Dax 30 Index คืออะไร? เจาะลึกกลยุทธ์ลงทุน DAX Index สำหรับนักลงทุนไทย

อัพเดทครั้งล่าสุด
coverImg
แหล่งที่มา: DepositPhotos

สำหรับนักลงทุนไทยที่มองหาโอกาสการลงทุนในตลาดยุโรป ความเข้าใจแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะดัชนีของประเทศเยอรมนีอย่าง DAX Index หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อว่า “DAX 30” ได้เปลี่ยนเป็น “DAX40” แล้ว


และวันนี้ เราจะมาดูกันว่านักลงทุนอย่างเราจะสามารถทำกำไรจากดัชนี DAX Index กันได้อย่างไรบ้าง

Dax 30 Index คืออะไร?

ภาพรวม DAX Index

ที่มา: stoxx.com


ดัชนี DAX (Deutscher Aktienindex) ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1988 โดยตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt Stock Exchange) ซึ่งบริหารงานโดย Deutsche Börse Group


ในช่วงเวลานั้น โลกการเงินกำลังต้องการตัวชี้วัดที่เป็นมาตรฐานสากลสำหรับเศรษฐกิจเยอรมัน เพื่อแข่งขันกับดัชนี FTSE 100 ของลอนดอน และ Dow Jones Industrial Average ของนิวยอร์ก ดัชนีเริ่มต้นที่ฐาน 1,000 จุด และได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นตัวแทนของบริษัท “บลูชิพ” (Blue Chip) ที่แข็งแกร่งที่สุดในเยอรมนี


ตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษ DAX ประกอบด้วยบริษัทชั้นนำ 30 แห่ง (DAX 30) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่เป็นรากฐานของเศรษฐกิจของเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ (BMW, Daimler, Volkswagen) เคมีภัณฑ์ (BASF, Bayer) และวิศวกรรม (Siemens)


โครงสร้างนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของภาคการผลิต (Manufacturing) ที่ขับเคลื่อนการส่งออกของประเทศ


การปฏิรูปสู่ DAX 40

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของดัชนีเกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ Wirecard Scandal ในปี 2020


บริษัท Wirecard ซึ่งเป็นบริษัท Fintech ดาวรุ่งและเป็นสมาชิกของ DAX 30 ได้ถูกเปิดโปงเรื่องการตกแต่งบัญชีครั้งมโหฬาร ส่งผลให้บริษัทล้มละลายและสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกที่มีต่อมาตรฐานธรรมาภิบาลของตลาดทุนเยอรมัน


เพื่อกอบกู้ศรัทธาและปรับปรุงดัชนีให้ทันสมัย Deutsche Börse จึงได้ประกาศการปฏิรูปครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งดัชนี


โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2021 ดัชนี DAX ได้ขยายจำนวนสมาชิกจาก 30 บริษัท เป็น 40 บริษัท (DAX 40) การขยายตัวนี้มีนัยสำคัญเชิงกลยุทธ์หลายอย่าง


  • การกระจายความเสี่ยง: การเพิ่มจำนวนบริษัทช่วยลดน้ำหนักของกลุ่มยานยนต์และเคมีภัณฑ์ที่เคยครองตลาด และเปิดทางให้กลุ่มธุรกิจใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีสุขภาพ (Healthineers), อีคอมเมิร์ซ (Zalando) และเทคโนโลยีชีวภาพ (Qiagen) เข้ามามีบทบาทมากขึ้น

  • การสะท้อนภาพเศรษฐกิจจริง: เศรษฐกิจเยอรมันในปี 2026 ไม่ได้พึ่งพาแค่โรงงานผลิตรถยนต์อีกต่อไป แต่ยังขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ (SAP) และพลังงานสะอาด (Siemens Energy)

  • ความเสถียร: การมีจำนวนบริษัทมากขึ้นช่วยลดความผันผวนของดัชนีเมื่อบริษัทใดบริษัทหนึ่งประสบปัญหาเฉพาะตัว


หลักเกณฑ์คัดเลือกหุ้นใน DAX

สำหรับนักลงทุนที่มอง DAX สิ่งที่ต้องตระหนักคือ “คุณภาพ” ของบริษัทในดัชนีที่ถูกคัดกรองอย่างเข้มงวดกว่าในอดีตมาก กฎเกณฑ์ใหม่ที่บังคับใช้เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย Wirecard ประกอบด้วย


  1. ตลาด Prime Standard: บริษัทต้องจดทะเบียนในตลาด Prime Standard ของ FWB ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีข้อกำหนดเรื่องความโปร่งใสสูงสุด


