ทองแดงคืออะไร? คู่มือการลงทุนทองแดงแบบครบถ้วน ฉบับมือใหม่

ในโลกของการลงทุน เมื่อพูดถึงโลหะ คนส่วนใหญ่มักนึกถึง ทองคำ หรือแร่เงิน แต่มีโลหะชนิดหนึ่งที่สถาบันการเงินทั่วโลกกำลังจับตามอง นั้นคือ ทองแดง (Copper)

คำถามคือในปัจจุบัน การเทรดทองแดงยังคงน่าสนใจอยู่หรือไม่? และสำหรับมือใหม่ที่สนใจ ควรจะเริ่มอย่างไร? บทความนี้ จะตอบคำถามเหล่านี้ให้กับคุณ

ทองแดง ไม่ใช่แค่โลหะ แต่คือตัวชี้วัดของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ หากทองคำคือสินทรัพย์ปลอดภัยที่คนซื้อเมื่อเกิดความกลัว ทองแดงก็คือ “สินทรัพย์แห่งการเติบโต” ที่คนซื้อเมื่อโลกกำลังก้าวไปข้างหน้า

ในแวดวงการเงิน ทองแดง มักถูกใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์สุขภาพเศรษฐกิจโลก เพราะราคาทองแดงที่สูงขึ้น มักสะท้อนว่าภาคการผลิต การก่อสร้าง และอุตสาหกรรมทั่วโลกกำลังขยายตัวอย่างร้อนแรง

ในทางกลับกัน หากราคาทองแดงเริ่มลดลง มันคือสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าเศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

แต่สิ่งที่ทำให้ทองแดงในปี 2025 แตกต่างออกไป ไม่ใช่แค่การเติบโตของเศรษฐกิจแบบเดิมๆ แต่เป็น 2 เมกะเทรนด์ที่กำลังเปลี่ยนโลก

1.การปฏิวัติพลังงานสีเขียว (Green Energy Revolution)

• ยานยนต์ไฟฟ้า (EV): รถยนต์ EV หนึ่งคัน ใช้ทองแดงมากกว่ารถยนต์ทั่วไปถึง 3-4 เท่า ไม่ใช่แค่ในแบตเตอรี่ แต่รวมถึงมอเตอร์ สายไฟ และระบบส่งกำลังทั้งหมด

• พลังงานหมุนเวียน (Renewables): กังหันลม และแผงโซลาร์เซลล์ คือธุรกิจที่ต้องการทองแดงอย่างมาก กังหันลมนอกชายฝั่งหนึ่งตัว อาจต้องใช้ ทองแดง หลายสิบตันเพื่อส่งพลังงานกลับเข้าฝั่ง

• โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grids): เพื่อรองรับพลังงานสะอาดเหล่านี้ โลกจำเป็นต้องอัปเกรดสายส่งไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้ทองแดงมหาศาล

2.การเติบโตของ AI และ Data Centers: การประมวลผลข้อมูล AI ต้องการพลังงานไฟฟ้ามหาศาล และศูนย์ข้อมูล (Data Centers) ที่เป็นสมองของ AI ก็ต้องการทองแดงจำนวนมากเพื่อใช้ในระบบระบายความร้อน บัสบาร์ (Busbars) และสายส่งกำลังไฟฟ้าแรงสูง

พูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็น “ความจำเป็น” ซึ่งหมายความว่า โลกต้องการทองแดงอีกมหาศาลในอีก 20-30 ปีข้างหน้า นี่คือปัจจัยพื้นฐานระยะยาวที่แข็งแกร่งที่สุดของทองแดงในปัจจุบัน

กราฟแสดงราคา Copper วันนี้

เทรด Copper เดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣  *เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

นักลงทุนจำนวนมากมักสับสนระหว่างโลหะ 3 ชนิดนี้ แม้จะเป็น "โลหะ" เหมือนกัน แต่ปัจจัยขับเคลื่อนราคาและบทบาทในพอร์ตการลงทุนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

จากตารางจะเห็นได้ชัดเจนว่า การซื้อ ทองคำ เปรียบเหมือนการซื้อเกราะป้องกัน หรือกรมธรรม์ประกันภัยให้กับพอร์ตการลงทุนของคุณ คุณซื้อมันเพราะกลัวว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้น

ในทางกลับกัน การลงทุนใน ทองแดง เปรียบเหมือนการซื้ออาวุธ คุณกำลังเดิมพันว่าเศรษฐกิจโลก เทคโนโลยี และนวัตกรรมกำลังจะเติบโตไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด

ส่วน แร่เงิน นั้นอยู่กึ่งกลาง มันมีความเป็น Safe Haven เหมือนทองคำ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความต้องการในภาคอุตสาหกรรม (โดยเฉพาะแผงโซลาร์เซลล์) ทำให้มันเป็นสินทรัพย์ที่ผันผวนและคาดเดายากที่สุดในกลุ่ม

อะไรน่าลงทุนกว่ากัน? คำตอบมันขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณ

• หากคุณกังวลเรื่องเงินเฟ้อและสงคราม ทองคำ คือคำตอบ

• หากคุณเชื่อมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว ทองแดง คือสินทรัพย์ที่คุณต้องมี

• หากคุณรับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรจากความผันผวน แร่เงิน อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

สำหรับนักลงทุนยุคใหม่ การมีทองแดง ในพอร์ตโฟลิโอจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเพื่อเกาะกระแสการเติบโตแห่งอนาคต

ราคาทองแดงไม่ได้เคลื่อนไหวแบบไร้ทิศทาง มันถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยด้านอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ที่ชัดเจน ซึ่งในปี 2025 นี้ ปัจจัยทั้งสองฝั่งกำลังส่งสัญญาณ ขาขึ้น อย่างรุนแรง

ฝั่งอุปสงค์ (Demand)

เทรนด์พลังงานสะอาดและ AI

• การประชุม COP28 มีการตกลงที่จะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน 3 เท่าภายในปี 2030 ซึ่ง Citibank ประเมินว่าเป้าหมายนี้เพียงอย่างเดียว จะสร้างอุปสงค์ทองแดงเพิ่มขึ้นถึง 4.2 ล้านตันภายในปี 2030

• S&P Global คาดการณ์ว่าความต้องการทองแดงจากเทคโนโลยีพลังงานสะอาดจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2035

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน (China's Rebound)

• จีนคือผู้บริโภคทองแดงรายใหญ่ที่สุดในโลก (กว่า 50% ของทั้งโลก) ดังนั้น ตัวเลขเศรษฐกิจของจีนจึงมีผลต่อราคาโดยตรง

• แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะชะลอตัว แต่รัฐบาลจีนกำลังอัดฉีดงบประมาณมหาศาลเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ เช่น EV แบตเตอรี่ และโครงข่ายไฟฟ้า ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ ทองแดงเป็นหลัก หากตัวเลข PMI ภาคการผลิตของจีนออกมาดีกว่าคาด มันจะส่งผลบวกต่อราคาทองแดงทันที

นโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)

การลดดอกเบี้ยของ Fed จะส่งผล 2 ต่อ

• ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า: ทองแดงซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์ (USD) เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า มันจะถูกลงสำหรับประเทศอื่นที่ถือสกุลเงินต่างกัน (เช่น ไทย) ทำให้ความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น

• กระตุ้นเศรษฐกิจ: ดอกเบี้ยที่ถูกลงหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำลง ภาคอุตสาหกรรมและก่อสร้างจะขยายการลงทุน ซึ่งหมายถึงการใช้ทองแดงที่มากขึ้น

ฝั่งอุปทาน (Supply)

ไพ่เด็ดที่ทำให้นักวิเคราะห์ตื่นเต้นกับทองแดงมากที่สุด ในขณะที่ความต้องการกำลังพุ่งสูง แต่อุปทานหรือปริมาณทองแดงที่ขุดได้กลับกำลังตึงตัวอย่างหนัก

การหยุดชะงักของเหมืองขนาดใหญ่

• เหมือง Cobre Panamá (ปานามา): หนึ่งในเหมืองทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถูกรัฐบาลสั่งปิดกะทันหันเมื่อปลายปี 2023 จากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม การหายไปของอุปทานมหาศาลนี้ (คิดเป็นประมาณ 1.5% ของอุปทานโลก) ยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน

• ปัญหาในชิลีและเปรู: ชิลีคือผู้ผลิตทองแดงอันดับ 1 ของโลก และเปรูคืออันดับ 2 ทั้งสองประเทศกำลังเผชิญกับความท้าทาย ทั้งการประท้วงของแรงงาน ความไม่แน่นอนทางการเมือง และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น

• คุณภาพแร่ที่ลดลง: เหมืองเก่าแก่หลายแห่งกำลังประสบปัญหาคุณภาพแร่ลดลง (Declining Ore Grades) หมายความว่า ต้องขุดหินในปริมาณที่มากขึ้นมหาศาลเพื่อให้ได้ทองแดงในปริมาณเท่าเดิม ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

การขาดแคลนการลงทุนในเหมืองใหม่

• การจะเปิดเหมืองทองแดงใหม่หนึ่งแห่ง ต้องใช้เวลาสำรวจ ขอใบอนุญาต และก่อสร้างนานถึง 10-15 ปี ตลอดหลายปีที่ผ่านมาราคาทองแดงไม่ได้สูงพอที่จะจูงใจให้เกิดการลงทุนขนาดใหญ่

• ผลลัพธ์คือ ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โลกจะไม่มีเหมืองใหม่ขนาดใหญ่เข้ามาเติมอุปทานได้ทันกับความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น

บทสรุปจากสถาบันการเงิน

สถานการณ์ “อุปสงค์ล้น อุปทานตึง” นี้ กำลังส่งผลกระทบต่อราคาอย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้แต่แรก สะท้อนจากราคาทองแดง ในตลาด XCU/USD ณ ปัจจุบันที่ได้พุ่งทะยานขึ้นมายืนเหนือระดับ $5.1 อย่างแข็งแกร่ง

ขณะนี้ ตลาดกำลังจับตามองไปยังเป้าหมายที่ท้าทายยิ่งขึ้น อย่าง GOV Capital คาดการณ์ราคาทองแดงไปที่ $5.961 ในอีก 1 ปีข้างหน้า และคาดการณ์ราคาที่ $7.633 ในอีก 5 ปี ขณะที่ J.P. Morgan และ Goldman Sach ก็กำลังปรับคาดการณ์ราคาทองแดงใหม่เช่นกัน

นี่คือปัจจัยที่ส่งผลดีสำหรับราคาทองแดง และเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนที่มองเห็นก่อนใคร

เมื่อเห็นภาพใหญ่แล้ว คำถามต่อมาคือ แล้วจะลงทุนได้อย่างไร? สำหรับนักลงทุนไทย มีหลายช่องทางในการเข้าถึงตลาดทองแดง โดยแต่ละแบบก็มีจุดเด่น-จุดด้อย และความเสี่ยงที่แตกต่างกัน

เลือกรูปแบบการลงทุนทองแดง

1.หุ้นเหมืองทองแดง (Copper Mining Stocks)

นี่คือการซื้อหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจเหมืองแร่ ทองแดง โดยตรง เช่น Freeport-McMoRan (FCX), BHP Group (BHP) หรือ Anglo American

• จุดเด่น: คุณจะได้รับ Leverage จากราคาทองแดง หากราคาทองแดง (XCU/USD) ขึ้น 10% ราคาหุ้นเหมืองอาจพุ่งขึ้น 20-30% เพราะกำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

• จุดด้อย: คุณไม่ได้ลงทุนในทองแดงโดยตรง แต่ลงทุนในบริษัท ซึ่งมีความเสี่ยงเฉพาะตัว เช่น การบริหารงานที่ผิดพลาด หนี้สินของบริษัท หรือภัยพิบัติในเหมือง (เช่น เหมือง Grasberg ของ FCX ที่อินโดนีเซียเกิดดินถล่มเมื่อ ก.ย. 2025)

2.กองทุน ETF ทองแดง (Copper ETF)

กองทุนรวมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ ทองแดง มี 2 ประเภทหลัก

• ETF ที่ลงทุนในหุ้นเหมือง: เช่น Global X Copper Miners ETF (COPX) ซึ่งจะกระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้นเหมืองหลายๆ บริษัท

