วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 8 ก.ย. 2568

ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
ราคาทองคำเปิดตลาดสัปดาห์ใหม่ในวันจันทร์ที่ 8 กันยายน 2568 ด้วยการทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง จ่อทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง หลังขึ้นไปทำจุดสูงสุดครั้งใหม่ที่ 3,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เมื่อวันศุกร์
บรรยากาศการลงทุนในทองคำกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้นอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเปรียบเสมือนการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมที่กำลังจะมาถึงนี้
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ สะดุด เปิดทางทองคำพุ่งทะยาน
หัวใจสำคัญที่จุดพลุให้ราคาทองคำพุ่งทะยานในครั้งนี้มาจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนสิงหาคมที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ค่อนข้างมาก
ข้อมูลออกมาโดยระบว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 22,000 ตำแหน่ง สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นราว 75,000 ตำแหน่งอย่างสิ้นเชิง ซ้ำร้ายไปกว่านั้น อัตราการว่างงานยังขยับสูงขึ้นแตะระดับ 4.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนภาพเดียวกันว่าตลาดแรงงานซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกกำลังสูญเสียแรงผลักดันและชะลอตัวลงเร็วกว่าที่คาดไว้ สถานการณ์ดังกล่าวได้ตอกย้ำความคาดหวังของตลาดที่ว่า Fed จะต้องดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย
โดยขณะนี้ นักลงทุนในตลาดการเงินต่างให้น้ำหนักเกือบจะเต็มร้อย ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 17 กันยายนนี้ โดยมีโอกาสถึง 84% ที่จะเป็นการลดลง 0.25% และอีก 16% ที่อาจจะลดแรงถึง 0.50% เลยทีเดียว
แรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก อีกหนึ่งปัจจัยหนุนที่มองข้ามไม่ได้
นอกเหนือจากความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของ Fed แล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่คอยพยุงราคาทองคำไว้ก็คือแรงซื้อจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลก
โดยล่าสุดมีข้อมูลอย่างเป็นทางการจากธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (People’s Bank of China หรือ PBoC) ที่เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ว่าจีนได้เข้าซื้อทองคำเข้าเป็นทุนสำรองเพิ่มเติมในเดือนสิงหาคม ซึ่งนับเป็นการเข้าซื้อต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันแล้ว ทำให้ปริมาณทองคำสำรองของจีน ณ สิ้นเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 74.02 ล้านทรอยออนซ์
การเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของทองคำในระยะยาว แต่ยังเป็นการสร้างอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในตลาด และเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยจำกัดความเสี่ยงด้านต่ำของราคาได้อย่างดีเยี่ยม
มุมมองนักวิเคราะห์ เป้าหมายต่อไปของทองคำอยู่ที่ไหน?
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ราคาทองคำพุ่งทำสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 26 ครั้งในปีนี้ นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างออกมาแสดงความคิดเห็นถึงทิศทางในอนาคต
โดย Aakash Doshi หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ทองคำของ State Street Investment Management มองว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ จากเดิมที่แรงซื้อของธนาคารกลางเป็นผู้เล่นหลัก กำลังจะถูกแทนที่ด้วยอุปสงค์จากนักลงทุนรายย่อยผ่านกองทุน ETF ทองคำ
เขาถึงกับกล่าวว่าปี 2025 คือปีแห่ง ETF ทองคำ ด้วยปัจจัยเสี่ยงเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อสูงพร้อมกัน (Stagflation) ที่อาจเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ภายใน 3-6 เดือนข้างหน้า อาจผลักดันให้ราคาทองคำไปถึง 4,000 ดอลลาร์ได้ในครึ่งแรกของปี 2026
