเป็นคนนึงที่ยังลังเลไม่กล้าซื้อเพราะกลัวราคาจะร่วง บทความนี้มีคำตอบให้ มาดูกันว่าเหล่ากูรูระดับโลกคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำปี 2568-2569 ไว้อย่างไร
placeholder
ตลาดทองเปิดกี่โมง พื้นฐานและเทคนิคที่นักลงทุนต้องรู้ถ้าคุณสนใจเทรดทองคำในตลาด ก็จะต้องมีคำถามว่า “ตลาดทองเปิดกี่โมง?” เพราะการเข้าใจเรื่องเวลาเปิด-ปิดถือเป็นพื้นฐานสำคัญ วันนี้ มาทำความเข้าใจกันว่าตลาดทองเปิดกี่โมง และช่วงเวลาไหนที่เหมาะสมกับการเทรดทองคำที่สุด
ผู้เขียน  ชัญญาพัชร์ ประวาสุขInsights
3 เดือน 18 วัน อังคาร
ถ้าคุณสนใจเทรดทองคำในตลาด ก็จะต้องมีคำถามว่า “ตลาดทองเปิดกี่โมง?” เพราะการเข้าใจเรื่องเวลาเปิด-ปิดถือเป็นพื้นฐานสำคัญ วันนี้ มาทำความเข้าใจกันว่าตลาดทองเปิดกี่โมง และช่วงเวลาไหนที่เหมาะสมกับการเทรดทองคำที่สุด
placeholder
เทรดทองแอพไหนดี?แนะนำ 6 แอปเทรดทองที่นิยมใช้กันในปี 2568ทองคำเป็นตัวเลือกที่นักลงทุนให้ความสำคัญเสมอมา เราจะเลือกเทรดทองแอพไหนดี คราวนี้เราจะแนะนำ 6 แอพเทรดทองที่นิยมใช้กันในปี 2568!
ผู้เขียน  MitradeInsights
9 เดือน 15 วัน จันทร์
ทองคำเป็นตัวเลือกที่นักลงทุนให้ความสำคัญเสมอมา เราจะเลือกเทรดทองแอพไหนดี คราวนี้เราจะแนะนำ 6 แอพเทรดทองที่นิยมใช้กันในปี 2568!
placeholder
ซื้อทองเก็บไว้ดีไหม 2568? วิเคราะห์เจาะลึกทุกปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินโลกและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2567 ที่ราคาทองได้พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ บทความนี้ เราจะวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทอง พร้อมตอบคำถามว่าซื้อทองเก็บไว้ดีไหม
ผู้เขียน  ชัญญาพัชร์ ประวาสุขInsights
วันที่ 10 ธ.ค. 2024
ท่ามกลางความผันผวนของตลาดการเงินโลกและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2567 ที่ราคาทองได้พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ บทความนี้ เราจะวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทอง พร้อมตอบคำถามว่าซื้อทองเก็บไว้ดีไหม
placeholder
เทรดทองคำโบรกไหนดี? 6 โบรกเด็ด ปี 2025 ที่เทรดเดอร์ห้ามพลาดขึ้นชื่อว่าเป็นนักลงทุนแล้วก็เป็นธรรมดาที่จะอยากให้เงินลงทุนของตัวเองเติบโต สิ่งสำคัญนอกจากการเลือกสินทรัพย์และกลยุทธ์ที่เหมาะสมแล้วบัดดี้อย่างโบรกเกอร์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ปัจจุบันโบรกเทรดทองคำในไทยยังมีไม่มากนัก แต่ด้วยการขยายโอกาสจากการสื่อสารที่เชื่อมโยงถึงกันทำให้โบรกเทรดทองต่างประเทศกลายมาเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และหากนักลงทุนยังมีคำถามคาใจที่ว่าสำหรับคนไทยโบรกเกอร์ทองคําไหนดี? คราวนี้เราก็จะพาไปทำความรู้จักโบรกเกอร์เทรดทองจากต่างประเทศทั้ง 6 แห่งที่เราเลือกสรรมา รับรองว่าบทความนี้ช่วยหาคำตอบได้แน่นอน
ผู้เขียน  MitradeInsights
4 เดือน 17 วัน พฤหัส
ขึ้นชื่อว่าเป็นนักลงทุนแล้วก็เป็นธรรมดาที่จะอยากให้เงินลงทุนของตัวเองเติบโต สิ่งสำคัญนอกจากการเลือกสินทรัพย์และกลยุทธ์ที่เหมาะสมแล้วบัดดี้อย่างโบรกเกอร์ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ปัจจุบันโบรกเทรดทองคำในไทยยังมีไม่มากนัก แต่ด้วยการขยายโอกาสจากการสื่อสารที่เชื่อมโยงถึงกันทำให้โบรกเทรดทองต่างประเทศกลายมาเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และหากนักลงทุนยังมีคำถามคาใจที่ว่าสำหรับคนไทยโบรกเกอร์ทองคําไหนดี? คราวนี้เราก็จะพาไปทำความรู้จักโบรกเกอร์เทรดทองจากต่างประเทศทั้ง 6 แห่งที่เราเลือกสรรมา รับรองว่าบทความนี้ช่วยหาคำตอบได้แน่นอน
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์