TradingKey – ท่ามกลางการคุกคามเพิ่มภาษีศุลกากรและความกังวลเรื่องแรงขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ที่อ่อนแรง หุ้น Apple (AAPL.US) ร่วงติดต่อกัน 8 วัน ทำให้เป็นสมาชิกเพียงรายเดียวของกลุ่ม “Magnificent Seven” ที่ราคาปรับลด ขณะที่ตลาดโดยรวมฟื้นตัวในเดือนพฤษภาคม บางฝ่ายมองว่านี่อาจเป็นบทเรียนถึงต้นทุนเมื่อ “ตามไม่ทันหรือไม่ยอมเล่นด้วย”
ณ วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม ราคาหุ้น Apple ลดลงต่อเนื่อง 8 วันทำการ ปิดที่ 195.27 ดอลลาร์ ในขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ปรับขึ้นกว่า 7% ในเดือนพฤษภาคม และ S&P 500 บวก 3.5% แต่หุ้น Apple ร่วง 8% ในเดือนเดียว และปี-to-date ปี 2025 ลดลง 22%
การเทขายล่าสุดทวีความรุนแรงขึ้นหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ว่า iPhone ที่ขายในสหรัฐฯ ต้องผลิตในอเมริกา มิฉะนั้น Apple จะโดนภาษีขั้นต่ำ 25%
นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทเตือนว่า การคุกคามภาษีอาจกดดันแนวโน้มกำไรของ Apple ให้ตึงตัวขึ้น
นักวิเคราะห์ Bloomberg ประเมินว่า หาก Apple ตัดภาระภาษีไปยังผู้บริโภคผ่านราคาขาย iPhone ที่สูงขึ้น บริษัทอาจเสี่ยงเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ หากเลือกดูดซับต้นทุนเอง จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลง 3-3.5 จุดเปอร์เซ็นต์ในปีงบการเงิน 2026
ทรัมป์สนับสนุนให้อุตสาหกรรมการผลิตอเมริกากลับมาคึกคัก แต่จนถึงขณะนี้ Apple ยังไม่มีโรงงานประกอบสมาร์ทโฟนในสหรัฐฯ
Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ซัพพลายเชนของ Apple ระบุว่าขณะนี้การจ่ายภาษี 25% ยังถูกกว่าการย้ายสายการผลิตกลับมาในสหรัฐฯ
นอกเหนือจากนโยบายการค้า ความอ่อนแรงของหุ้น Apple ยังสะท้อนความกังวลเรื่องยุทธศาสตร์ AI ที่ล้าหลัง
นักวิเคราะห์ Baird ชี้ว่า Apple เผชิญปัญหาใหญ่คือการผสาน Siri กับ Apple Intelligence ยังคงติดในขั้นพัฒนา ขณะที่คู่แข่งเดินหน้าให้บริการ AI สร้างสรรค์
ในทางกลับกัน นักวิเคราะห์ DA Davidson ยังคงมองบวกต่อความแข็งแกร่งของระบบนิเวศ Apple โดยเห็นว่าการอ่อนแรงของหุ้นไม่น่าจะมาจากปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนไป แต่อยู่ที่ความตึงเครียดระหว่างทรัมป์กับ Tim Cook ซีอีโอของ Apple