ในตลาดลงทุนเอเชียวันศุกร์ EURJPY เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 167.00 โดยมีแนวโน้มขาขึ้น คู่ EURJPY เพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากสํานักงานสถิติของญี่ปุ่นเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของโตเกียวในวันศุกร์
เมื่อเทียบเป็นรายปี ดัชนี CPI ของโตเกียวในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 2.2% ลดลงเล็กน้อยจากการเพิ่มขึ้น 2.3% ก่อนหน้านี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคของโตเกียวที่ไม่รวมอาหารสดและพลังงานเพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน เทียบกับการเพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้ที่ 1.8% นอกจากนี้ CPI ที่ไม่รวมอาหารสดก็เพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งตรงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม ขาขึ้นของ EURJPY อาจมีไม่มาก เนื่องจากเงินเยนญี่ปุ่นอาจได้รับแรงหนุนเพราะเทรดเดอร์อาจลดการเทรดก่อนการประชุมนโยบายสองวันของธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งจะสิ้นสุดในวันพุธ คาดว่า BoJ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทําให้ผู้ขายชอร์ตปิดออเดอร์ และหนุนค่าเงินเยน นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่า BoJ ว่าจะร่างแผนการลดการซื้อพันธบัตรเพื่อลดมาตรการกระตุ้นทางการเงินครั้งใหญ่
ในด้านเงินยูโร คาดว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกสองครั้งในปีนี้ เนื่องจากคาดว่าแรงกดดันด้านราคาจะคงอยู่ในระดับปัจจุบันในปี 2024 และจะกลับสู่เป้าหมายของธนาคารในปี 2025 เท่านั้น ความเชื่อมั่นนี้สร้างแรงกดดันต่อเงินยูโร ซึ่งอาจจํากัดขาขึ้นของค่าเงิน EURJPY
ในขณะเดียวกัน กิจกรรมทางธุรกิจของยูโรโซนที่ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ (โดยเฉพาะในเยอรมนี) ได้เพิ่มความคาดหวังในการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) คอมโพสิตของเยอรมนีหดตัวอย่างไม่คาดคิดในเดือนกรกฎาคม เทรดเดอร์ยูโรจะต้องรอการอัปเดตผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทั่วสหภาพยุโรปในสัปดาห์หน้าเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม
อัตราเงินเฟ้อวัดการเพิ่มขึ้นของราคาในตะกร้าสินค้าและบริการที่ใช้อ้างอิง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมองค์ประกอบที่มีความผันผวนสูงเช่น อาหารและเชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้อาจผันผวนเพราะสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญและเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้อ้างอิงในการกำหนดเป้าหมาย ธนาคารกลางฯ นิยมคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2%
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตะกร้าสินค้าและบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติ CPI จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) CPI หลักคือตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้กำหนดราคาเป้าหมาย เพราะ CPI ทั่วไปไม่รวมปัจจัยเช่นการผลิตอาหารและเชื้อเพลิงที่มีความผันผวน ดังนั้น เมื่อ CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จึงมักจะส่งผลให้ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อ CPI ลดลงต่ำกว่า 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงเป็นผลดีต่อสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมักส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น และตรงกันข้าม สกุลเงินจะอ่อนค่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง
แม้ว่าอาจดูเหมือนขัดกับภาพความเป็นจริงที่เห็น แต่อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่สูงจะผลักดันมูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ให้สูงขึ้นเพราะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกให้ไหลเข้าประเทศ เพราะพวกเขากำลังมองหาสถานที่ที่มีกำไรจากการฝากเงินของพวกเขา
ในอดีต ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันไปพึ่งพาในช่วงเวลาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง เนื่องจากทองคำยังคงรักษามูลค่าไว้ได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนอย่างรุนแรง นักลงทุนมักจะซื้อทองคำด้วยสถานะการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในปัจจุบันมักไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางต่างๆ มักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจึงไม่เป็นผลดีต่อทองคำ เนื่องจากทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลงเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปฝากในบัญชีเงินสด ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อทองคำ เพราะจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้โลหะมีค่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสมากขึ้น