5 อันดับหุ้นเทคโนโลยีอเมริกาที่น่าสนใจ เราควรจะเริ่มลงทุนได้หรือยัง

5 นาที
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหุ้น
อัพเดทครั้งล่าสุด 09 พ.ค. 2566 09:48 น.

ฉบับย่อ

ภาวะอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงอย่างมากตั้งแต่ต้นปี

อัตราเงินเฟ้อสหรัฐน่าจะชะลอตัวลงอย่างช้าๆ ตามการคาดการณ์ของเฟดและลดแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

ได้เวลาทยอยสะสมหุ้นคุณภาพดีเข้าพอร์ตแต่การถือครองควรเป็นระยะยาวแบบ 1 ปี ขึ้นไป

ผู้เขียนวิเคราะห์จากความคุ้มค่าด้านคุณภาพและราคาพร้อมกับความเสี่ยงของหุ้นพบว่า TMUS, ASML, META, NVDA และ GOOG เป็นหุ้นที่น่าสนใจ

ความเห็นนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐส่วนใหญ่เป็นไปในทางเดียวกันกับการวิเคราะห์ของผู้เขียน

ผลจากการตรวจสอบความแม่นยำของการคาดการณ์ย้อนหลังโดยนับจากวันที่บทวิจัยถูกตีพิมพ์ 31 ตุลาคม 2565 ไปจนถึงวันที่ 10 พฤษจิกายน 2565 หุ้นที่ผู้เขียนแนะนำให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 10.8% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของดัชนี NASDAQ ที่ 1.1%

ควรเริ่มลงทุนหุ้นกุล่มเทคโนโลยีได้หรือยัง

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ปรับลดลงอย่างมากในปีนี้โดยที่ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 ดัชนี Nasdaq100 ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมากได้ปรับตัวลดลง 32.8% ตั้งแต่ต้นปีโดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยส่วนใหญ่แล้วอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลให้บริษัทมีรายจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นและผู้บริโภคอาจมีแรงจูงใจในการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการน้อยลงเพราะสามารถนำเงินไปฝากธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ยสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีซึ่งอาจจะยังไม่สามารถนับได้ว่าเป็นสินค้าจำเป็นเท่าไรหนัก รายจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นพร้อมกับยอดขายที่อาจลดลงจึงส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทโดยตรง นอกจากนี้ธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยีนั้นมักมีการลงทุนวิจัยพัฒนาระบบนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งกว่าจะได้ผลสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ก็ต้องเป็นระยะยาว การที่ต้องลงทุนมากก่อนค่อยได้รายได้ที่หลังทำให้ไม่ค่อยเป็นที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนเท่าไรโดยเฉพาะในภาวะดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow) โดยการคำนวนมูลค่ากระแสเงินสดในอนาคตย้อนกลับมาเป็นมูลค่า ณ ปัจจุบัน รายได้ที่ว่ามากในอนาคตเมื่อคิดถอยกลับมาเป็นรายได้ในปัจจุบันอาจจะไม่ได้มากอย่างที่คิดก็ได้ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงมากหรือรายได้จะเข้ามาอยู่ในอนาคตที่ไกลมากซึ่งสุดท้ายก็จะส่งผลทำให้มูลค่าหุ้นในปัจจุบันลดลงไปตามหลักการประเมินมูลค่าหุ้นแบบลดกระแสเงินสด


เหตุที่ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นก็เนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2565 จนถึงเดือนกันยายนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate ทั้งหมด 5 ครั้ง รวมทั้งหมด 3% เป็น 3%-3.25% เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ จากรายงานการประชุมเฟดในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เฟดมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดด้วยแรงหนุนจากอัตราการว่างงานในสหรัฐที่ต่ำส่งผลให้ค่าแรงเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งราคาอาหารและน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นตั้งแต่เกิดเหตุระบาดของโรคโควิด นอกจากนี้สงครามยูเครนรัสเซียก็ยังส่งผลกดดันให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงไปอีก โดยเงินเฟ้อสหรัฐ (PCE inflation) เดือนสิงหาคมอยู่ที่ 6.2% ในขณะที่เฟดตั้งเป้าว่าเงินเฟ้อควรลดลงมาอยู่ที่ 5.4% ณ สิ้นปี 2565 และ 2% ในระยะยาว ตราบใดที่เงินเฟ้อยังไม่ลดไปสู่อัตราเป้าหมาย เฟดก็จะยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อไปซึ่งจะส่งแรงกดดันต่อตลาดหุ้นโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว


16671813064503


จากข้อมูลในอดีตเราจะพบว่าผลตอบแทน 1 ปีของดัชนี Nasdaq100 มีความสัมพันธ์เชิงผกผันกับอัตราเงินเฟ้อ เมื่อใดที่อัตราเงินเฟ้อสูงอัตราผลตอบแทนของดัชนีจะลดลงทันที ถ้าเราอยากรู้ว่าแล้วหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะปรับตัวขึ้นเมื่อไร เราก็สามารถคาดการ์ณได้จากอัตราเงินเฟ้อนี่เอง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อจะเป็นดัชนีชี้วัดหลักในการคาดการณ์ต่อไปว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อหรือไม่ มีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงจนถึงอัตราเป้าหมายของเฟดจากสองปัจจัยคือ 1. ความพยายามของเฟดในการควบคุมเงินเฟ้อด้วยการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องน่าจะเริ่มส่งผลต่อพื้นฐานทางเศรษฐกิจแล้ว 2. ฐานดัชนีค่าครองชีพที่สูงในปีก่อนหน้าจะทำให้เงินเฟ้อ (เปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพโดยรวม) ปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มากนัก ดังนั้นจึงมีโอกาสที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะค่อยๆ ทรงตัวได้หลังจากที่ปรับลดลงมาอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เป็นโอกาสที่จะค่อยๆ ทยอยสะสมหุ้นคุณภาพดีเข้าพอร์ต แต่การถือครองควรเป็นระยะยาวแบบ 1 ปี ขึ้นไป และคงไม่สามารถคาดหวังที่จะทำกำไรในระยะสั้นได้เพราะยังคงมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่แน่นอนอยู่ เมื่อไรก็ตามที่ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะถูกเทขายทิ้งอีก


16671813387248


5 อันดับหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐที่น่าสนใจ

ถ้านักลงทุนต้องการทยายซื้อสะสมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เรามาดูกันว่ามีหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจบ้าง โดยผู้เขียนได้ทำการศึกษาหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 12 อันดับแรกตาม market capitalization โดยคำนึงถือสามปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนคือคุณภาพ ความเสี่ยง และราคา


1. คุณภาพ

ผู้เขียนวัดคุณภาพของหุ้นโดยประเมินจากกำไรในการทำธุรกิจของบริษัทเป็นหลัก แต่ไม่ใช่กำไรที่ทำได้ในอดีต เพราะถือว่าผ่านไปแล้วและตลาดรับข่าวหมดแล้วโดยสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้น ผู้เขียนใช้การคาดการณ์การทำกำไรในอนาคตซึ่งถูกคาดการ์ณโดยนักวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงเกี่ยวกับหุ้นแต่ละตัวในสหรัฐ การใช้นักวิเคราะห์เพียงแค่หนึ่งคนอาจทำให้มีความคลาดเคลื่อนสูง ผู้เขียนจึงใช้มติ (consensus) ของกลุ่มนักวิเคราะห์ทั้งหมดในการคาดการณ์เพื่อดูว่าในปีหน้าแต่ละบริษัทน่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานโดยเฉลี่ยเป็นเท่าไร 

 