  2. ความสามารถในการทำกำไร (Profitability): นี่คือกฎเหล็กใหม่ บริษัทที่จะได้รับการคัดเลือกเข้าดัชนีเป็นครั้งแรก จะต้องมีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) เป็นบวกติดต่อกันอย่างน้อย 2 ปีงบประมาณล่าสุด กฎนี้ถูกออกแบบมาเพื่อกันบริษัทที่มีแต่สตอรี่แต่ไม่มีผลกำไรจริงออกจากดัชนีหลัก


  3. Free Float Market Capitalization: การจัดอันดับใช้มูลค่าตามราคาตลาดที่ปรับด้วยสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) เท่านั้น ไม่ใช่มูลค่าตลาดรวม สิ่งนี้สำคัญมากสำหรับนักลงทุน เพราะมันสะท้อนถึงสภาพคล่องที่แท้จริงที่สามารถซื้อขายได้ในตลาด


  4. การรายงานงบการเงินและการตรวจสอบ: บริษัทใน DAX 40 ต้องมีคณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) ตามมาตรฐาน และต้องส่งงบการเงินรายไตรมาสและงบประจำปีอย่างตรงเวลา หากล่าช้าเกินกำหนด (เช่น เกิน 30 วันหลังจากเส้นตาย) จะมีมาตรการ “Fast Exit” หรือถอดออกจากดัชนีทันที


  5. สภาพคล่อง (Liquidity): ต้องมีปริมาณการซื้อขายหมุนเวียนขั้นต่ำตามเกณฑ์ เพื่อให้มั่นใจว่านักลงทุนสถาบันและรายย่อยสามารถเข้าออกสถานะได้โดยไม่กระทบราคาตลาดอย่างรุนแรง


เปรียบเทียบเกณฑ์คัดเลือก DAX 30 vs DAX 40

หัวข้อเปรียบเทียบDAX 30DAX 40
จำนวนบริษัท30 บริษัท40 บริษัท
เกณฑ์หลักมูลค่าตลาด และปริมาณการซื้อขายมูลค่าตลาด (Free Float) เป็นหลัก
เกณฑ์กำไรไม่บังคับเข้มงวดต้องมี EBITDA เป็นบวก 2 ปีติด (สมาชิกใหม่)
การตรวจสอบบัญชีมาตรฐานทั่วไปต้องมี Audit Committee และส่งงบตรงเวลา
Capping Limit10%15%
รอบการทบทวนปีละ 1 ครั้ง (ก.ย.)ทุกไตรมาส (มี.ค., มิ.ย., ก.ย., ธ.ค.)

รายชื่อหุ้นและกลุ่มอุตสาหกรรม

ในปัจจุบัน โครงสร้างของ DAX 40 ได้วิวัฒนาการไปไกลกว่าภาพจำเดิมๆ แม้ว่าเยอรมนีจะยังคงเป็นมหาอำนาจด้านยานยนต์ แต่สัดส่วนน้ำหนักในดัชนีได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญเพื่อตอบรับกระแสเทคโนโลยีและความยั่งยืน


การกระจายตัวของ DAX Index

 ที่มา: stoxx.com


กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก

จากการวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุด น้ำหนักของกลุ่มอุตสาหกรรมใน DAX 40 มีการกระจายตัวที่น่าสนใจดังนี้

  • Industrial Goods & Services ( ประมาณ 23-25% ): ยังคงเป็นกระดูกสันหลังของดัชนี นำโดย Siemens และ Airbus กลุ่มนี้สะท้อนความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมขั้นสูงของเยอรมัน

  • Technology ( ประมาณ 16-18% ): นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด SAP เพียงบริษัทเดียวมีน้ำหนักมหาศาล และเมื่อรวมกับ Infineon ทำให้กลุ่มเทคโนโลยีกลายเป็นเสาหลักที่สองที่สำคัญกว่ายานยนต์ในแง่ของ Market Cap

  • Insurance ( ประมาณ 13-14% ): นำโดย Allianz และ Munich Re เป็นกลุ่มที่ให้เสถียรภาพและผลตอบแทนจากปันผล (Yield Play)

  • Automobiles & Parts ( ประมาณ 7-10% ): แม้จะมีบริษัทชื่อดังอย่าง Mercedes-Benz, BMW, VW, Porsche และ Daimler Truck แต่น้ำหนักรวมกลับลดลงเนื่องจากความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และการแข่งขันที่รุนแรงจากจีน

  • Health Care & Chemicals: Bayer, Merck, Fresenius ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญ แต่เผชิญความท้าทายเฉพาะตัว เช่น คดีความทางกฎหมายของ Bayer


เจาะลึก 5 บริษัทใหญ่ ที่กุมชะตา DAX

การเคลื่อนไหวของ DAX 40 ถูกกำหนดทิศทางโดยบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเหล่านี้ หากคุณเทรด DAX คุณจำเป็นต้องติดตามข่าวสารของบริษัทเหล่านี้อย่างใกล้ชิด


1.SAP SE (ตัวย่อ: SAP)

