ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) ของสหรัฐฯ ดิ้นรนพยายามที่จะใช้อานิสงส์ของการเคลื่อนไหวเชิงบวกที่แข็งแกร่งของวันก่อน และแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ ๆ ที่บริเวณระดับ 75.00 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงเซสชั่นเอเชียของวันศุกร์
ตลาดยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นจากอิสราเอลต่อโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตน้ำมันของอิหร่าน ซึ่งทําให้ค่าพรีเมี่ยมความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงมีบทบาทและทําหน้าที่เป็นแรงหนุนแก่ราคาน้ำมัน ในความเป็นจริงแล้ว Yoav Gallant รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอิสราเอลได้ให้คํามั่นเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่าการทำการโจมตีอิหร่านใด ๆ จะ "ร้ายแรง แม่นยํา และไม่มีใครคาดคิด" นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของอุปทานที่เกิดจากพายุเฮอริเคนมิลตันในสหรัฐอเมริกา (US) เมื่อควบคู่ไปกับแนวโน้มของอุปสงค์ที่สดใส ก็จะยังช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบมากขึ้น
นักลงทุนเริ่มหันมามองโลกในแง่ดีมากขึ้นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของจีนจะกระตุ้นการฟื้นตัวที่ยั่งยืนในฐานเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และเพิ่มความต้องการเชื้อเพลิงในประเทศผู้นําเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก นอกจากนี้ ตลาดดูเหมือนจะมั่นใจว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเพิ่มความต้องการน้ำมัน ถึงกระนั้น ข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ทําให้เกิดความไม่มั่นใจว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงมากน้อยเพียงใดในระหว่าง 1-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม โดยได้รับแรงหนุนจากโอกาสที่ลดลงในการผ่อนคลายนโยบายของเฟดในเชิงรุกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังคงอยู่ในเส้นทางที่จะปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน อย่างไรก็ดี การย่อตัวลงอย่างรวดเร็วจากบริเวณระดับ $78.00 หรือระดับสูงสุดในรอบเกือบสองเดือนที่ไปแตะมาเมื่อวันอังคาร ควรเตือนให้นักลงทุนมีความระมัดระวังก่อนที่จะวางออเดอร์เก็งการฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดของปีนี้จนถึงตอนนี้ (YTD) ที่ลงไปแตะในเดือนกันยายน
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 13 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย