ไม่มีฟองสบู่ AI: การเติบโตของ AWS แตะจุดต่ำสุด แต่รายได้ Amazon พุ่งทะยาน

ภาพรวมผลการดำเนินงาน

TradingKey - รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 ของ Amazon แสดงให้เห็นถึงผลงานที่แข็งแกร่งกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทั้งรายได้และกำไรสูงกว่าประมาณการของวอลล์สตรีท ปัจจัยหนุนหลักมาจากการเร่งตัวของธุรกิจคลาวด์ AWS ผลตอบแทนที่โดดเด่นจากการลงทุนด้าน AI และการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจโฆษณา

ในไตรมาสนี้ Amazon มีรายได้รวม 180.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 177.8 พันล้านดอลลาร์ อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 1.8% เป็น 50.8% ซึ่งมาจากการเติบโตของธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูงอย่างโฆษณา และผลบวกจากอัตราแลกเปลี่ยน

กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 39% เป็น 21.2 พันล้านดอลลาร์ กำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 1.95 ดอลลาร์ สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 1.56 ดอลลาร์ รายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 17.42 พันล้านดอลลาร์ โดยรวมรายการพิเศษกว่า 4.3 พันล้านดอลลาร์ (รวมถึงการชำระค่าปรับให้ FTC มูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ และค่าชดเชยพนักงาน 1.8 พันล้านดอลลาร์) หากตัดรายการพิเศษออก กำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 21.7 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก

นอกจากนี้ กำไรสุทธิยังรวมกำไรจากการลงทุนในบริษัท AI “Anthropic” ก่อนหักภาษีจำนวน 9.5 พันล้านดอลลาร์

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซและตัวเลข Subscription ยังเติบโตแข็งแกร่ง

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซและสมัครสมาชิกยังเติบโตแข็งแกร่ง

ธุรกิจค้าปลีกของ Amazon ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง รายได้จาก Online Store อยู่ที่ 67.4 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 10% จากปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากแคมเปญ Prime Day การจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ และระบบแนะนำสินค้าด้วย AI เช่น แชตบอท Rufus

การพัฒนาเทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์และระบบโลจิสติกส์ช่วยให้บริษัทสามารถส่งสินค้ารวดเร็วขึ้น และขยายบริการจัดส่งภายในวันเดียวไปยังเมืองต่างๆ มากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการขายออนไลน์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

รายได้จากบริการผู้ขายภายนอก อยู่ที่ 42.5 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน จากการใช้เครื่องมือช่วยผู้ขายด้วย AI เช่น “Creative Studio” และการขยายฐานผู้ขายทั่วโลก

รายได้จากบริการสมัครสมาชิก (Subscription) เติบโต 11% เป็น 12.6 พันล้านดอลลาร์ มาจากจำนวนสมาชิก Prime ที่เกินกว่า 200 ล้านบัญชี และบริการใหม่ๆ เช่น Prime Video ถ่ายทอดสดกีฬา และ Alexa Plus การเพิ่มฟีเจอร์ AI ทำให้ผู้ใช้มีการใช้งานต่อเนื่องมากขึ้น โดยบริษัทมีแผนขยายบริการสู่ตลาดชนบทในอนาคต ธุรกิจนี้ซึ่งมีมาร์จิ้นสูง เป็นเสาหลักสำคัญของรายได้ประจำของบริษัท

ธุรกิจโฆษณายังคงเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนการเติบโตหลัก รายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 24% เป็น 17.7 พันล้านดอลลาร์ เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ปัจจัยหนุนมาจากการขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์และฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการลงทุนในโฆษณาวิดีโอและสตรีมมิงที่เริ่มสร้างรายได้อย่างเห็นได้ชัด แม้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นก็ตาม

ในเชิงภูมิศาสตร์ ทั้งอเมริกาเหนือและต่างประเทศต่างมีการเติบโตระดับเลขสองหลัก แม้ว่ารายได้จากการดำเนินงานจะลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะค่าปรับจาก FTC และค่าใช้จ่ายชดเชยพนักงาน แต่เมื่อปรับรายการเหล่านี้ออก ผลกำไรจากธุรกิจหลักของอีคอมเมิร์ซยังคงแข็งแรง

ศักยภาพ AI ถูกปลดปล่อยเต็มที่

แม้ว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะทำได้ดี แต่สิ่งที่ผลักดันให้ราคาหุ้น Amazon พุ่งกว่า 13% หลังตลาดปิด คือการที่นักลงทุนเริ่มตระหนักถึงศักยภาพของ AI ที่เริ่มผลิดอกออกผล

หากเปรียบศักยภาพ AI ของ Amazon เป็นการวิ่งมาราธอน ด้วยความเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์จาก AWS บริษัทได้ออกสตาร์ทนำคู่แข่งไปก่อนหนึ่งก้าว ในขณะที่ Microsoft และ Google ยังคงอยู่ในช่วงวางรากฐาน Amazon กลับเริ่มเข้าสู่จังหวะเร่งสปีด

ศักยภาพของ AI ได้สร้าง “วงจรเศรษฐกิจหมุนเวียน” ภายในบริษัท ซึ่งสะท้อนในสองด้านหลักในรายงานนี้ ได้แก่ การเร่งตัวของ AWS และการเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร

AWS กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

AWS ยังคงเป็นผู้นำตลาดคลาวด์ แต่ในช่วงก่อนหน้า การเติบโตที่ชะลอตัว 6 ไตรมาสติดต่อกันเคยทำให้นักลงทุนกังวล โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ Azure ที่โต 39% และ Google Cloud ที่โต 34% ในไตรมาสเดียวกัน

แต่ในไตรมาสนี้ AWS พลิกกลับมาเติบโต 20.2% รายได้แตะ 33.0 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 11 ไตรมาส และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ปัจจัยหลักมาจากความต้องการด้าน AI ที่พุ่งสูง การขยายโครงสร้างพื้นฐาน และการนำบริการใหม่ๆ มาใช้เพิ่มขึ้น

กำไรจากการดำเนินงานของ AWS อยู่ที่ 11.4 พันล้านดอลลาร์ อัตรากำไร 34.6% แม้ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยเพราะค่าใช้จ่ายด้าน Capex การคิดค่าเสื่อม และ R&D ที่เพิ่มขึ้น

สิ่งสำคัญคือ มูลค่าคำสั่งซื้อรอส่งมอบ (Backlog) ของ AWS สิ้นไตรมาสอยู่ที่ 200 พันล้านดอลลาร์ และยังมีดีลใหม่ๆ ที่ไม่ได้เปิดเผยในเดือนตุลาคม ซึ่งผู้บริหารเผยว่ามีมูลค่ารวมมากกว่าทั้งไตรมาส 3 ทั้งหมด AWS ลงทุนไปแล้วกว่า 100 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูล AI และชิปเฉพาะทางอย่าง Trainium เพื่อแก้ปัญหาความจุจำกัด

แม้อัตราเติบโตจะช้ากว่าคู่แข่งบางราย แต่ด้วยขนาดธุรกิจที่ใหญ่ (รายได้ต่อปีมากกว่า 132 พันล้านดอลลาร์) AWS มีความได้เปรียบจาก “ขนาด” ที่ทำให้ลูกค้าองค์กรย้ายระบบได้สะดวกกว่า และเมื่อมีการใช้งาน AI เพิ่มขึ้น ระบบก็ยิ่งเรียนรู้และแม่นยำขึ้น เกิดวงจร “ขนาดสร้างข้อได้เปรียบ” ที่ยากจะไล่ทัน

AI เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานภายในองค์กร

Amazon ได้เริ่มการปรับลดพนักงานในรอบใหม่ โดยเน้นที่ตำแหน่งสนับสนุนหรือไม่ใช่แกนหลัก สาเหตุหลักคือการนำ AI มาใช้ในกระบวนการภายในอย่างกว้างขวาง รอบนี้มีการปลดพนักงานองค์กรราว 14,000 คน หรือประมาณ 4% ของพนักงานสำนักงานทั้งหมด 350,000 คน และอาจขยายเป็น 30,000 คนภายในต้นปี 2026

เมื่อดูจากรายได้ต่อพนักงาน Amazon ยังถือว่ามีประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับขนาดองค์กร ดังนั้นการใช้ AI และหุ่นยนต์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้มาก ปัจจุบันบริษัทมีหุ่นยนต์ทำงานแล้วกว่า 1 ล้านตัว และตั้งเป้าที่จะเพิ่มการใช้ระบบอัตโนมัติให้ถึง 75% ภายในปี 2033 ซึ่งอาจแทนที่พนักงานกว่า 600,000 คน

เมื่อรวมกับรายได้จากคลาวด์และ AI ที่ยังเติบโตสองหลัก และการลดต้นทุนระยะยาวจากระบบอัตโนมัติ มาร์จิ้นของ Amazon มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต

แนวโน้มและกลยุทธ์ระยะยาว

Amazon คาดว่ารายได้ไตรมาส 4 จะอยู่ระหว่าง 206–213 พันล้านดอลลาร์ โดยค่ากลางอยู่ที่ 209.5 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ ส่วนกำไรจากการดำเนินงานคาดอยู่ระหว่าง 21–26 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าค่ากลางที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 23.8 พันล้านดอลลาร์

อัตราส่วน PEG ของบริษัทอยู่ในระดับที่ถือว่าปลอดภัย ความกังวลหลักของตลาดเกี่ยวกับการชะลอตัวของ AWS ได้รับการคลี่คลายแล้ว ในขณะที่ธุรกิจโฆษณาและอีคอมเมิร์ซยังเติบโตมั่นคง แม้ว่ากำไรจากการดำเนินงานจะดูต่ำเพราะรายการพิเศษและเหตุการณ์ชั่วคราว เช่น การหยุดชะงักของ AWS แต่ปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของบริษัทยังแข็งแกร่ง

Amazon กำลังเดินหน้าลงทุนอย่างหนัก โดยเฉพาะในเทคโนโลยี AI ผู้บริหารเชื่อว่า AI จะเป็นโอกาสขนาดใหญ่ที่สร้างผลตอบแทนมหาศาลในระยะยาว บริษัทคาดว่าเงินลงทุนรวมในปี 2025 จะสูงถึง 125 พันล้านดอลลาร์ มากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ที่ 118.7 พันล้านดอลลาร์ และจะเพิ่มขึ้นอีกในปี 2026 เพื่อรองรับแผนเพิ่มขีดความสามารถของ AWS เป็นสองเท่าภายในปี 2027

แม้ Amazon จะเข้าสู่วงจรลงทุนด้าน AI ช้ากว่าคู่แข่งอย่าง Microsoft ที่เริ่มชะลอการลงทุนแล้ว แต่ตอนนี้บริษัทกำลังอยู่ใน “จุดพีคของการลงทุน” เพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ทันกับความต้องการที่พุ่งสูง ในยุคแห่ง AI นี้ Amazon กำลังเปลี่ยนสถานะจาก “ผู้ตาม” สู่ “ผู้นำ” อย่างเต็มตัว — และนี่คือจุดที่นักลงทุนมองว่า “ยังคุ้มค่าที่จะเดิมพันระยะยาว”