  • อุตสาหกรรม: Technology / Software

  • บทบาท: SAP คือบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในเยอรมนีและยุโรป เปรียบเสมือน “Microsoft แห่งยุโรป” ระบบซอฟต์แวร์ ERP ของ SAP เป็นระบบปฏิบัติการของธุรกิจทั่วโลก

  • ในปี 2026 SAP ได้รับประโยชน์มหาศาลจากการเปลี่ยนผ่านลูกค้าสู่ระบบ Cloud และการผนวก AI เข้ากับซอฟต์แวร์องค์กร (Business AI) การเติบโตของรายได้จาก Cloud เป็นตัวขับเคลื่อนราคาหุ้นหลัก และด้วย Capping Limit ที่ขยายเป็น 15% ทำให้ SAP มีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีมากที่สุด


2.Siemens AG (ตัวย่อ SIE)

  • อุตสาหกรรม: Industrial Engineering

  • บทบาท: ยักษ์ใหญ่ด้านวิศวกรรมที่ครอบคลุมตั้งแต่ระบบอัตโนมัติในโรงงาน (Digital Industries) ไปจนถึงรถไฟและการแพทย์ Siemens เป็นผู้นำของเทรนด์ “Industry 4.0”

  • Siemens ได้รับอานิสงส์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก และการสร้าง Data Center ที่ต้องการระบบจัดการพลังงานและระบบทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพ


3.Allianz SE (ตัวย่อ ALV)

  • อุตสาหกรรม: Insurance / Financial Services

  • บทบาท: หนึ่งในบริษัทประกันและบริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (เป็นเจ้าของ PIMCO) เป็นหุ้นที่มีงบดุลแข็งแกร่งและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ

  • ในภาวะที่ดอกเบี้ยเริ่มปรับลดลงสู่ระดับปกติ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ของ Allianz จะได้รับประโยชน์ ขณะที่ธุรกิจประกันภัยยังคงสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง เป็นหุ้น Defensive ที่ช่วยพยุงดัชนีในช่วงตลาดผันผวน


4.Airbus SE (ตัวย่อ AIR)

  • อุตสาหกรรม: Aerospace & Defense

  • บทบาท: แม้จะมีสำนักงานใหญ่ทางกฎหมายในเนเธอร์แลนด์ แต่ Airbus เป็นหัวใจของอุตสาหกรรมการบินยุโรปและมีฐานผลิตหลักในเยอรมนี เป็นคู่แข่งรายเดียวของ Boeing ในตลาดเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่

  • ด้วยปัญหาคุณภาพการผลิตของ Boeing ที่ยืดเยื้อ ทำให้ Airbus ครองส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น ยอดคำสั่งซื้อรอส่งมอบ (Backlog) ยาวนานไปหลายปี ทำให้รายได้มีความแน่นอนสูง


5.Siemens Energy AG (ตัวย่อ ENR)

  • อุตสาหกรรม: Energy Technology

  • บทบาท: แยกตัวออกมาจาก Siemens AG เพื่อโฟกัสธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะ ตั้งแต่กังหันก๊าซไปจนถึงกังหันลม (ผ่าน Siemens Gamesa)

  • หลังจากประสบปัญหาคุณภาพกังหันลมในช่วงปีก่อนหน้า ปี 2026 ถือเป็นปีแห่งการพลิกฟื้น (Turnaround) ที่สำคัญ ความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นจาก AI Data Center ทำให้ความต้องการกังหันก๊าซและระบบสายส่งไฟฟ้า (Grid Technologies) เติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้หุ้นตัวนี้เป็นหนึ่งใน Top Performer ของดัชนี


อีกหนึ่งบริษัทที่ไม่พูดถึงไม่ได้ในปี 2026 คือ Rheinmetall (RHIM) ผู้ผลิตอาวุธและยุทโธปกรณ์รายใหญ่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อและนโยบายของ NATO ที่กำหนดให้สมาชิกต้องใช้งบกลาโหม 2-3% ของ GDP ส่งผลให้ Rheinmetall มีคำสั่งซื้อเต็มมือและกลายเป็นหุ้น Growth Stock ที่สำคัญใน DAX index เช่นกัน

วิธีคำนวณ DAX Index: ความลับที่ทำให้ DAX “ดูดี” กว่าดัชนีอื่น

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดของนักลงทุนไทย คือการนำกราฟ DAX ไปเปรียบเทียบกับ SET Index หรือ Dow Jones โดยตรง ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะ DAX มีวิธีคำนวณที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากดัชนีส่วนใหญ่ในโลก


Performance Index vs. Price Index: พลังของดอกเบี้ยทบต้น

ดัชนีหุ้นส่วนใหญ่ในโลก (รวมถึง SET50, CAC 40 ของฝรั่งเศส, หรือ S&P 500 แบบปกติ) เป็น Price Index

  • Price Index: คำนวณจาก “ราคาหุ้น” ที่เปลี่ยนแปลงเท่านั้น เมื่อบริษัทจ่ายเงินปันผล ราคาหุ้นจะลดลง (Dilute) ในวันขึ้นเครื่องหมาย XD ทำให้ดัชนี Price Index ตกลงตามธรรมชาติ


แต่ DAX Index เป็น “Performance Index” (หรือ Total Return Index)

  • สูตรการคำนวณของ DAX จะสมมติว่า “เงินปันผลที่บริษัทจ่ายออกมา จะถูกนำกลับไปลงทุนซ้ำ (Reinvested) ในดัชนีทันที

  • สิ่งนี้ทำให้กราฟของ DAX ดูมีการเติบโตที่สูงกว่าและชันกว่าดัชนีอื่น ๆ ในระยะยาว เพราะมันรวมผลตอบแทนจากปันผลทบต้นเข้าไปด้วย

  • หากนักลงทุนดู DAX ในเวอร์ชัน Price Index (เรียกว่า DAXK หรือ DAX Kursindex) ค่าดัชนีจะต่ำกว่า DAX ปกติที่เราเห็นในข่าวอย่างมาก ดังนั้น การที่ DAX ทำ All-Time High ได้บ่อยครั้ง ส่วนหนึ่งมาจากแรงหนุนของเงินปันผลที่ทบกลับเข้ามา ไม่ใช่แค่ราคาหุ้นเพียวๆ


สูตร Laspeyres และการถ่วงน้ำหนัก (Weighting)

DAX ใช้วิธีคำนวณแบบ Free-float Market Capitalization Weighted โดยใช้สูตรพื้นฐานของ Laspeyres Index ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้

  • Market Cap: คำนวณจาก ราคาหุ้นปัจจุบัน x จำนวนหุ้นทั้งหมด

  • Free Float Adjustment: น้ำหนักจะถูกปรับลดตามสัดส่วนหุ้นที่รายย่อยถือครอง (Free Float) หุ้นที่ถือโดยผู้ก่อตั้ง ครอบครัว รัฐบาล หรือนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เกิน 5% จะถูกตัดออกจากการคำนวณน้ำหนัก เพื่อสะท้อนสภาพคล่องที่นักลงทุนสามารถซื้อขายได้จริงในตลาด

  • Capping Limit (15%): เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทยักษ์ใหญ่เพียงรายเดียว (เช่น SAP) มีอิทธิพลต่อดัชนีมากเกินไปจนบิดเบือนตลาด DAX 40 ได้กำหนดเพดานน้ำหนักของหุ้นรายตัวไว้ที่ 15% (ปรับเพิ่มจาก 10% ในปี 2024 เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากขึ้น) 2 หากหุ้นตัวใดมีน้ำหนักเกิน 15% จะถูกปรับลดลงในรอบ Rebalancing ถัดไป


เวลาในการคำนวณและระบบ Xetra

ดัชนี DAX คำนวณผลแบบเรียลไทม์ทุกวินาที ผ่านระบบ Xetra (ระบบเทรดอิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพสูงของเยอรมนี)

  • เวลาทำการ: 09:00 น. ถึง 17:30 น. ตามเวลาเยอรมนี (CET)

  • สำหรับนักลงทุนไทย: ช่วงเวลาตลาดเปิดจะตรงกับ

    • ฤดูร้อน (Summer Time): ประมาณ 14:00 น. - 22:30 น.

    • ฤดูหนาว (Winter Time): ประมาณ 15:00 น. - 23:30 น.

ปัจจัยที่ส่งผลต่อดัชนี DAX Index

การวิเคราะห์ทิศทาง DAX 40 ต้องอาศัยการมองภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค และปัจจัยเฉพาะตัวที่กระทบต่ออุตสาหกรรมเยอรมัน


นโยบายดอกเบี้ยของ ECB และการฟื้นตัวของยุโรป

เนื่องจาก DAX เต็มไปด้วยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมหนัก (Capital Intensive) และอสังหาริมทรัพย์ (เช่น Vonovia) อัตราดอกเบี้ยจึงเป็นต้นทุนทางการเงินที่สำคัญ


อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันของ ECB

 ที่มา: bloomberg.com


  • สถานการณ์ 2026: นักวิเคราะห์จาก DZ Bank และ S&P Global คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับที่เป็นกลาง (Neutral Territory ประมาณ 1.75% - 2.0%) ในปี 2026 หลังจากผ่านพ้นวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นมาแล้ว

  • ผลกระทบ: อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับต่ำจะเป็นแรงหนุนชั้นดีให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (SAP, Infineon) และอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัว รวมถึงช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของภาคอุตสาหกรรม


เศรษฐกิจโลกและการพึ่งพาการส่งออก (The Export Engine)

เศรษฐกิจเยอรมนีมีโครงสร้างที่พึ่งพาการส่งออกสูงมาก (Export-oriented Economy) โดยเฉพาะไปยังสองตลาดหลักคือ จีน และ สหรัฐอเมริกา

  • ปัจจัยจีน: เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวและการเปลี่ยนผ่านนโยบาย “Anti-involution” ของจีน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายรถยนต์หรู (Mercedes, BMW, Porsche) และสินค้าเคมีภัณฑ์ (BASF) หากจีนฟื้นตัวช้า หุ้นกลุ่มนี้จะยังคงเป็นตัวถ่วงดัชนี

  • ปัจจัยสหรัฐฯ: นโยบายภาษี (Tariffs) จากสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลใหม่ เป็นความเสี่ยงใหญ่สุดของผู้ส่งออกรถยนต์เยอรมัน หากมีการตั้งกำแพงภาษีจริง จะกดดันกำไรของกลุ่มยานยนต์อย่างหนัก


การปฏิรูปการคลัง (Fiscal Reawakening)

ปี 2026 ถือเป็นปีแห่งความหวังจากการที่รัฐบาลเยอรมันเริ่มผ่อนคลายกฎ “Debt Brake” (กฎจำกัดการก่อหนี้) เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล และพลังงานสะอาด

  • ผลกระทบ: งบประมาณภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจะกระตุ้น GDP และเป็นผลดีโดยตรงต่อบริษัทรับเหมา โครงสร้างพื้นฐาน (Siemens, Heidelberg Materials) และเทคโนโลยี


ราคาพลังงานและการเปลี่ยนผ่าน (Energy Transition)

วิกฤตพลังงานรัสเซีย-ยูเครนได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่เยอรมนียังคงอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว


  • ผลกระทบ: บริษัทที่สามารถจัดการต้นทุนพลังงานได้ดีและเป็นผู้นำเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอย่าง Siemens Energy จะเป็นผู้ชนะ ในขณะที่อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ที่ใช้พลังงานสูง (Energy-intensive) อย่าง BASF ยังคงต้องเผชิญความท้าทายเรื่องต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับคู่แข่งในสหรัฐฯ หรือจีน

ภาพรวมผลตอบแทนและแนวโน้มในอดีต

นี่คือข้อมูลสถิติผลตอบแทนย้อนหลังของดัชนี DAX (DAX 40) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2016 - 2025) ซึ่งรวบรวมจากข้อมูลสถิติล่าสุด เพื่อให้เห็นภาพรวมความผันผวนและศักยภาพในการเติบโตของตลาดหุ้นเยอรมัน


ปีผลตอบแทนเหตุการณ์สำคัญ
2025+15.96%การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปและการใช้จ่ายภาครัฐ
2024+18.85%หุ้นเทคโนโลยีและประกันภัยช่วยดันดัชนีทำ All-Time High
2023+20.31%การฟื้นตัวหลังวิกฤตเงินเฟ้อและพลังงาน
2022-12.35%ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และวิกฤตพลังงาน
2021+15.79%การขยายดัชนีเป็น DAX 40 และการฟื้นตัวจากโควิด
2020+3.55%ผันผวนหนักจากโควิด-19 แต่ฟื้นตัวได้ในช่วงปลายปี
2019+25.48%ปีแห่งการเติบโตสูงจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน
2018-18.26%สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน และความกังวลเรื่อง Brexit
2017+12.51%เศรษฐกิจโลกขยายตัวพร้อมกัน
2016+6.87%การฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของยูโรโซน


จากสถิติ มีประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรทราบเพื่อประกอบการตัดสินใจ ดังนี้


  • ผลตอบแทนเฉลี่ย (Average Return): หากดูย้อนหลังในช่วง 10 ปี และ 20 ปี ดัชนี DAX Index ให้ผลตอบแทนทบต้น (CAGR) อยู่ที่ประมาณ 7.7% - 7.9% ต่อปี  ซึ่งถือเป็นระดับที่น่าพอใจสำหรับการลงทุนระยะยาวในตลาดที่พัฒนาแล้ว

  • พลังของ Total Return Index: สาเหตุที่ตัวเลขผลตอบแทนของ DAX มักจะดูสูงกว่าดัชนีอื่นในยุโรปบางตัว เป็นเพราะ DAX คำนวณแบบ Performance Index คือนำเงินปันผลกลับมาลงทุนซ้ำในดัชนี (Reinvested) ซึ่งต่างจากดัชนีส่วนใหญ่ที่เป็น Price Index  ทำให้นักลงทุนได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้นเต็มที่

  • ความผันผวน: DAX มีความผันผวนสูงกว่าดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ เล็กน้อย เนื่องจากพึ่งพาภาคการผลิตและส่งออกสูง

    • ปีที่แย่ที่สุด: ในอดีตเคยเกิด Drawdown หนักๆ เช่นปี 2002 (-43.94%) หรือ 2008 (-40.37%)

    • การฟื้นตัว: มักจะมีการดีดตัวกลับแรงในปีถัดไปหลังจากปีที่ติดลบ (เช่น ปี 2019 บวก +25.48% หลังจากปี 2018 ที่ลบ -18.26%) พฤติกรรมนี้ทำให้นักลงทุนระยะสั้น นิยมหาจังหวะ “Buy the Dip” หรือเก็งกำไรในรอบการฟื้นตัว


แนวโน้มในอนาคต

นักวิเคราะห์จากสถาบันชั้นนำอย่าง Deutsche Bank, IMF และ S&P Global มองภาพปี 2026 ไปในทิศทาง “ฟื้นตัวอย่างระมัดระวังแต่มีศักยภาพ (Cautiously Bullish)”


  • GDP Growth: IMF และ S&P คาดการณ์ว่า GDP เยอรมนีจะกลับมาขยายตัวที่ระดับ 1.0% - 1.5% ในปี 2026 โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนของภาคเอกชนที่เริ่มฟื้นตัว


คาดการณ์แนวโน้ม GDP ของเยอรมนี

 ที่มา: economy-finance.ec.europa.eu


  • Corporate Earnings: คาดการณ์ว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (Earnings Growth) จะเติบโตในระดับสองหลัก ในปี 2026 และ 2027 นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีและการเงิน

  • เป้าหมายดัชนี: นักวิเคราะห์ทางเทคนิคและแบบจำลอง AI ประเมินว่า DAX มีโอกาสทดสอบระดับ 25,000 - 27,500 จุด ภายในปี 2026 โดยมีแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 20,000 จุด

วิธีลงทุนใน DAX Indexสำหรับนักลงทุนไทย

สำหรับนักลงทุนไทย การจะข้ามไปลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมนีปัจจุบันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป โดยเราสามารถเลือกช่องทางให้เหมาะกับสไตล์การลงทุน ความเสี่ยงที่รับได้ และระยะเวลาในการถือครอง ดังนี้


1.กองทุนรวม (Mutual Funds) เหมาะสำหรับสายออมระยะยาว


นี่คือช่องทางที่ง่ายและปลอดภัย หรือผู้ที่ไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอ

  • รูปแบบ: บลจ. ในไทย (เช่น SCB, KBank, Bualuang) จะนำเงินของเราไปลงทุนต่อในกองทุนหลัก (Master Fund) ในต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็น ETF ที่อ้างอิงดัชนี DAX โดยตรง (เช่น iShares Core DAX UCITS ETF) หรือกองทุนหุ้นยุโรปที่มีสัดส่วนหุ้นเยอรมันสูง

  • ข้อดี: มีผู้จัดการกองทุนดูแล, ใช้เงินเริ่มต้นน้อย (บางกองเริ่มที่ 1 บาท), และอาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหากซื้อเป็นกองทุน SSF หรือ RMF

  • ข้อสังเกต: มีค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) และราคา NAV จะไม่ได้ Real-time (รู้ราคาอีกทีคือสิ้นวันทำการ)


2.ซื้อ ETF ต่างประเทศโดยตรง เหมาะสำหรับสาย DIY ที่ชอบค่าธรรมเนียมต่ำ


ในยุคนี้ แอปพลิเคชันจากโบรกเกอร์ไทยหลายเจ้า (อาทิ Dime, InnovestX, หรือ BLS Global Investing) เปิดให้เราแลกเงินและไปซื้อหุ้นนอกได้โดยตรง

  • รูปแบบ: แทนที่จะไปเปิดพอร์ตที่เยอรมนีซึ่งยุ่งยาก นักลงทุนไทยนิยมซื้อ ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเยอรมันแทน ตัวอย่างที่นิยมที่สุดคือ EWG (iShares MSCI Germany ETF)

  • ข้อดี: ค่าธรรมเนียมถูกกว่ากองทุนรวมในระยะยาว, ได้รับเงินปันผลเข้าพอร์ตโดยตรง, และซื้อขายได้เองทันทีที่ตลาดสหรัฐฯ เปิด

  • ข้อสังเกต: ต้องบริหารจัดการเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเอง และเวลาเทรดจะเป็นช่วงกลางคืนของไทย


3.สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) เหมาะสำหรับสายเทรดเก็งกำไรระยะสั้น


ช่องทางนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำกำไรจาก “ส่วนต่างราคา” ในระยะสั้น หรือต้องการทำกำไรในขาลง (Short Sell)

  • รูปแบบ: เทรดผ่านโบรกเกอร์ที่ได้รับการรับรองต่างๆ Mitrade โดยอ้างอิงราคาจากดัชนีจริง