• ETF ที่ลงทุนในสัญญา Futures: เช่น United States Copper Index Fund (CPER) ซึ่งจะพยายามเคลื่อนไหวเลียนแบบราคาทองแดงในตลาดโลก

• จุดเด่น: กระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการซื้อหุ้นตัวเดียว และซื้อง่ายผ่านโบรกเกอร์หุ้นต่างประเทศ

• จุดด้อย: มีค่าธรรมเนียมการจัดการและสำหรับ ETF แบบ Futures อาจมีความคลาดเคลื่อนของราคา

3.สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures)

นี่คือการซื้อขายสัญญาที่ตกลงราคาทองแดงกันในวันนี้ แต่ส่งมอบของกันในอนาคต ซื้อขายในตลาดหลักๆ เช่น COMEX หรือ LME

• จุดเด่น: เป็นการลงทุนในราคาทองแดงโดยตรงที่สุด ไม่มีค่าธรรมเนียมแฝง

• จุดด้อย: ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูงมาก มีวันหมดอายุของสัญญาที่ต้องคอย Rollover และมีความเสี่ยงถูก Margin Call สูงมาก

4.CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) - ทางเลือกยอดนิยมสำหรับการเทรดทองแดง

CFD (Contract for Difference) คือการทำสัญญาเก็งกำไรส่วนต่างของราคา ทองแดง (มักอ้างอิงราคาจากตลาด Futures เช่น XCU/USD) โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของทองแดงจริงๆ

• จุดเด่น: ความคล่องตัวสูงสุด คุณสามารถเทรดทองแดงได้ทั้งขาขึ้น และขาลง รวมถึงมี Leverage ที่ให้คุณวางเงินประกันเพียงเล็กน้อย (Margin) เพื่อควบคุมสัญญาที่มีมูลค่าสูงได้ ทำให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงตลาด ทองแดง ได้ด้วยเงินทุนเริ่มต้นที่ไม่สูง และสามารถถือสถานะ CFD ได้นานเท่าที่ต้องการ (แต่อาจมีค่าธรรมเนียม Swap หากถือข้ามคืน)

• จุดด้อย: Leverage เป็นดาบสองคม หากทายผิดทางก็อาจขาดทุนได้เร็วเช่นกัน จึงจำเป็นต้องมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี

การเลือกโบรกเกอร์

ไม่ว่าคุณจะเลือกรูปแบบไหน การเลือกโบรกเกอร์คือสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณสนใจการเทรดทองแดงผ่าน CFD ซึ่งโบรกเกอร์คือคู่สัญญาของคุณโดยตรง

สำหรับนักลงทุนไทยที่มองหาความคล่องตัวในการเก็งกำไรระยะสั้นถึงกลาง การ เทรดทองแดง ผ่าน CFD กับโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ ใช้งานง่าย รวมถึงมีเครื่องมือบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งที่สำคัญ

ตัวอย่าง Mitrade ถือเป็นทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยม ทั้งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เข้มงวด แพลตฟอร์มออกแบบมาให้ใช้งานง่าย แม้จะเป็นมือใหม่ก็สามารถเรียนรู้การส่งคำสั่งซื้อ/ขาย การตั้ง Stop Loss หรือการวิเคราะห์กราฟได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงมีข้อมูลเป็นภาษาไทย ทำให้นักลงทุนชาวไทยเข้าใจง่าย

💸 ห้ามพลาด!!! 💸

แจกโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์! 🎁🎁🎁

ค่าคอมฯ 0 สเปรดต่ำ! เงินฝากขั้นต่ำ $50 🤑

ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรี 💰

เทรดเดี๋ยวนี้ >

การลงทุนมีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน

กลยุทธ์การซื้อขายทองแดง

การมีบัญชีเทรดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น การทำกำไรที่ยั่งยืนต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ดี ทองแดงเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีลักษณะเฉพาะตัว การเทรดจึงต้องผสมผสานหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน

การเทรดด้วยปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Trading)

นี่คือการเทรดตาม ข่าว และข้อมูล ที่เราได้วิเคราะห์ไปในหัวข้อที่ 3 กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับการถือสถานะระยะกลาง (หลายวันถึงหลายสัปดาห์)