ขณะที่ในระยะสั้น เขามองว่ามีโอกาส 50/50 ที่ราคาจะไปถึง 3,700 ดอลลาร์ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์บางส่วน เช่น Lukman Otunuga จาก FXMT ที่เริ่มส่งสัญญาณเตือนว่าในทางเทคนิค ราคาเริ่มเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานหรือย่อตัวลงในระยะสั้นได้ ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป
ขณะที่ตอนนี้ สายตาทุกคู่ยังคงจับจ้องไปที่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันพุธ ซึ่งหากตัวเลขออกมาสูงกว่าคาด อาจจะช่วยพยุงค่าเงินดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำในระยะสั้นได้ ก่อนที่จะมีข้อมูลเงินเฟ้อผู้บริโภค (CPI) ตามมาในวันพฤหัสบดี ซึ่งจะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ Fed จะใช้พิจารณาในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยต่อไป
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว เราได้ชี้ให้เห็นถึงสัญญาณ Bullish Crossover ในดัชนี Stochastic RSI ซึ่งบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของรอบการพักฐานระยะสั้น ซึ่งตลาดก็ได้ตอบสนองเชิงบวกตามที่คาดการณ์ไว้อย่างชัดเจน
ราคาทองคำสามารถดีดตัวกลับขึ้นมาจากแนวรับได้อย่างแข็งแกร่ง ทะยานผ่านแนวต้านสำคัญที่โซน 3,580 ดอลลาร์ และพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ได้อีกครั้งที่บริเวณเหนือ 3,600 ดอลลาร์ ก่อนที่จะย่อตัวลงมาซื้อขายอยู่ที่ระดับประมาณ 3,586 ดอลลาร์ในปัจจุบัน การเคลื่อนไหวนี้เป็นการยืนยันว่าภาพรวมของตลาดยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราเจาะลึกลงไปในกราฟทางเทคนิคกรอบเวลา 4 ชั่วโมงล่าสุด จะพบสัญญาณเตือนที่สำคัญปรากฏขึ้นมา นั่นคือภาวะ “Bearish Divergence” ในดัชนี RSI ซึ่งเป็นสัญญาณที่ขัดแย้งกับการทำจุดสูงสุดใหม่ของราคา
ซึ่งก็คือการที่แท่งเทียนของราคาจะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิมได้ (Higher High) แต่ยอดของดัชนี RSI กลับทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High) ภาพที่เกิดขึ้นนี้เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า “โมเมนตัม” ของขาขึ้นนั้นเริ่มอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ราคาจะยังขึ้นอยู่ แต่แรงส่งเริ่มแผ่ว ซึ่งมักจะเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าถึงโอกาสที่จะเกิดการปรับฐานหรือการย่อตัวของราคาในอนาคตอันใกล้
สำหรับแนวโน้มในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาวะ Bearish Divergence นี้ได้เข้ามาเพิ่มความเสี่ยงของการปรับฐาน ทำให้กลยุทธ์การลงทุนต้องเพิ่มความรอบคอบมากขึ้น แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตาคือบริเวณจุดสูงสุดล่าสุดที่โซน 3,600 - 3,610 ดอลลาร์ หากราคาทองคำมีแรงซื้อมากพอที่จะผลักดันให้ทะลุผ่านและยืนเหนือระดับนี้ไปได้อย่างมั่นคง ก็จะเป็นการทำลายสัญญาณ Bearish Divergence และเปิดทางให้ราคามุ่งหน้าสู่แนวต้านถัดไปที่บริเวณ 3,623 ดอลลาร์
แต่ในทางกลับกัน หากแรงซื้อไม่แข็งแกร่งพอ สัญญาณเตือนดังกล่าวอาจทำงานและกดดันให้ราคาเกิดการย่อตัวลงมา
ในกรณีที่ราคาย่อตัว แนวรับแรกจะอยู่ที่บริเวณ 3,580 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านเดิมที่เพิ่งทะลุผ่านมา หากหลุดจากระดับนี้ แนวรับถัดไปที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นคือบริเวณเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA) ที่ระดับประมาณ 3,560 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นแนวรับสำคัญในรอบนี้ ตราบใดที่ราคายังสามารถยืนอยู่เหนือแนวรับนี้ได้ ภาพรวมแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางก็ยังคงไม่เสียหาย
ดังนั้น แม้กลยุทธ์หลักจะยังคงเป็นการหาจังหวะ “เข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัว” (Buy on Dip) แต่ด้วยสัญญาณเตือนที่ปรากฏขึ้น การไล่ซื้อที่บริเวณราคาสูงสุดใหม่อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น การรอจังหวะให้ราคาย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับสำคัญแล้วเกิดสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจน จะเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัยกว่าสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$3,580
$3,560
$3,520
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$3,600
$3,625
$3,655
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน