การคาดการณ์ราคาเงิน: XAG/USD แกว่งอยู่รอบ ๆ $36 ก่อนข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ
- ราคาเงินเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ $36.00 ก่อนข้อมูลการจ้างงาน ADP และ NFP ของสหรัฐฯ สำหรับเดือนมิถุนายน
- มิเชล โบว์แมน จากเฟดเตือนถึงความเสี่ยงในตลาดแรงงานในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน
- ดอลลาร์สหรัฐหาจุดยืน ขณะที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการลดภาษีและค่าธรรมเนียมทำให้มันอยู่ในสถานะที่ไม่ดี
ราคาเงิน (XAG/USD) ซื้อขายอยู่ในกรอบราคาแคบๆ ประมาณ $36.00 ในช่วงเวลาซื้อขายในยุโรปเมื่อวันพุธ โลหะสีขาวกำลังรวมตัวกันขณะที่นักลงทุนรอข้อมูลการจ้างงาน Nonfarm Payrolls (NFP) ของสหรัฐฯ สำหรับเดือนมิถุนายนเพื่อสัญญาณใหม่เกี่ยวกับแนวโน้มของนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
นักลงทุนจะติดตามข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากความคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่เฟดบางคน รวมถึงรองประธานฝ่ายการกำกับดูแล มิเชล โบว์แมน ได้ส่งสัญญาณถึงความเสี่ยงในตลาดแรงงานที่เพิ่มขึ้น
“หากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ฉันจะสนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ยในที่ประชุมครั้งถัดไปเพื่อให้ใกล้เคียงกับระดับที่เป็นกลางและเพื่อรักษาตลาดแรงงานที่แข็งแรง” โบว์แมนกล่าวในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายน
สัญญาณของสภาพตลาดแรงงานที่อ่อนตัวจะทำให้เทรดเดอร์สามารถเพิ่มการเก็งกำไรสนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ยในระยะต้นจากเฟด โดยทฤษฎีแล้ว การลดอัตราดอกเบี้ยจากเฟดจะเป็นผลดีต่อสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน เช่น เงิน
ก่อนข้อมูล NFP ของสหรัฐฯ นักลงทุนรอข้อมูลการเปลี่ยนแปลงการจ้างงาน ADP สำหรับเดือนมิถุนายน ซึ่งจะประกาศในเวลา 12:15 GMT โดยคาดว่าผู้จ้างงานเอกชนในสหรัฐฯ จะจ้างงานใหม่ 95,000 คน ซึ่งสูงกว่าที่ 37,000 คนในเดือนพฤษภาคมอย่างมีนัยสำคัญ
ในขณะเดียวกัน ความอ่อนแอในดอลลาร์สหรัฐ (USD) ยังคงสนับสนุนราคาเงิน ดอลลาร์สหรัฐเผชิญกับแรงขายที่รุนแรงท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเส้นตายภาษีในวันที่ 9 กรกฎาคม และความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ที่ขยายตัวหลังจากการบังคับใช้ “บิลที่สวยงาม” ของทรัมป์
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เงิน
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นที่ไม่คาดคิดในข้อมูลตำแหน่งงาน JOLTS ของสหรัฐฯ สำหรับเดือนพฤษภาคมได้สนับสนุนดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ได้รับแรงสนับสนุนชั่วคราวหลังจากลดลงใกล้ 96.40 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่เห็นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 ขณะนี้ดัชนี USD ปรับตัวขึ้นใกล้ 96.80
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของเงิน
ราคาเงินสร้างรูปแบบกราฟ Head and Shoulder (H&S) บนกรอบเวลาสี่ ซึ่งการหลุดต่ำกว่าระดับคอจะส่งผลให้เกิดการกลับตัวเป็นขาลง ระดับคอของรูปแบบกราฟอยู่ใกล้กับระดับต่ำของวันอังคารที่ประมาณ $35.28
โลหะสีขาวยังคงอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) 200 วัน ซึ่งบ่งชี้ว่าแนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นขาขึ้น
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) ระยะ 14 วันลดลงใกล้ 40.00 โมเมนตัมขาลงใหม่จะเกิดขึ้นหาก RSI ไม่สามารถรักษาอยู่เหนือระดับนั้นได้
มองลงไป ระดับสูงของวันที่ 28 มีนาคมที่ประมาณ $34.60 จะทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญสำหรับราคาเงิน ขึ้นไปด้านบน ระดับสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษที่ประมาณ $37.32 จะเป็นอุปสรรคสำคัญ
กราฟรายวันของเงิน
โลหะเงิน FAQs
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน
บทความแนะนำ