2. ความเสี่ยง

ในภาวะเศรษฐกิจที่ดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ธุรกิจที่มีเงินกู้มากจะมีรายจ่ายดอกเบี้ยที่สูงตามมาซึ่งส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทโดยตรง นอกจากนี้การมีหนี้สินมากก็จะมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น ทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้นไปอีกเพื่อชดเชยให้กับผู้ปล่อยกู้ที่ต้องแบบรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องดูอัตราหนี้สิ้นต่อทุน (debt to equity ratio หรือ D/E) เพื่อดูภาวะความเสี่ยงด้านการเงินของบริษัท การมีอัตราหนี้สินต่อทุนน้อยกว่า 1 ถือว่าบริษัทมีฐานะความมั่นคงทางการเงินที่ดีเพราะมีการใช้เงินทุนของบริษัทเองในการทำธุรกิจมากกว่าที่จะพึ่งพาเงินกู้จากภายนอก


3. ราคา

การที่จะดูว่าราคาหุ้นนั้นถูกหรือแพงเราจะดูจากราคาโดยตรงอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องดูราคาเทียบกับกำไรที่บริษัทสามารถทำได้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะดูจากค่า P/E ratio หรือราคาตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น ถ้าราคาหุ้นสูงแต่บริษัทสามารถทำกำไรได้ดีก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่าหุ้นตัวนั้นๆ แพง ค่า P/E นั้นยิ่งต่ำยิ่งถือว่าหุ้นตัวนั้นถูก โดยส่วนใหญ่เราจะเปรียบเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันที่มีลักษณะธุรกิจคล้ายกันเพื่อดูว่าหุ้นนั้นๆ ถูกหรือแพง  


หุ้น

จำนวนนักวิเคราะห์*

คุณภาพ

ความเสี่ยง

ราคา

ความคุ้มค่า

ลำดับความคุ้มค่า

คาดการณ์การเติบโตของกำไรในปีหน้า*

อัตราหนี้สิ้นต่อทุน
(D/E ratio)**

ราคาตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น
(
P/E ratio)***

คุณภาพ / ราคา


TMUS

18

195.9%

1.05

97.04

2.02%

1

ASML

6

34.0%

0.57

22.91

1.48%

2

NVDA

36

31.5%

0.41

37.71

0.84%

4

MSFT

42

17.8%

0.28

23.42

0.76%

6

GOOG

35

15.2%

0.06

18.29

0.83%

5

ORCL

26

13.6%

-

30.37

0.45%

9

META

48

9.6%

-

10.56

0.91%

3

AVGO

23

8.5%

1.88

18.62

0.46%

8

CSCO

23

7.6%

0.21

13.93

0.55%

7

AAPL

39

5.9%

1.63

22.83

0.26%

10

VZ

24

1.0%

1.56

7.15

0.14%

11

TSM

5

-0.9%

0.31

12.38

-0.07%

12

*ข้อมูลจาก yahoo finance






**D/E ratio ณ สิ้นไตรมาส 2 ปีงบประมาณ 2565





***trailing P/E ratio 13 ตุลาคม 2565






จากการศึกษาหุ้นเทคโนโลยี 12 ตัวที่ใหญ่ที่สุดในตลาดสหรัฐโดยนับจากมูลค่าตลาด (market capitalization) พบว่าคุณภาพแปรผันไปในทิศทางเดียวกับราคา นั่นคือค่า P/E ratio จะยิ่งสูงสำหรับหุ้นของบริษัทที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่สูงในปีหน้าหรืออีกนัยหนึ่งคือหุ้นที่มีคุณภาพดีราคาจะสูง ผลการศึกษานี้บ่งบอกว่าราคาหุ้นนอกจากจะสะท้อนข้อมูลทางเศรษฐกิจและการดำเนินงานของบริษัทในอดีตแล้วยังสะท้อนการคาดการณ์ของอนาคตไว้แล้วด้วย บริษัทไหนที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่ดีในปีหน้าจะมีราคาที่สูงกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน


16671813921139


เมื่อหุ้นที่คาดว่าน่าจะดีราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นไปแล้ว แล้วเราควรจะเลือกลงทุนอย่างไรดี ผู้เขียนได้ลองคำนวนดูง่ายๆ โดยการใช้คุณภาพหารราคาตรงๆ  แล้วลองเรียกมันว่าอัตราความคุ้มค่า ความคุ้มค่ายิ่งมากก็ยิ่งดีคือหุ้นตัวนั้นคุณภาพดีแต่ราคาไม่ได้แพงมากจนทำให้ไม่น่าลงทุน แล้วลองเทียบดูกับหุ้นอื่นๆ เพื่อดูว่าตัวไหนน่าจะคุ้มค่าที่สุดเรียงลำดับลงมา พบว่าหุ้น 5 อันดับที่มีความคุ้มค่ามากที่สุดคือ TMUS, ASML, META, NVDA และ GOOG ตามลำดับ 


เมื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงร่วมด้วยจะพบว่าทั้ง 5 บริษัทนี้มีค่า D/E ratio โดยเฉลี่ยที่ต่ำกว่าบริษัทอื่นๆ ที่ใช้ในการศึกษา (ยกเว้น META ที่ยังไม่มีข้อมูล D/E ratio) ทำให้มั่นใจได้เพิ่มมากขึ้นว่าบริษัทที่เราเรียกว่าคุ้มค่าในการลงทุนมากกว่าบริษัทอื่นนั้นไม่ได้มีความเสี่ยงทางการเงินที่มากเกินไป


แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าหุ้น 5 ตัวที่เราเลือกมานั้นเราเลือกถูก ผู้เขียนจึงได้มีการศึกษาเพิ่มเติมโดยดูจากมติของกลุ่มนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐเพิ่มเติมและพบว่าคำแนะนำเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หุ้นที่เราเลือกมานั้นได้คะแนน (rating score) จากนักวิเคราะห์โดยเฉลี่ยสูงกว่าหุ้นตัวอื่นที่ไม่ได้เลือก โดยคะแนนจะมีค่าระหว่าง 0-4 โดย 4 ถือเป็นคะแนนสูงที่สุดและน่าลงทุนที่สุด 


โดยหุ้น TMUS อันดับ 1 ที่เราเลือกมานั้นได้คะแนนจากกลุ่มนักวิเคราะห์มากถึง 3 โดยสูงที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นและกลุ่มนักวิเคราะห์มีมติแนะนำให้เลือกซื้อเก็บ (buy) แทนที่จะค่อยๆ ทยอยซื้อ (moderate buy) เหมือนหุ้นตัวอื่น ในทางตรงกันข้ามหุ้น VZ ที่เราให้ระดับความคุ้มค่าที่ 11  นั้น กลุ่มนักวิเคราะห์ได้ให้คะแนนต่ำที่สุดที่ 2.14 และให้คำแนะนำถือ (hold) มากกว่าซื้อเก็บหรือทยอยซื้อ โดยหุ้น VZ นั้นถึงแม้ว่าราคาจะถูกคือมีค่า P/E ratio ต่ำที่ 7.15 แต่ก็มีการคาดการณ์ว่ากำไรจะมีอัตราการเติบโตที่ต่ำเช่นเดียวกันอยู่ที่แค่ 1% ในขณะที่มีความเสี่ยงทางการเงินค่อนข้างสูงด้วยระดับ D/E ratio ที่ 1.56 หรือในอีกมุมหนึ่งคือบริษัทมีหนี้ค่อนข้างมากและจำเป็นต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้


หุ้น

ลำดับความคุ้มค่า*

คำแนะนำ**
(consensus recommendation)

คะแนน**
(rating score)

ราคาเป้าหมาย**
(target price)

ส่วนต่างจากราคาปัจจุบัน***
(upside)

TMUS

1

buy

3.00

$171

29%

ASML

2

moderate buy

2.77

$699

76%

META

3

moderate buy

2.69

$244

97%

NVDA

4

moderate buy

2.74

$214

86%

GOOG

5

moderate buy

2.95

$157

60%

MSFT

6

moderate buy

2.91

$327

45%

CSCO

7

hold

2.45

$54

37%

AVGO

8

moderate buy

2.92

$675

57%

ORCL

9

hold

2.33

$89

39%

AAPL

10

moderate buy

2.71

$180

31%

VZ

11

hold

2.14

$53

49%

TSM

12

moderate buy

2.63

$120

87%

*ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน

**ข้อมูล analyst consensus จาก marketbeat

***คิดเทียบจากราคา ณ 13 ตุลาคม 2565


ที่นี้เรามาดูกันว่าหุ้นทั้ง 5 ตัวที่เราเลือกมานั้นคือหุ้นอะไร

1. TMUS หรือ T-Mobile US, Inc. เป็นบริษัทที่ให้บริการเครือข่ายไร้สายของสหรัฐโดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือบริษัทโทรคมนาคมของเยอรมัน

2. ASML หรือ ASML Holding N.V. บริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์ที่พัฒนาและผลิตเครื่องฉายแสงลงบนแผ่นชิปสำหรับใช้ในชิปมือถือและคอมพิวเตอร์

3. META หรือ Meta Platforms, Inc. หรือ facebook ในอดีต โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทรวมไปถึง facebook, instragram, WhatsApp เป็นต้น

4. NVDA หรือ NVIDIA Corporation บริษัทซอฟแวร์สหรัฐที่เริ่มก่อตั้งโดยชาวไต้หวันโดยมีจุดเด่นคือการผลิตการ์ดจอที่ได้รับความนิยมในตลาดเกม

5. GOOG หรือ Alphabet Inc. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ google ที่ได้เริ่มต้นธุรกิจด้วยการให้บริการ search engine 


กล่าวโดยสรุปคือราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ปรับลดลงมามากด้วยแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงจากการที่เฟดต้องการควบคุมเงินเฟ้อ ถ้าเงินเฟ้อเริ่มลดลงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะสามารถทรงตัวได้ซึ่งถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้ซื้อสะสมเพื่อการลงทุนในระยะยาว 1 ปีขึ้นไป โดย 5 หุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐที่น่าสนใจลงทุนในแง่ของคุณภาพที่ดี (วัดจากการคาดการณ์การเติบโตของกำไรในปีหน้าของกลุ่มนักวิเคราะห์ในสหรัฐ) ความเสี่ยงต่ำ (วัดจากค่า D/E ratio) และราคาไม่แพง (วัดจากค่า P/E ratio) ได้แก่ TMUS, ASML, META, NVDA และ GOOG


ผลการตรวจสอบความแม่นยำของการคาดการณ์

ผลการตรวจสอบความแม่นยำของการคาดการณ์

NASDAQ

ASML

GOOG

META

NVDA

TMUS

ผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นที่ผู้เขียนแนะนำ

ผลตอบแทนจากวันที่ทำการวิจัย
14 ตุลาคม ถึง 10 พฤษจิกายน 2565

7.7%

47.9%

-3.1%

-11.7%

40.3%

14.4%

17.6%

ผลตอบแทนจากวันที่ตีพิมพ์
31 ตุลาคม ถึง 10 พฤษจิกายน 2565

1.1%

18.7%

-0.5%

20.1%

16.7%

-0.7%

10.8%

บทความนี้เป็นผลจากการศึกษาวิจัยและความเห็นส่วนตัวของเมธิณี วสุมดี ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจ ตลาดเงิน ตลาดทุนผ่านการประมวลผลข้อมูลด้วยแบบจำลอง machine learning ผู้เขียนไม่สามารถรับประกันได้ว่าความเห็นจะถูกต้องเสมอไปและนักลงทุนควรใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจลงทุนเองโดยที่ผู้เขียนไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้


*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์

คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง: การซื้อขายอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมด การซื้อขายอนุพันธ์แบบ OTC อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โปรดพิจารณาเอกสาร PDS, FSG, คำชี้แจงการเปิดเผยความเสี่ยงและข้อตกลงลูกค้าก่อนใช้บริการของเรา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โปรดทราบว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ในสินทรัพย์อ้างอิง

ขยาย