ในตลาดลงทุนยุโรปวันพฤหัสบดี ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สเพิ่มขึ้น 0.35% เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 46,200 ก่อนการเปิดตลาดลงทุน นอกจากนี้ ฟิวเจอร์ส S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.48% ขึ้นเหนือ 6,600 ขณะที่ฟิวเจอร์ส Nasdaq 100 เพิ่มขึ้น 0.68% ซื้อขายใกล้ 24,400
หุ้นฟิวเจอร์สสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นหลังจากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดฐาน (bps) และส่งสัญญาณการลดอัตราดอกเบี้ยอีก 50 bps ก่อนสิ้นปี ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ในเดือนมิถุนายนเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ประธานเฟด ใช้โทนเสียงที่ระมัดระวัง เขาอธิบายว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็น "การบริหารความเสี่ยง" ท่ามกลางความอ่อนแอในตลาดแรงงาน ขณะเดียวกันก็เน้นว่าไม่มีความเร่งด่วนในการเร่งการลดดอกเบี้ย ผู้ว่าการคนใหม่ สตีเฟน มิราน สนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ย 50 bps ทำให้คณะกรรมการมีความเห็นไม่แตกต่างกันมากนัก นอกจากนี้ ธนาคารกลางแคนาดา (BoC) ยังลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps ขณะที่ (BoE) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) คาดว่าจะคงนโยบายที่มั่นคงในสัปดาห์นี้
ธนาคารใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น JPMorgan Chase, Citigroup, Wells Fargo และ Bank of America ลดเงินกู้หลักจาก 7.50% เป็น 7.25% ในวันพุธ หลังจากการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในตลาดลงทุนวันพุธ ดัชนี Dow เพิ่มขึ้น 0.57% ขณะที่ S&P 500 ลดลง 0.1% และ Nasdaq ลดลง 0.33% เมื่ออิงตามภาคส่วน การเงิน สินค้าอุปโภคบริโภค และวัสดุมีผลการดำเนินงานดีกว่า ขณะที่เทคโนโลยี อุตสาหกรรม และผู้บริโภคมีผลการปรับตัวลดลง
ดาวโจนส์ (DJIA) คือมาตรวัดคาเฉลี่ยของบริษัทในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดาวโจนส์รวบรวมจากหุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุด 30 อันดับในสหรัฐฯ และจะถ่วงน้ำหนักด้วยการเคลื่อนไหวของราคามากกว่าถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด คำนวณโดยการรวมราคาของหุ้นที่เป็นส่วนประกอบแล้วหารด้วยตัวคูณซึ่งปัจจุบันคือ 0.152 ดัชนีนี้ก่อตั้งโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ผู้ก่อตั้ง วารสารวอลล์สตรีท (Wall Street Journal) ในช่วงหลายปีต่อมา มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าดาวโจนส์ไม่ได้เป็นตัวแทนของสินทรัพย์ในวงกว้างเพียงพอ เนื่องจากอ้างอิงการเคลื่อนของกลุ่มบริษัทเพียง 30 กลุ่มเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากดัชนีอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทที่มีจำนวนมากกว่าอย่างเช่น S&P 500
ปัจจัยที่แตกต่างกันมากมายผลักดันการเคลื่อนไหวของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ประสิทธิภาพโดยรวมของบริษัท, รายละเอียดที่เปิดเผยในรายงานผลประกอบการของบริษัทรายไตรมาสถือเป็นมาตรวัดประสิทธิภาพหลัก ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกยังมีส่วนช่วยเช่นกัน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ระดับของอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังมีอิทธิพลต่อ DJIA เนื่องจากส่งผลต่อต้นทุนสินเชื่อ ซึ่งหลายๆ บริษัทต้องพึ่งพาอย่างมาก ดังนั้น อัตราเงินเฟ้ออาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้เช่นเดียวกับตัวชี้วัดอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ทฤษฎีดาวเป็นวิธีการในการระบุแนวโน้มหลักของตลาดหุ้นที่พัฒนาโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ขั้นตอนสำคัญคือการเปรียบเทียบทิศทางของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) และ ค่าเฉลี่ยการขนส่งดาวโจนส์ (DJTA) และติดตามเฉพาะแนวโน้มที่ทั้งคู่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ,uปริมาณเป็นเกณฑ์ยืนยัน ทฤษฎีนี้ใช้องค์ประกอบของการวิเคราะห์จุดสูงสุดและต่ำสุด ทฤษฎีของดาวโจนส์ (Dow) แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสะสม เมื่อนักลงทุนเริ่มซื้อขายปลกเปลี่ยน ระยะการมีส่วนร่วมของประชาชน เมื่อประชาชนในวงกว้างเข้ามามีส่วนร่วมลงทุน และระยะกระจายตัวเมื่อเงินเงินของนักลงทุนออกจากตลาดไป
มีหลายวิธีในการลงทุนกับ DJIA หนึ่งคือการลงทุนผ่าน ETF ซึ่งอนุญาตให้นักลงทุนซื้อขาย DJIA เป็นหลักทรัพย์เดียว แทนที่จะต้องซื้อหุ้นในบริษัทที่เป็นส่วนประกอบทั้งหมด 30 แห่ง ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ กองทุน SPDR , ETF ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DIA) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ DJIA ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรมูลค่าในอนาคตของดัชนีแลออปชัน แต่ไม่ใช่ข้อผูกมัดในการซื้อหรือขายดัชนีในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในอนาคต กองทุนรวมช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายของหุ้น DJIA ซึ่งทำให้เกิดโอกาสการลงทุนในดัชนี