  • ข้อดี: ใช้เงินทุนน้อยด้วย Leverage และยังสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลงสภาพคล่องสูง ซื้อขายได้ทันที

  • ข้อสังเกต: ความเสี่ยงสูง และไม่เหมาะกับการถือยาวเพราะมีค่าธรรมเนียมถือข้ามคืน (Swap) และไม่ใช่การถือครองสินทรัพย์จริง


อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่สนใจ Mitrade ก็มีบัญชีทดลองให้ลองเทรดด้วยเงินเสมือนจริงถึง $50,000


mitrade
💸 ห้ามพลาด!!! 💸

แจกโบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์! 🎁🎁🎁


ค่าคอมฯ 0 สเปรดต่ำ! เงินฝากขั้นต่ำ $50 🤑

ฝึกเทรดด้วยเงินเสมือนจริง $50, 000 ฟรี 💰

การลงทุนมีความเสี่ยง อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน


ข้อดี–ข้อจำกัดของการลงทุนใน DAX Index


ข้อดีของการลงทุนใน DAX Index

  • กระจายความเสี่ยงระดับโลก: บริษัทใน DAX Index เป็นยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ รายได้มาจากทั่วโลก ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเศรษฐกิจไทยหรือสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว

  • Total Return ที่เหนือกว่า: ด้วยวิธีคำนวณแบบ Performance Index ทำให้ผลตอบแทนระยะยาวดูดีและสะท้อนความมั่งคั่งจากการลงทุนทบต้น

  • Valuation ที่น่าสนใจ: หุ้นยุโรปมักมีราคาถูกกว่าหุ้นสหรัฐฯ (P/E ต่ำกว่า) ทำให้มีโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างราคา (Re-rating) เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว

  • ความโปร่งใสสูง: ภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่ของ DAX 40 บริษัทมีการตรวจสอบที่เข้มงวดและโปร่งใส


ข้อจำกัดของการลงทุนใน DAX Index

  • ความอ่อนไหวต่อวัฏจักรเศรษฐกิจ: เนื่องจากมีสัดส่วนหุ้นอุตสาหกรรมและยานยนต์สูง ดัชนีจึงผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างมาก

  • ความเสี่ยงค่าเงิน: การลงทุนในสินทรัพย์สกุลยูโร (EUR) มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร ผลตอบแทนเมื่อแปลงเป็นเงินบาทอาจลดลง (แต่ CFD ช่วยลดความยุ่งยากตรงนี้ได้ระดับหนึ่งด้วยการแปลงค่าเงินอัตโนมัติ)

  • ความเสี่ยงเฉพาะตัว: หุ้น SAP ตัวเดียวมีน้ำหนักถึง 15% การเคลื่อนไหวของ SAP จึงส่งผลต่อดัชนีโดยรวมอย่างมาก

บทสรุป

DAX Index ไม่ใช่แค่ดัชนีของประเทศเยอรมนี แต่คือหัวใจของอุตสาหกรรม นวัตกรรม และเสถียรภาพของทวีปยุโรป


การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่และแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้ DAX Index กลายเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกไม่อาจมองข้าม


สำหรับนักลงทุนไทย การเข้าถึงโอกาสนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แพลตฟอร์มอย่าง Mitrade ได้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมที่แข็งแกร่ง ปลอดภัย และใช้งานง่าย ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง โอกาสทำกำไรมีอยู่เสมอสำหรับผู้ที่มีความรู้และเครื่องมือที่ใช่

คำถามที่พบบ่อย

DAX 30 กับ DAX 40 ต่างกันอย่างไร?

DAX 30 คือโครงสร้างเดิมที่มี 30 บริษัท ส่วน DAX 40 คือโครงสร้างปัจจุบัน (เริ่มใช้ปี 2021) ที่เพิ่มบริษัทเข้ามาอีก 10 แห่งและมีเกณฑ์คัดเลือกที่เข้มงวดกว่ามาก เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มน้ำหนักหุ้นเทคโนโลยี

เวลาเทรด DAX ตรงกับเวลาไทยกี่โมง?

ตลาดหลัก (Xetra) เปิด 15:00 - 23:30 น. (เวลาไทย ในช่วงฤดูหนาว) หรือ 14:00 - 22:30 น. (ในช่วงฤดูร้อน) แต่บน Mitrade สามารถเทรดสัญญา GER40 ได้เกือบ 24 ชั่วโมง (จันทร์-ศุกร์) ทำให้สะดวกสำหรับคนทำงานประจำ

ลงทุนใน DAX Index ผ่าน CFD ได้ปันผลไหม?

