USD/JPY ฟื้นตัวจากการขาดทุนในช่วงต้นและดีดตัวขึ้นใกล้ระดับ 150.20 ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐฟื้นตัว
- USD/JPY ฟื้นตัวจากการขาดทุนในช่วงต้น ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 10 วัน
- ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ส่งผลดีต่อความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยของเงินเยนญี่ปุ่น
- การเก็งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นท่ามกลางความเสี่ยงในตลาดแรงงานสหรัฐฯ
คู่เงิน USD/JPY ฟื้นตัวจากการขาดทุนในช่วงต้นและดีดตัวขึ้นใกล้ระดับ 150.20 ในช่วงปลายเซสชันการซื้อขายในยุโรปเมื่อวันศุกร์ คู่เงินดีดตัวกลับในขณะที่ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ปรับฐานหลังจากที่มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ (US) และจีนยังคงอยู่
ในช่วงเวลาที่รายงาน ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งติดตามมูลค่าของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 98.35 หลังจากฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบ 10 วันที่ 98.00 ที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ในวันนั้น
ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในโลกกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก เนื่องจากวอชิงตันได้กำหนดอัตราภาษีเพิ่มเติม 100% สำหรับการนำเข้าจากปักกิ่งเพื่อตอบสนองต่อการประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก
นอกจากนี้ การเก็งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่แข็งแกร่งยังคาดว่าจะเป็นแรงกดดันหลักต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลจากเครื่องมือ CME FedWatch เทรดเดอร์ได้คำนวณการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 50 จุดฐาน (bps) ในปีที่เหลืออย่างเต็มที่ และเห็นโอกาส 19.6% ที่ Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 75 bps
ในขณะเดียวกัน เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มีการซื้อขายสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ เนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนได้เพิ่มความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย
ในด้านในประเทศ นักลงทุนยังคงไม่แน่ใจเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) สำหรับปีที่เหลือ "ผมต้องการที่จะรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมและตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ที่ออกมาก่อนการประชุมกำหนดนโยบายในเดือนตุลาคมของเรา" อุเอดะกล่าวในการแถลงข่าวที่วอชิงตันเมื่อช่วงเช้าของวันนั้น ตามรายงานของรอยเตอร์
US Dollar: คำถามที่พบบ่อย
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินที่ใช้อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา และเป็นสกุลเงินที่ใช้ 'โดยพฤตินัย' ของประเทศอื่น ๆ จำนวนมากที่มีการหมุนเวียนควบคู่ไปกับสกุลเงินท้องถิ่น เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 88% ของมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก หรือมีมูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันตามข้อมูลของปี 2022 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สกุลเงิน USD เข้ามารับช่วงต่อตำแหน่งสกุลเงินสำรองของโลกจากสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษที่เป็นในประวัติศาสตร์ใหญ่ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกค้ำด้วยทองคำ จนกระทั่งเกิดข้อตกลง Bretton Woods ในปี 1971 เมื่อมาตรฐานการค้ำด้วยทองคำหมดไป
ปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐคือนโยบายทางการเงินซึ่งกำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เฟดมีหน้าที่สองประการ: เพื่อให้บรรลุเสถียรภาพด้านราคา (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) และส่งเสริมการจ้างงานเต็มรูปแบบ เครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายทั้งสองนี้คือการปรับอัตราดอกเบี้ย เมื่อราคาต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไปและอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ทางเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะหนุนค่าเงิน USD แต่เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 2% หรืออัตราการว่างงานสูงเกินไป เฟดอาจเลือกปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อสกุลเงินดอลลาร์
ในสถานการณ์ที่รุนแรงมากจริง ๆ ทาง Federal Reserve ยังสามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาเพิ่มเติมและออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ การทำ QE เป็นกระบวนการที่เฟดเพิ่มการไหลเวียนของสินเชื่อในระบบการเงินที่ติดขัดอยู่อย่างมาก โดยเป็นมาตรการทางนโยบายที่ไม่ได้เป็นมาตรฐานซึ่งใช้เมื่อสินเชื่อหมดเนื่องจากธนาคารจะไม่ให้กู้ยืมระหว่างกัน (เพราะกลัวคู่สัญญาจะผิดนัดชำระหนี้) ก็เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะบรรลุผลลัพล์ที่จำเป็น ถือเป็นเครื่องทางเลือกสุดท้ายของเฟดในการต่อสู้กับวิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นระหว่างวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 โดยเกี่ยวข้องกับการที่เฟดพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นและใช้เงินเหล่านั้นเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงินต่าง ๆ การทำ QE มักจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
การกระชับเชิงปริมาณ (QT) เป็นกระบวนการย้อนกลับของการทำ QE โดยที่ Federal Reserve จะหยุดซื้อพันธบัตรจากสถาบันการเงินและไม่นำเงินต้นไปลงทุนใหม่จากพันธบัตรที่ถืออยู่เพื่อซื้อใหม่ ซึ่งมักจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
บทความแนะนำ