ตัวอย่างการเทรด:

• สัญญาณ Long (ซื้อ): เช่นถ้ามีข่าวเหมืองขนาดใหญ่หยุดงานประท้วง (Supply ลด) + ตัวเลข PMI ภาคการผลิตของจีนออกมาดีกว่าคาด (Demand เพิ่ม) นี่คือสัญญาณซื้อ XCU/USD ที่แข็งแกร่งมาก

• สัญญาณ Short (ขาย): เมื่อมีข่าว Fed ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยแรงกว่าคาด (ดอลลาร์แข็ง, เศรษฐกิจชะลอ) + สต็อกทองแดง LME เพิ่มขึ้น (อุปทานล้น) นี่คือสัญญาณขาย XCU/USD

  
  

การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

เนื่องจากทองแดง ถูกขับเคลื่อนด้วยวัฏจักรเศรษฐกิจ มันจึงมักเคลื่อนไหวเป็น แนวโน้ม (Trend) ที่ชัดเจน ทำให้การวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ได้ผลดี

• เส้นค่าเฉลี่ย (Exponential Moving Average - EMA): เทรดเดอร์นิยมใช้เส้น EMA 12 วัน และ 26 วัน เพื่อดูแนวโน้มระยะสั้นถึงยาว หากราคาอยู่เหนือเส้น EMA ทั้งสองเส้น ถือเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ที่ชัดเจน

• แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance): ราคาทองแดงมักจะเคารพแนวราคาทางจิตวิทยา (เช่น $4.00, $4.50, $5.00) หรือจุดสูงสุด/ต่ำสุดเดิม การเทรดแบบ Breakout (เมื่อราคาทะลุแนวต้าน) หรือ Reversal (เมื่อราคาเด้งจากแนวรับ) จึงได้รับความนิยม

• RSI (Relative Strength Index): ใช้ดูภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายน้อยเกินไป (Oversold) ในระยะสั้น

  
  

การเทรดตามฤดูกาล (Seasonality)

ทองแดงมีแนวโน้มที่จะแข็งแกร่งในช่วงไตรมาสที่ 1 (มกราคม - มีนาคม) ของทุกปี เนื่องจากเป็นช่วงที่โรงงานในจีนกลับมาเปิดทำการหลังวันหยุดยาวตรุษจีน และเริ่มเร่งการผลิตเพื่อสต็อกวัตถุดิบรับคำสั่งซื้อทั้งปี เทรดเดอร์บางส่วนจึงมองหาโอกาส “ซื้อ” ในช่วงปลายปี และ “ขายทำกำไร” ในช่วง Q1

การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) - สิ่งที่สำคัญที่สุด

ไม่ว่าคุณจะมั่นใจในทิศทางของทองแดงแค่ไหนก็ “ห้าม Overtrade”

• ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง: ก่อนเปิดออเดอร์ คุณต้องรู้ก่อนว่าจะหนีตรงไหนหากผิดทาง การเทรดทองแดงด้วย CFD มี Leverage ถ้าไม่ตั้ง Stop Loss คือหายนะ

• กำหนดขนาดสถานะ (Position Sizing): อย่าทุ่มเงินทั้งหมดในไม้เดียว ควรกระจายความเสี่ยงและกำหนดว่าการขาดทุนในแต่ละไม้ต้องไม่เกิน 1-2% ของพอร์ตทั้งหมด

ทองแดง กำลังเปลี่ยนสถานะจากโลหะอุตสาหกรรม ไปสู่สินทรัพย์แห่งอนาคต สถานการณ์อุปสงค์พุ่ง - อุปทานตึงนี้ มีโอกาสผลักดันให้ราคาทองแดงพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับนักลงทุน นี่คือโอกาสครั้งใหญ่ในการกระจายความเสี่ยงและเกาะกระแสการเติบโตของโลก ไม่ว่าคุณจะมองทองแดงเป็นการลงทุนระยะยาวผ่าน ETF หรือการเก็งกำไรระยะสั้นจากการเทรดทองแดงผ่าน CFD การเริ่มต้นทำความเข้าใจและเข้าสู่ตลาดในวันนี้ คือก้าวแรกสู่การคว้าโอกาสนั้น