WTI ยังคงทรงตัวใกล้ 64.50 ดอลลาร์ท่ามกลางความเสี่ยงที่ลดลงในตะวันออกกลาง
- ราคา WTI เคลื่อนไหวคงที่อยู่ที่ประมาณ 64.50 ดอลลาร์ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันจันทร์
- การหยุดยิงระหว่างอิสราเอล-อิหร่านและแนวโน้มการเพิ่มอุปทานจาก OPEC+ ส่งผลกดดันต่อราคา WTI
- OPEC+ เตรียมเพิ่มการผลิตในเดือนสิงหาคมอีก 411,000 บาร์เรลต่อวัน
น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 64.50 ดอลลาร์ในช่วงเวลาการซื้อขายของเอเชียในวันจันทร์ ราคา WTI เคลื่อนไหวอยู่ในระดับคงที่ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่ลดลงและแนวโน้มการเพิ่มการผลิตจาก OPEC+ ในเดือนสิงหาคม
การหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่านช่วยลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าการสงบศึกระหว่างทั้งสองประเทศจะลดความเสี่ยงในการหยุดชะงักของการจัดหาน้ำมันในภูมิภาค ซึ่งอาจทำให้ราคา WTI ลดลงในระยะสั้น ตลาดได้ตัดราคาเบี้ยประกันความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ส่วนใหญ่ที่สร้างขึ้นหลังจากการหยุดยิงระหว่างอิหร่านและอิสราเอลแล้ว ตามที่นักวิเคราะห์ตลาด IG โทนี่ ไซคาโมร์ กล่าว
องค์กรประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) และพันธมิตร (OPEC+) กล่าวว่า กลุ่มนี้เตรียมเพิ่มการผลิตขึ้น 411,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนสิงหาคม หลังจากการเพิ่มการผลิตในขนาดใกล้เคียงกันในเดือนพฤษภาคม มิถุนายน และกรกฎาคม OPEC+ มีกำหนดประชุมในวันที่ 6 กรกฎาคม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ห้าติดต่อกันนับตั้งแต่กลุ่มเริ่มยกเลิกการปรับลดการผลิตในเดือนเมษายน
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสจากจีนอาจช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันดำ เนื่องจากจีนเป็นผู้บริโภคน้ำมันและก๊าซที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ข้อมูลที่เผยแพร่ในวันจันทร์แสดงให้เห็นว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตอย่างเป็นทางการของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 49.7 ในเดือนมิถุนายน เทียบกับ 49.5 ก่อนหน้านี้ ตัวเลขนี้ตรงตามความเห็นของตลาด ขณะเดียวกัน ดัชนี PMI นอกภาคการผลิตของ NBS เพิ่มขึ้นเป็น 50.5 ในเดือนมิถุนายน เทียบกับ 50.3 ในเดือนพฤษภาคม และ 50.3 ที่คาดการณ์ไว้
WTI Oil FAQs
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย
บทความแนะนำ
