8 หุ้นปันผลสูงปี 2568: คัดเน้นๆ สำหรับนักลงทุนสาย Passive Income

สำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนสม่ำเสมอในรูปแบบของเงินปันผล ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ยังคงมีความผันผวน การลงทุนใน “หุ้นปันผลสูง” ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจเสมอมา บทความนี้ได้รวบรวมและคัดเลือก 8 หุ้นปันผลสูงที่น่าจับตามองในปี 2568 พร้อมข้อมูลล่าสุดเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน

การคัดเลือกหุ้นเหล่านี้พิจารณาจากประวัติการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ พื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มการเติบโตในอนาคต

1. หุ้น DIF

DIF เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัล ประกอบด้วยเสาโทรคมนาคมจำนวน 16,059 เสา และโครงข่ายใยแก้วนำแสง รูปแบบธุรกิจคือการให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (เช่น กลุ่ม TRUE) เช่าใช้ในระยะยาว ทำให้มีรายได้สม่ำเสมอและคาดการณ์ได้แม่นยำ

ที่มา: SET

• ราคาล่าสุด: 7.90 บาท    

• อัตราเงินปันผลตอบแทน (%): 11.25%    

• เงินปันผลล่าสุด (บาท/หุ้น): 0.22 บาท   

• P/BV (เท่า): 0.52    

  
  

ความเห็นนักวิเคราะห์แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่แนะนำ “ซื้อ” (ราคาเป้าหมาย 10.50-11.50 บาท) มองว่า DIF ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงที่ช่วยลดต้นทุนการเงิน และมีโอกาสเติบโตจากการขยายอายุสัญญาเช่า ขณะที่กลุ่ม “ถือ” (8.70-9.30 บาท) เตือนถึงความเสี่ยงการรีไฟแนนซ์หนี้ 1.16 หมื่นล้านบาทที่ครบกำหนดมี.ค. 2568 และการเจรจาต่อรองค่าเช่ากับ TRUE

2. หุ้น TISCO

TISCO ดำเนินธุรกิจในรูปแบบบริษัทโฮลดิ้ง เป็นบริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินทิสโก้ มีความโดดเด่นในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถผ่านแบรนด์ “สมหวัง เงินสั่งได้” เป็นที่รู้จักในฐานะ “หุ้นปันผลขวัญใจมหาชน” เนื่องจากมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอและอยู่ในอัตราที่สูงมาโดยตลอด

ที่มา: SET

• ราคาล่าสุด: 97.50 บาท    

• อัตราเงินปันผลตอบแทน (%): 7.95%    

• เงินปันผลล่าสุด (บาท/หุ้น): 5.75 บาท (สำหรับผลประกอบการปี 2567 จ่ายปี 2568)    

• P/E (เท่า): 11.46    

• P/BV (เท่า): 1.75    

TISCO เป็นตัวอย่างคลาสสิกของหุ้นปันผลคุณภาพ โดยจ่ายปันผลสม่ำเสมอปีละ 2 ครั้ง ในปี 2568 รวม 7.75 บาทต่อหุ้น ความท้าทายหลักคือการเติบโตของสินเชื่อที่อาจชะลอตัวตามภาวะตลาดรถยนต์ที่อ่อนแอ ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ให้คำแนะนำ “ถือ” โดยเน้นจุดเด่นที่อัตราเงินปันผลที่น่าสนใจมากกว่าการเติบโตราคา

3. หุ้น AP

AP เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ครบวงจร ทั้งโครงการแนวราบ (บ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม) และโครงการแนวสูง (คอนโดมิเนียม) มีแบรนด์ในเครือที่แข็งแกร่งและครอบคลุมลูกค้าในหลากหลายเซกเมนต์ ตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับบน

ที่มา: SET

• ราคาล่าสุด: 5.80 บาท    

• อัตราเงินปันผลตอบแทน (%) คาดการณ์ปี 2568: 7.35%  (อัตราผลตอบแทนย้อนหลังอยู่ที่ 10.26% )   

• เงินปันผลล่าสุด (บาท/หุ้น): 0.60 บาท    

• P/E (เท่า): 3.77    

• P/BV (เท่า): 0.41

AP โดดเด่นด้าน Valuation โดยมี P/E และ P/BV อยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับตลาดและอุตสาหกรรม นักวิเคราะห์ 13 จาก 16 ราย ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายเฉลี่ย 9.54 บาท สะท้อนโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างราคาที่ยังเปิดกว้าง ประกอบกับอัตราปันผลที่คาดว่าจะยังคงสูงกว่า 7% ต่อปี

4. SIRI

SIRI เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2527 ดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทุกรูปแบบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มราคา นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น คอมมูนิตี้มอลล์ และโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป

ที่มา: SET

• ราคาล่าสุด: 1.17 บาท

• อัตราเงินปันผลคาดการณ์ปี 2568: 8.72%

• เงินปันผลล่าสุด: 0.08 บาท/หุ้น

• P/E: 4.47 เท่า

• P/BV: 0.43 เท่า

SIRI มีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของตลาด และมี Valuation ที่ถูกมาก ทั้ง P/E และ P/BV ที่ต่ำกว่า 1 เท่าอย่างมีนัยสำคัญ นักวิเคราะห์มีมุมมองหลากหลาย โดย 8 จาก 14 ราย แนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายเฉลี่ย 1.72 บาท แม้ต้องเผชิญความไม่แน่นอนของตลาดอสังหาฯ แต่จุดเด่นด้าน Valuation และอัตราปันผลที่จูงใจยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก

5. DMT

DMT หรือ “ดอนเมืองโทล์ลเวย์” เป็นผู้ได้รับสัมปทานในการบริหารจัดการและจัดเก็บค่าผ่านทางบนทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงดินแดงถึงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ระยะทางรวม 21 กิโลเมตร ธุรกิจมีลักษณะเป็น “Cash Cow” สร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอและมั่นคง สัญญาสัมปทานปัจจุบันสิ้นสุดวันที่ 11 กันยายน 2577

ที่มา: SET

• ราคาล่าสุด: 9.70 บาท

• อัตราเงินปันผลตอบแทน: 8.56%

• เงินปันผลล่าสุด: 0.22 บาท/หุ้น

• P/E: 12.69 เท่า

• P/BV: 1.31 เท่า

DMT ถือเป็นหุ้นประเภท Defensive Stock ที่มีรายได้คาดการณ์ได้ง่ายและความผันผวนต่ำ จุดเด่นคือนโยบายการจ่ายเงินปันผล “ไม่ต่ำกว่า 90% ของกำไรสุทธิ” ทำให้นักลงทุนคาดการณ์เงินปันผลได้แม่นยำ นักวิเคราะห์ให้คำแนะนำ “Outperform” และ “Hold” ด้วยราคาเป้าหมายเฉลี่ย 12.17 บาท ความเสี่ยงระยะยาวคือการสิ้นสุดอายุสัมปทานในปี 2577

6. MC

MC ดำเนินธุรกิจค้าปลีกเครื่องแต่งกายและสินค้าไลฟ์สไตล์ มีแบรนด์ “Mc” ที่รู้จักและแข็งแกร่งในตลาดกางเกงยีนส์เป็นผลิตภัณฑ์เรือธง นอกจากแบรนด์ของตัวเองแล้ว ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแบรนด์อื่น ๆ โดยธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ จัดหาผลิตภัณฑ์ บริหารการตลาด ไปจนถึงการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางของตนเองทั่วประเทศ

ที่มา: SET

• ราคาล่าสุด: 9.55 บาท

• อัตราเงินปันผลคาดการณ์ปี 2568: 8.26%

• เงินปันผลล่าสุด: 0.55 บาท/หุ้น

• P/E: 10.03 เท่า

• P/BV: 2.12 เท่า

MC มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง โดยมี D/E Ratio อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.51 เท่า สะท้อนความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำ นักวิเคราะห์ทั้ง 4 รายที่วิเคราะห์หุ้น MC ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ทั้งหมด ด้วยราคาเป้าหมายเฉลี่ย 12.55 บาท โดยคาดการณ์ว่ากำไรไตรมาส 3/68 จะเติบโตได้ดี มีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์

7. TCAP

TCAP ดำเนินธุรกิจในลักษณะ Holding Company ที่ลงทุนในกลุ่มธุรกิจทางการเงินหลากหลายและครบวงจร มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี โดยมีการลงทุนสำคัญใน ธุรกิจเช่าซื้อ (ผ่าน THANI), ธุรกิจประกันภัย/ประกันชีวิต, ธุรกิจหลักทรัพย์, ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb)

ที่มา: SET

• ราคาล่าสุด: 46.00 บาท

• อัตราเงินปันผลตอบแทน: 6.98%

• เงินปันผลล่าสุด: 2.05 บาท/หุ้น

• P/E: 7.51 เท่า

• P/BV: 0.65 เท่า

TCAP มี Valuation ที่น่าสนใจ โดยมี P/E อยู่ที่ 7.51 เท่า และ P/BV เพียง 0.65 เท่า หมายความว่าราคาหุ้นซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีอย่างมีนัยสำคัญ การเป็น Holding Company ที่ลงทุนในธุรกิจการเงินหลายประเภทช่วยลดความเสี่ยงโดยรวม นักวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 53.86 บาท โดยคาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ระดับ 7%

8. PTT

ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีของประเทศไทย ดำเนินธุรกิจครบวงจรตั้งแต่การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โรงกลั่นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ไปจนถึงธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-oil) ในฐานะหุ้นพลังงานแห่งชาติ PTT มีความมั่นคงสูงและเป็นหุ้นพื้นฐานที่นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความเชื่อมั่น แม้ราคาหุ้นจะผันผวนตามราคาพลังงานโลก แต่ธุรกิจมีการกระจายความเสี่ยงไปในหลายส่วน และมักจะจ่ายปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ

ที่มา: SET

• ราคาล่าสุด: 30.00 บาท

• อัตราเงินปันผลตอบแทน: 7.05%

• เงินปันผลล่าสุด: 1.30 บาท/หุ้น

• P/E: 10.08 เท่า

• P/BV: 0.73 เท่า

แม้ธุรกิจพลังงานจะมีความท้าทายจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด แต่นักวิเคราะห์มองว่า PTT ยังคงมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งจากธุรกิจหลัก และมีการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตในอนาคต จึงยังเป็นหุ้นปันผลพื้นฐานที่น่าสนใจ

การเห็นอัตราปันผลสูง ๆ เพียงอย่างเดียวอาจเป็นกับดักได้ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบกัน เพื่อให้ได้หุ้นปันผลที่ดีและยั่งยืนอย่างแท้จริง

• ดูมากกว่าแค่ Dividend Yield: อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูง ๆ อาจเกิดจากราคาหุ้นที่ตกลงมาอย่างหนัก ควรดูที่ “ความสม่ำเสมอ” ของการจ่ายปันผลในอดีต (อย่างน้อย 3-5 ปี) บริษัทที่ดีควรจ่ายปันผลได้ต่อเนื่องแม้ในภาวะวิกฤต

  
  

• นโยบายการจ่ายปันผล (Dividend Policy): บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลที่ชัดเจนหรือไม่? โดยปกติจะระบุเป็นเปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ (Payout Ratio) หาก Payout Ratio สูงเกินไป (เช่น เกิน 90-100%) อาจหมายความว่าบริษัทไม่มีเงินเหลือไปลงทุนเพื่อการเติบโตในอนาคต

  
  

• พื้นฐานธุรกิจต้องแข็งแกร่ง: บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตหรือไม่? มีความได้เปรียบในการแข่งขันหรือไม่? งบการเงินแข็งแกร่ง หนี้สินไม่สูงเกินไป และที่สำคัญคือต้องมี “กำไร” ที่ดีและต่อเนื่อง เพราะเงินปันผลจ่ายมาจากกำไรของบริษัท

  
  

• กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Cash Flow from Operations): ควรเป็นบวกอย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นตัวชี้วัดว่าธุรกิจหลักของบริษัทสามารถสร้างเงินสดได้จริง ๆ เพื่อนำมาจ่ายปันผลและลงทุนต่อไป

  
  

• มองหาการเติบโตของเงินปันผล (Dividend Growth): ไม่ใช่แค่จ่ายปันผลสูง แต่บริษัทที่ดีควรจะสามารถจ่าย “เงินปันผลต่อหุ้น” (Dividend per Share) ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละปี ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตของกิจการ

• เปิดบัญชีซื้อขายหุ้น: สำหรับผู้ที่ยังไม่มีบัญชี ต้องทำการเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ซึ่งสามารถทำได้ทั้งแบบออนไลน์และที่สาขา

  
  

• โอนเงินเข้าบัญชี: โอนเงินบาทเข้าสู่พอร์ตการลงทุน (บัญชี Cash Balance) เพื่อใช้เป็นหลักประกันในการซื้อหุ้น

  
  

• วิเคราะห์และเลือกหุ้น: ใช้ข้อมูลจากบทความนี้และศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ (set.or.th), Settrade, บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่าง ๆ

  
  

• ส่งคำสั่งซื้อขายผ่าน Streaming: เข้าสู่ระบบแอปพลิเคชัน Streaming (แพลตฟอร์มมาตรฐานในการซื้อขายหุ้นไทย) ระบุชื่อย่อหุ้น (Symbol) ที่ต้องการซื้อ จำนวนหุ้น และราคาที่ต้องการ จากนั้นกดยืนยันคำสั่ง

