วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 14 ก.ค. 2568

ราคาทองคำวันนี้
กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้
*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣
*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰
*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁
บทความที่คุณอาจจะสนใจด้วย >> |
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้
วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 14 กรกฏาคม 2568 ราคาทองคำ XAUUSD วันนี้เปิดตลาดเอเชียมาก็พุ่งขึ้นไปยืนแถวๆ $3,365 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว สาเหตุหลักที่จุดประกายให้นักลงทุนทั่วโลกต้องรีบวิ่งเข้าหาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอันดับหนึ่ง ก็คือการกลับมาของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นโดยฝีมือของประธานาธิบดี Donald Trump ที่สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดอีกครั้งด้วยการประกาศมาตรการภาษีระลอกใหม่แบบจัดหนักจัดเต็ม
โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากคู่ค้าสำคัญอย่างสหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโกในอัตราสูงถึง 30% และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ทันที ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังประกาศเรียกเก็บภาษีจากสินค้าแคนาดาที่อัตรา 35% และเสนอเพดานภาษีทั่วไปสำหรับคู่ค้ารายอื่นๆ ที่ 15%-20% พร้อมทั้งภาษีสุดโหดสำหรับ “ทองแดง” ที่ 50%
การกระทำเช่นนี้เปรียบเสมือนการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ ทำให้ความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจนอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยนั้นพุ่งสูงขึ้น นักลงทุนจึงต้องรีบย้ายเงินทุนออกจากสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น แล้วหันมาซบทองคำเพื่อปกป้องความมั่งคั่ง
นอกจากนี้ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ยังคงร้อนระอุอยู่เสมอ โดยเฉพาะเหตุการณ์ปะทะในกาซ่า ก็เป็นอีกปัจจัยเสริมที่คอยย้ำเตือนถึงความไม่แน่นอนของโลก และหนุนให้ราคาทองคำมีเสน่ห์ในฐานะหลุมหลบภัยชั้นดีต่อไป
ทองอาจไปไม่สุด เมื่อ “ทองแดง” กลายเป็นดาวเด่น
แม้ว่าราคาทองคำจะดูสดใสและมีปัจจัยบวกหนุนหลังอยู่หลายอย่าง แต่ก็มีปัจจัยสำคัญที่อาจเป็นตัวสกัดดาวรุ่งอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ประเด็นแรกที่ต้องจับตาคือท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ยังคงระมัดระวังเป็นพิเศษ หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า Fed จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมไปก่อน เพื่อรอดูผลกระทบที่แท้จริงจากสงครามภาษีครั้งนี้ ว่ามันจะทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อของประเทศเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนกันแน่ ทางด้านประธาน Fed สาขาชิคาโก Austan Goolsbee ก็ออกมายอมรับตรงๆ เลยว่า ภาษีระลอกใหม่ของทรัมป์ยิ่งทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อขุ่นมัวและคาดเดายากเข้าไปใหญ่ ทำให้เขายิ่งไม่สามารถสนับสนุนการลดดอกเบี้ยตามที่ทรัมป์พยายามกดดันได้ง่ายๆ
แต่ตัวแปรสำคัญที่น่าจับตาที่สุดในนาทีนี้อาจไม่ใช่เรื่องดอกเบี้ย แต่เป็นการย้ายเงินทุนของนักลงทุน เพราะขณะที่ทองคำกำลังวิ่งขึ้น สินทรัพย์โภคภัณฑ์อื่นๆ โดยเฉพาะ “ทองแดง” และ “แร่เงิน” กลับวิ่งแรงแซงทางโค้งไปแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากทรัมป์ประกาศเก็บภาษีทองแดง 50% ราคาทองแดงในตลาด Comex ก็พุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ภายในวันเดียว เกิดภาวะขาดแคลนสภาพคล่องจากการที่บริษัทต่างๆ เร่งกักตุนสินค้าก่อนภาษีจะมีผลบังคับใช้
นักวิเคราะห์อย่าง Robert Minter จาก abrdn ชี้ให้เห็นภาพว่า ทองคำนั้นเปรียบเสมือน “สิ่งที่ใหญ่เกินกว่าจะล้ม” ในระบบการเงิน แต่ทองแดงหรือแร่เงินนั้นไม่ใช่ เขายังมองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ “แร่เงิน” อาจเป็นเป้าหมายภาษีรายต่อไป ซึ่งกระแสเก็งกำไรในทองแดงและแร่เงินที่กำลังร้อนแรงนี้เอง อาจดึงดูดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลออกจากตลาดทองคำ ทำให้ราคาทองไปต่อได้ไม่ไกลนัก
Philip Streible นักกลยุทธ์จาก Blue Line Futures ก็เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยอมรับว่าเขาได้ขายทำกำไรทองคำบางส่วนออกไปแล้วในจังหวะที่ราคาดีดตัวขึ้น เพื่อหมุนเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่กำลังมีโมเมนตัมร้อนแรงกว่าอย่างแร่เงินที่ทะลุระดับ $38 ไปได้อย่างสวยงาม
หนี้สหรัฐฯ ท่วม และความไม่แน่นอนยังคงอยู่
เมื่อมองข้ามความผันผวนในระยะสั้นไปแล้ว จะพบว่าในภาพระยะยาว ราคาทองคำยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งคอยหนุนอยู่ บริษัทวิเคราะห์ชั้นนำอย่าง Metals Focus มองว่าโอกาสที่ราคาทองจะปรับตัวลงแรงๆ ในช่วงครึ่งหลังของปีนั้นมีจำกัดเพราะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงอยู่กับเราไปอีกนาน
แม้สงครามการค้าเต็มรูปแบบอาจไม่เกิดขึ้น แต่กำแพงภาษีของสหรัฐฯ ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงเป็นประวัติการณ์ และผลกระทบจากเงินเฟ้อที่เกิดจากภาษีอาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างเต็มที่ ทำให้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะซบเซาแต่เงินเฟ้อสูง หรือ “Stagflation” ยังคงมีอยู่สูง ซึ่งเป็นสภาวะที่ส่งผลดีต่อทองคำ
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่นักลงทุนระยะยาวทั่วโลกจับตามองคือ “หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ” ที่ตอนนี้ทะลุมหาศาลกว่า 37 ล้านล้านดอลลาร์ไปแล้ว และกฎหมายงบประมาณฉบับใหม่ก็คาดว่าจะทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 4 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า
สถานการณ์หนี้สินที่น่าเป็นห่วงนี้ได้กดดันเสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของค่าเงินดอลลาร์ในระยะยาว เมื่อความเชื่อมั่นในเงินสกุลหลักของโลกสั่นคลอน นักลงทุนจึงมองหาสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อเก็บรักษามูลค่า ซึ่ง “ทองคำ” คือคำตอบที่เป็นเช่นนั้นมาตลอดหลายศตวรรษ ข้อมูลที่น่าสนใจคือ แม้จะมีการขายทำกำไรจากนักเก็งกำไรระยะสั้น แต่กองทุน Gold ETPs ทั่วโลกกลับมียอดเข้าซื้อสุทธิในเดือนมิถุนายน และทำให้ยอดถือครองทองคำในแง่ของมูลค่าดอลลาร์พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 383 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนสถาบันและรายใหญ่ยังคงเชื่อมั่นและทยอยสะสมทองคำไว้ในพอร์ตอย่างเหนียวแน่น
จับตาข้อมูลเงินเฟ้อสหรัฐฯ สัปดาห์นี้
โดยสรุปแล้ว ตลาดทองคำตอนนี้เป็นเหมือนการชักเย่อกันระหว่าง “กลุ่มกระทิง” ที่มองว่าสงครามการค้าและความเสี่ยงต่างๆ จะหนุนให้ทองไปต่อ กับ “กลุ่มหมี” ที่เชื่อว่าท่าทีของ Fed และกระแสเงินทุนที่ไหลไปสู่โภคภัณฑ์อื่นจะกดดันราคาทองคำไว้
สำหรับนักลงทุน สิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดและห้ามกระพริบตาในสัปดาห์นี้ คือการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อโดยตรง
เพราะอย่างที่ Aaron Hill จาก FP Markets กล่าวไว้ ตัวเลขเงินเฟ้อนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่คอยยับยั้งไม่ให้ Donald Trump ออกมากดดันประธาน Fed ได้มากกว่านี้ หากตัวเลขออกมาสูงกว่าคาด อาจทำให้ Fed ต้องคงดอกเบี้ยไว้นานขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าและกดดันทองคำ แต่หากตัวเลขออกมาต่ำ ก็อาจเปิดทางให้มีการลดดอกเบี้ยได้ในอนาคต
ดังนั้น ตัวเลข CPI ที่จะประกาศ จะเป็นกุญแจสำคัญที่บ่งชี้ท่าทีของ Fed และจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลต่อราคาทองคำโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วิเคราะห์กราฟทองวันนี้
ภาพรวมของราคาทองคำดำเนินไปในทิศทางที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ประเมินไว้ โดยหลังจากที่ราคาสามารถทะลุผ่านแนวต้านสำคัญอย่างเส้น EMA 200 ขึ้นมาได้สำเร็จ ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น แต่สามารถพุ่งทะยานผ่านเป้าหมายแรกที่บริเวณ $3,345 ไปได้อย่างง่ายดาย และล่าสุด ณ ราคาปัจจุบันที่ประมาณ $3,360 ถือเป็นการตอกย้ำว่าโมเมนตัมขาขึ้นในรอบนี้มีความแข็งแกร่งอย่างมีนัยสำคัญ ที่สำคัญไปกว่านั้น สัญญาณ “Golden Cross” ที่เราเฝ้ารอ ก็ได้ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบแล้วในไทม์เฟรม 4 ชั่วโมงนี้ เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น (EMA 12 และ 26) ได้ตัดผ่านเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (EMA 200) ขึ้นไป ซึ่งในทางเทคนิคถือเป็นการยืนยันการกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลางอย่างเต็มตัว
สำหรับแนวโน้มในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า เมื่อราคาสามารถเอาชนะแนวต้านเดิมมาได้ เป้าหมายถัดไปที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดจึงหนีไม่พ้นแนวต้านถัดไปตามแนวนอนที่บริเวณ $3,372 ซึ่งเป็นระดับราคาที่เคยมีความสำคัญในอดีต
ด้วยพละกำลังของแรงซื้อที่แสดงออกมาผ่านแท่งเทียนสีเขียวที่แข็งแรง และการที่อินดิเคเตอร์อย่าง RSI ยังคงพุ่งทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องในโซนกระทิง (เหนือระดับ 60) ก็เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าราคาทองคำมีโอกาสสูงที่จะเคลื่อนที่ขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ $3,372 ได้ในไม่ช้า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องเริ่มใช้ความระมัดระวังคือ สัญญาณจากอินดิเคเตอร์ที่เริ่มเข้าสู่โซน Overbought หรือภาวะซื้อมากเกินไป ทั้ง RSI ที่กำลังจะเข้าใกล้ระดับ 70 และ Stoch RSI ที่เคลื่อนไหวอยู่ในโซนสูงมาสักพักแล้ว ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงขายทำกำไรระยะสั้นสลับออกมาได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น กลยุทธ์ที่น่าสนใจจึงเป็นการจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาให้ดี หากเกิดการย่อตัวหรือพักฐานลงมา จุดสังเกตสำคัญด่านแรกคือแนวรับที่บริเวณ $3,345 ซึ่งเคยเป็นแนวต้านเก่านั่นเอง หากราคาสามารถย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับนี้แล้วไม่หลุด พร้อมกับมีแรงซื้อกลับเข้ามาอีกครั้ง ก็จะถือเป็นสัญญาณการ “ย่อเพื่อไปต่อ” ที่สวยงาม และยังคงรักษาภาพของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้
แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง
$3,345
$3,325
$3,293
แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง
$3,372
$3,400
$3,417
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน