วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 31 ตุลาคม 2568

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

ราคาทองคำในตลาดโลกกำลังพยายามฟื้นตัวเป็นวันที่สองติดต่อกันในวันศุกร์นี้ หลังจากที่ร่วงลงไปทดสอบระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม ที่บริเวณต่ำกว่า 3,900 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวครั้งนี้ยังขาดแรงส่งที่ต่อเนื่อง โดยราคาทองคำ XAUUSD เช้านี้ยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าแนวต้านสำคัญที่ 4,050 ดอลลาร์ ท่ามกลางสัญญาณปัจจัยพื้นฐานที่ผสมปนเปกันอย่างมาก สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความสับสนและความลังเลของนักลงทุนอย่างชัดเจน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ราคาทองคำฟื้นตัวในลักษณะ Corrective Rebound หรือการดีดกลับทางเทคนิค หลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คำถามสำคัญที่นักลงทุน นักเทรด และนักเก็งกำไรกำลังอยากรู้ในวันนี้คือ การดีดกลับครั้งนี้เป็นเพียงการพักฐานเพื่อลงต่อ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัวรอบใหม่?

สัญญาณเหยี่ยวจาก Fed ปัจจัยหลักที่กดดันราคาทองคำ

แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) จะมีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ตามคาด สู่กรอบ 3.75% - 4.00% และยังส่งสัญญาณว่าจะยุติการลดขนาดงบดุล (QT) ในเดือนธันวาคม ซึ่งโดยปกติควรจะเป็นผลดีต่อราคาทองคำ แต่สิ่งที่ตลาดให้ความสนใจมากกว่าคือถ้อยแถลงของประธาน Fed อย่าง Jerome Powell

Powell ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยน้ำเสียงที่ “Hawkish” (สายเหยี่ยว หรือสนับสนุนนโยบายการเงินที่ตึงตัว) มากกว่าที่คาด โดยเขาได้ดับความหวังของตลาดที่คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคมอย่างชัดเจน โดยระบุว่า การลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธันวาคม ไม่ใช่ข้อสรุปที่ตายตัว และมันยังอีกไกลจากจุดนั้น

คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง มันผลักดันให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนทันที ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ร่วงลง (อัตราผลตอบแทนหรือ Yield พุ่งสูงขึ้น) โดยล่าสุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 4.078%

ปรากฏการณ์นี้คือกำแพงที่ใหญ่ที่สุดที่สกัดกั้นการขึ้นของราคาทองคำในขณะนี้ เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในตัวเอง เมื่อพันธบัตรซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน กลับมาให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ความน่าสนใจของทองคำในฐานะเครื่องมือการลงทุนจึงลดลงในสายตาของนักเก็งกำไรระยะสั้น นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้การฟื้นตัวของราคาทองคำขาดแรงซื้อสนับสนุนอย่างจริงจัง

ปัจจัยหนุนสินทรัพย์ปลอดภัยที่ยังไม่จางหาย

อย่างไรก็ตาม แม้จะถูกกดดันจากท่าทีของ Fed แต่ราคาทองคำก็ยังไม่ยอมร่วงลงอย่างรุนแรง เพราะยังมีปัจจัยบวกที่สำคัญคอยพยุงราคาเอาไว้ โดยเฉพาะในมิติของสินทรัพย์ปลอดภัย

ปัจจัยหนุนแรกมาจากความกังวลภายในของสหรัฐฯ เอง เกี่ยวกับสถานการณ์ปิดตัวของหน่วยงานรัฐบาล ที่ตลาดยังคงกังวลว่าหากยืดเยื้อ มันจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ความไม่แน่นอนนี้ทำหน้าที่เป็นแรงส่งให้กับราคาทองคำในฐานะหลุมหลบภัย

ที่น่าสนใจคือ สถานการณ์ Government Shutdown นี้ยังส่งผลย้อนกลับไปสร้างความปวดหัวให้กับ Fed เองด้วย

ดังที่รายงานของ Bloomberg ระบุว่า การที่ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ตัวเลขการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อ ไม่สามารถเผยแพร่ได้ตามปกติในช่วง Shutdown ทำให้เกิดความแตกแยกภายใน Fed เอง ระหว่างกลุ่มที่กังวลเรื่องตลาดแรงงานที่ชะลอตัว กับกลุ่มที่กังวลว่าเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ ซึ่งความไม่ชัดเจนในการเข้าถึงข้อมูลนี้ ก็ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินโดยรวม

ปัจจัยหนุนที่สอง และอาจเป็นปัจจัยที่แข็งแกร่งที่สุดในระยะกลาง คือแรงซื้อที่ไม่ลดลงจากธนาคารกลางทั่วโลก

รายงานล่าสุดจากสภาทองคำโลก (WGC) ระบุว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน) ธนาคารกลางต่างๆ ได้เร่งซื้อทองคำเข้าคลังสำรองถึง 220 ตัน เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทำให้ยอดซื้อสุทธิตลอด 9 เดือนแรกของปี 2025 สูงถึง 634 ตัน

WGC คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2025 ยอดซื้อของธนาคารกลางจะอยู่ในช่วง 750 ถึง 900 ตัน โดยแรงจูงใจสำคัญคือการเดิมพันว่าทองคำคือเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่ดีที่สุดในภาวะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีความเปราะบาง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์สูง แรงกดดันเงินเฟ้อที่ฝังแน่น และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก

ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยและกองทุนต่างๆ กำลังเฝ้าดูท่าทีของ Powell แบบวันต่อวัน แต่กลุ่มผู้ซื้อรายใหญ่อย่างธนาคารกลางกำลังเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง แม้ในยามที่ราคาทองคำอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก็ตาม นี่คือแรงพยุงที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ราคาทองคำยังคงยืนหยัดอยู่ได้

บทสรุปและแนวโน้ม เมื่อยุคราคาพุ่ง 50% จบสิ้น

เมื่อมองไปข้างหน้า นักวิเคราะห์จากธนาคารโลก (World Bank) ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยยืนยันว่ายุคแห่งการเก็งกำไรอย่างร้อนแรงอาจจบลงแล้ว

ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า แม้ราคาทองคำจะยังคงอยู่ในระดับสูง แต่การพุ่งขึ้นที่ร้อนแรงถึง 50% ในปี 2025 นั้น กำลังจะสิ้นสุดลง โดยคาดว่าในปี 2026 ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นเพียง 5% โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3,575 ดอลลาร์ และอาจปรับตัวลดลงเล็กน้อยในปี 2027 สู่ระดับเฉลี่ย 3,375 ดอลลาร์

สิ่งที่น่าสนใจคือ ธนาคารโลกได้เปรียบเทียบการขึ้นครั้งประวัติศาสตร์ในรอบนี้กับวิกฤตในปี 1979-1980 โดยชี้ว่ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

ในอดีต ปัจจัยขับเคลื่อนหลักคือเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในสหรัฐฯ วิกฤตน้ำมัน และดอลลาร์ที่อ่อนค่า แต่ในรอบปัจจุบัน แม้จะมีปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินเหมือนกัน แต่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและพลังงานกลับรุนแรงน้อยกว่า

แต่จุดเด่นที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงของรอบนี้คือ อัตราการเข้าซื้อของธนาคารกลางที่รวดเร็วอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

ดังนั้น สำหรับนักลงทุนและนักเทรดในวันนี้ นี่คือบทสรุปที่ชัดเจน ตลาดกำลังติดอยู่ตรงกลางระหว่างสองแรงผลักดัน แรงกดดันระยะสั้นจากท่าทีที่แข็งกร้าวของ Jerome Powell ที่ทำให้การเก็งกำไรชะงัก และแรงสนับสนุนระยะกลางจากธนาคารกลางทั่วโลกที่สร้างฐานราคาที่สูงมากให้กับตลาด

กลยุทธ์ที่เหมาะสมจึงไม่ใช่การไล่ราคา แต่เป็นการรอจังหวะที่ชัดเจน ยุคทำกำไรง่ายๆ จากการแรลลี่ที่ร้อนแรงอาจจบลงแล้ว แต่ยุคของราคาทองคำที่ยืนอยู่ในระดับสูงยังคงดำเนินต่อไป

จากภาพกราฟทางเทคนิคในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง ราคาทองคำแสดงให้เห็นถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่งกว่าคาด โดยสามารถรักษาฐานเหนือแนวรับสำคัญบริเวณ 3,950 ดอลลาร์ไว้ได้ จนสามารถทะลุผ่านแนวต้านจิตวิทยาที่ 4,000 ดอลลาร์ และยืนเหนือกลุ่มเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น (เส้นสีแดงและสีฟ้า) ได้สำเร็จ

ปัจจุบันราคาเคลื่อนไหวอยู่ที่ 4,019 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณบวกในระยะสั้น และเป็นการเปลี่ยนแนวโน้มกลับมาเป็นขาขึ้นเพื่อลุ้นทดสอบแนวต้านถัดไปในโซน 4,057 ดอลลาร์ การฟื้นตัวนี้ยังได้รับการยืนยันจากดัชนี RSI ที่สามารถทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 50 ขึ้นมาได้สำเร็จ สะท้อนว่าโมเมนตัมฝั่งซื้อได้กลับเข้ามาควบคุมตลาดแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมราคาจะดูดีขึ้น แต่ประเด็นสำคัญที่สุดที่นักเทรดและนักลงทุนต้องจับตาอย่างใกล้ชิดในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า คือสัญญาณเตือนจาก Stochastic RSI (วงกลมสีส้ม) 

จะเห็นได้ว่า Stochastic RSI ได้พุ่งขึ้นไปจนถึงเขต Overbought (ภาวะซื้อมากเกินไป) ที่ระดับสูงกว่า 80 และที่สำคัญที่สุดคือ อินดิเคเตอร์ได้เริ่มสร้างสัญญาณ Bearish Crossover (สัญญาณขายระยะสั้น)

นี่คือสัญญาณคลาสสิกที่บ่งชี้ว่าโมเมนตัมการดีดตัวขึ้นในรอบนี้เริ่มหมดแรง หรือ อ่อนกำลังลงแล้ว และมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดการย่อตัว (Pullback) หรือการพักฐาน (Consolidation) เพื่อสะสมกำลังใหม่

ดังนั้น ภาพทางเทคนิคในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้าจึงค่อนข้างซับซ้อน แม้ราคาจะสร้างฐานและดีดตัวขึ้นมาได้ แต่สัญญาณ Overbought ที่เกิดขึ้นพร้อมกับ Bearish Crossover กำลังเตือนให้ระมัดระวังการไล่ราคาบริเวณนี้เป็นอย่างยิ่ง

เราจึงประเมินว่า ราคาทองคำอาจพยายามขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 4,057 ดอลลาร์ แต่มีโอกาสสูงที่จะยังไม่สามารถผ่านไปได้ในทันที และจะถูกแรงขายทำกำไรกดดันให้ย่อตัวกลับลงมาทดสอบแนวรับที่เพิ่งทะลุผ่านมาอีกครั้ง

โดยมีแนวรับแรกอยู่ที่โซน 4,000-4,010 ดอลลาร์ และหากรับไม่อยู่ แนวรับสำคัญถัดไปที่จะเป็นจุดพิจารณาเข้าซื้อที่ปลอดภัยกว่า คือบริเวณเส้น EMA 200 (เส้นสีส้ม) ที่ราว 3,950 ดอลลาร์

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $4,000

• $3,950

• $3,903

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $4,057

• $4,087

• $4,135