การเทรด CFD ไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นจริง จึงไม่ได้รับเงินปันผลเข้าบัญชี อย่างไรก็ตาม ราคาของดัชนี DAX Index ได้รวมมูลค่าปันผลเข้าไปในตัวกราฟแล้ว

*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

goTop
quote
บทความที่เกี่ยวข้อง
placeholder
SET50 คืออะไร? SET50 มีอะไรบ้าง? และลงทุน SET50 ยังไง?บทความนี้เราขอแนะนำดัชนี SET50 นะครับ รวมถึง SET50 คืออะไร, SET50 มีอะไรบ้าง, วิธีคำนวณ SET50 และปัจจัยที่ส่งผลต่อดัชนี SET50 และลงทุน SET50 ยังไงนะครับ
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 01 ธ.ค. 2023
บทความนี้เราขอแนะนำดัชนี SET50 นะครับ รวมถึง SET50 คืออะไร, SET50 มีอะไรบ้าง, วิธีคำนวณ SET50 และปัจจัยที่ส่งผลต่อดัชนี SET50 และลงทุน SET50 ยังไงนะครับ
placeholder
ดัชนีเอสแอนด์พี 500 หรือ ดัชนี S&P 500 คืออะไร?บทความนี้จะพานักลงทุนทำความรู้จักกับดัชนีหุ้นสหัฐ S&P 500 รวมถึง S&P 500 คืออะไร, S&P 500 คำนวณอย่างไร, รายชื่อหุ้นใน S&P 500, S&P 500 และ Dow Jones แตกต่างกันอย่างไร
ผู้เขียน  MitradeInsights
1 เดือน 03 วัน ศุกร์
บทความนี้จะพานักลงทุนทำความรู้จักกับดัชนีหุ้นสหัฐ S&P 500 รวมถึง S&P 500 คืออะไร, S&P 500 คำนวณอย่างไร, รายชื่อหุ้นใน S&P 500, S&P 500 และ Dow Jones แตกต่างกันอย่างไร
placeholder
Dow Jones(DJIA) คืออะไร? สำคัญยังไง? ทำไมต้องดูทุกวันบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ ดัชนี Dow Jones คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อตลาดหุ้นทั่วโลกพร้อมเผยรายชื่อบริษัทที่อยู่ในดัชนี Dow Jones การวิเคราะห์แนวโน้มดัชนีหุ้น Dow Jones ปี 2025 และลงทุนในดัชนี Dow Jones ยังไง ตามมาดูกันเลย
ผู้เขียน  MitradeInsights
วันที่ 19 ธ.ค. 2024
บทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ ดัชนี Dow Jones คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อตลาดหุ้นทั่วโลกพร้อมเผยรายชื่อบริษัทที่อยู่ในดัชนี Dow Jones การวิเคราะห์แนวโน้มดัชนีหุ้น Dow Jones ปี 2025 และลงทุนในดัชนี Dow Jones ยังไง ตามมาดูกันเลย
placeholder
นิเคอิ225(Nikkei 225) คืออะไร? ลงทุนหุ้นญี่ปุ่นผ่านดัชนีนิเคอิ225 Nikkei 225 ขึ้นสู่จุดสูงสุดตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1990 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2023 อะไรทำให้ราคาของ Nikkei 225 พุ่งกระฉูด? เราจะทำกำไรจากกระแสของ Nikkei 225 ได้อย่างไร? บทความนี้จะแจ้งให้คุณทราบ
ผู้เขียน  เมธิณี วสุมดีInsights
48 นาทีที่แล้ว
Nikkei 225 ขึ้นสู่จุดสูงสุดตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1990 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2023 อะไรทำให้ราคาของ Nikkei 225 พุ่งกระฉูด? เราจะทำกำไรจากกระแสของ Nikkei 225 ได้อย่างไร? บทความนี้จะแจ้งให้คุณทราบ
placeholder
NASDAQ 100 คืออะไร สรุปทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนลงทุนใน 100 หุ้นระดับโลกบทความนี้เราจะความรู้จักกับดัชนีหุ้นตัวนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ทุกคน เริ่มตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ค่อย ๆ ไล่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพชัดเจนจนเข้าใจได้ว่าทำไมดัชนีหุ้น Nasdaq 100 จึงได้รับความนิยมระดับโลก และคุณควรลงทุนกับหุ้นตัวนี้อย่างไรเพื่อสร้างกำไรให้กับตัวคุณเอง
ผู้เขียน  เมธิณี วสุมดีInsights
2 เดือน 06 วัน พฤหัส
บทความนี้เราจะความรู้จักกับดัชนีหุ้นตัวนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ทุกคน เริ่มตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ค่อย ๆ ไล่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพชัดเจนจนเข้าใจได้ว่าทำไมดัชนีหุ้น Nasdaq 100 จึงได้รับความนิยมระดับโลก และคุณควรลงทุนกับหุ้นตัวนี้อย่างไรเพื่อสร้างกำไรให้กับตัวคุณเอง
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์