ที่มา: streaming.settrade

• รอรับเงินปันผล: เมื่อบริษัทประกาศจ่ายปันผลและถึงวันกำหนดจ่าย (Payment Date) เงินปันผล (หลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%) จะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารที่ผูกไว้กับพอร์ตหุ้นโดยอัตโนมัติ

คำตอบคือ “ทำได้อย่างแน่นอน” และยังเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดสำหรับนักลงทุนไทยที่ต้องการกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว พร้อมเข้าถึงโอกาสการลงทุนในบริษัทที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงที่สุดในโลก แล้วทำไมหุ้นปันผลอเมริกาถึงน่าสนใจ?

• เข้าถึงบริษัทระดับโลก: คุณสามารถเป็นเจ้าของบริษัทที่เรารู้จักกันดีอย่าง Apple, Microsoft, Coca-Cola หรือ Johnson & Johnson ซึ่งมีธุรกิจที่แข็งแกร่งและกระจายไปทั่วโลก

  
  

• ความมั่นคงและประวัติศาสตร์ยาวนาน: หุ้นชั้นนำจำนวนมากในสหรัฐฯ มีประวัติการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอมาหลายสิบปี และยังจ่ายเพิ่มขึ้นทุกปี จนได้รับการจัดอันดับเป็น "Dividend Aristocrats" (หุ้นที่จ่ายปันผลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 25 ปีขึ้นไป) ซึ่งเป็นเครื่องการันตีความมั่นคงของกิจการ

  
  

• สร้างรายรับเป็นเงินดอลลาร์: การได้รับเงินปันผลเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ช่วยกระจายความเสี่ยงด้านสกุลเงินให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวมของคุณ

นักลงทุนยังสามารถใช้กลยุทธ์เหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนในหุ้นปันผลได้

1.ลงทุนผ่านกองทุนรวม มีกองทุนรวมหลายประเภท ที่ลงทุนในหุ้นอเมริกา นักลงทุนสามารถเลือกลงทุน

ได้ตามความเสี่ยง และผลตอบแทนที่ต้องการ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียม และนโยบายการลงทุนของกองทุนรวมต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน

2.ลงทุนในรูปแบบของ CFD( Contract For Difference) หรือสัญญาส่วนต่าง ซึ่งเป็นวิธีการลงทุนที่ยอดนิยมในปัจจุบัน สามารถลงทุนได้ทั้งสองฝั่ง ขาขึ้น (Buy) และขาลง (Sell) ตามสภาวะของตลาด นอกจากนี้ ยังใช้เงินลงทุนน้อยลง เพราะมีเลเวอเรจ ซึ่งช่วยให้ทำกำไรได้มากขึ้นด้วย ซึ่งโบรกเกอร์ CFD ที่น่าเชื่อถืออย่าง Mitrade ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ

👉 สามารถลงทุนได้ทั้งสองฝั่ง ขาขึ้น(Buy) และ ขาลง(Sell) ตามสภาวะของตลาด และสถานการณ์ของบริษัทหรือหุ้นนั้นๆ เพื่อสามารถทำกำไรจากส่วนต่างของราคาเมื่อเทรดถูกตำแหน่ง

👉 ใช้เงินลงทุนน้อยลง เพราะมีเลเวอเรจหรืออัตราทดจากโบรกเกอร์ ช่วยให้ทำกำไรได้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องใช้เงินถึง 40 USD ต่อหุ้น สำหรับซื้อหุ้น VERIZON ใช้เพียง 11 USD ได้ถึง 3 หุ้น 

👉 สามารถได้รับสิทธิในการปันผลหุ้นเช่นเดียวกัน ยกเว้นแต่สิทธิการออกเสียง เพราะไม่ได้กรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของหุ้น

    

💸 ห้ามพลาด!!! 💸    

แจกโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์! 🎁🎁🎁    

ค่าคอมฯ 0 สเปรดต่ำ! เงินฝากขั้นต่ำ $50 🤑    

ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรี 💰

เทรดเดี๋ยวนี้     

การลงทุนมีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน

การลงทุนในหุ้นปันผลสูงยังคงเป็นกลยุทธ์ที่คลาสสิกและมีประสิทธิภาพสำหรับปี 2568 โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างกระแสเงินสดและลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน หุ้นทั้ง 8 ตัวที่คัดเลือกมานี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ ซึ่งมีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและแนวโน้มการจ่ายปันผลที่ดี อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาถึงความสม่ำเสมอ พื้นฐานธุรกิจ และศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ทั้งในตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง