ราคาโลหะเงินพุ่งสูงขึ้นในวันอังคาร ข้ามระดับ 33.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงทั่วทั้งตลาด ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ การปรับลดอันดับเครดิตของหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ โดย Moody’s และการเพิ่มขึ้นที่กำลังจะเกิดขึ้นในงบประมาณขาดดุลของสหรัฐฯ ได้กระตุ้นความต้องการในสินทรัพย์ปลอดภัยของโลหะสีเทา
จากมุมมองทางเทคนิค โลหะเงินเคลื่อนไหวในลักษณะไซด์เวย์ แม้ว่าจะมีแนวโน้มเล็กน้อยไปทางขาขึ้น ผู้ซื้อที่สามารถผ่านเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) 50 วันที่ 32.75 ดอลลาร์ได้เปิดโอกาสให้ทะลุระดับ 33.00 ดอลลาร์ ขณะที่พวกเขามองหาการทดสอบระดับ 33.50 ดอลลาร์ ควรสังเกตว่าแรงกระตุ้นได้ผ่านเส้นแนวต้านที่วาดจากระดับสูงในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ซึ่งถูกทำลายที่ประมาณ 32.70/85 ยืนยันการดำเนินต่อของแนวโน้ม
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) เอื้ออำนวยต่อผู้ซื้อ ดังนั้น หาก RSI ยังคงปรับตัวสูงขึ้น จะยืนยันการดำเนินต่อของแนวโน้มขาขึ้นที่กำลังดำเนินอยู่
ในทางกลับกัน ระดับแนวรับสำคัญของโลหะเงินอยู่ที่ 33.00 ดอลลาร์ การหลุดต่ำกว่านี้อาจทำให้ XAG/USD ร่วงลงไปที่เส้น SMA 100 วันที่ 31.98 ดอลลาร์ ก่อนที่จะทดสอบเส้น SMA 200 วันที่ 31.30 ดอลลาร์
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน