• ภาวะอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงอย่างมากตั้งแต่ต้นปี
• อัตราเงินเฟ้อสหรัฐน่าจะชะลอตัวลงอย่างช้าๆ ตามการคาดการณ์ของเฟดและลดแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
• ได้เวลาทยอยสะสมหุ้นคุณภาพดีเข้าพอร์ตแต่การถือครองควรเป็นระยะยาวแบบ 1 ปี ขึ้นไป
• ผู้เขียนวิเคราะห์จากความคุ้มค่าด้านคุณภาพและราคาพร้อมกับความเสี่ยงของหุ้นพบว่า TMUS, ASML, META, NVDA และ GOOG เป็นหุ้นที่น่าสนใจ
• ความเห็นนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐส่วนใหญ่เป็นไปในทางเดียวกันกับการวิเคราะห์ของผู้เขียน
• ผลจากการตรวจสอบความแม่นยำของการคาดการณ์ย้อนหลังโดยนับจากวันที่บทวิจัยถูกตีพิมพ์ 31 ตุลาคม 2565 ไปจนถึงวันที่ 10 พฤษจิกายน 2565 หุ้นที่ผู้เขียนแนะนำให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 10.8% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของดัชนี NASDAQ ที่ 1.1%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ปรับลดลงอย่างมากในปีนี้โดยที่ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 ดัชนี Nasdaq100 ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมากได้ปรับตัวลดลง 32.8% ตั้งแต่ต้นปีโดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยส่วนใหญ่แล้วอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลให้บริษัทมีรายจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นและผู้บริโภคอาจมีแรงจูงใจในการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการน้อยลงเพราะสามารถนำเงินไปฝากธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ยสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีซึ่งอาจจะยังไม่สามารถนับได้ว่าเป็นสินค้าจำเป็นเท่าไรหนัก รายจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นพร้อมกับยอดขายที่อาจลดลงจึงส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทโดยตรง นอกจากนี้ธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยีนั้นมักมีการลงทุนวิจัยพัฒนาระบบนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งกว่าจะได้ผลสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ก็ต้องเป็นระยะยาว การที่ต้องลงทุนมากก่อนค่อยได้รายได้ที่หลังทำให้ไม่ค่อยเป็นที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนเท่าไรโดยเฉพาะในภาวะดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow) โดยการคำนวนมูลค่ากระแสเงินสดในอนาคตย้อนกลับมาเป็นมูลค่า ณ ปัจจุบัน รายได้ที่ว่ามากในอนาคตเมื่อคิดถอยกลับมาเป็นรายได้ในปัจจุบันอาจจะไม่ได้มากอย่างที่คิดก็ได้ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงมากหรือรายได้จะเข้ามาอยู่ในอนาคตที่ไกลมากซึ่งสุดท้ายก็จะส่งผลทำให้มูลค่าหุ้นในปัจจุบันลดลงไปตามหลักการประเมินมูลค่าหุ้นแบบลดกระแสเงินสด
เหตุที่ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นก็เนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2565 จนถึงเดือนกันยายนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate ทั้งหมด 5 ครั้ง รวมทั้งหมด 3% เป็น 3%-3.25% เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ จากรายงานการประชุมเฟดในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เฟดมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดด้วยแรงหนุนจากอัตราการว่างงานในสหรัฐที่ต่ำส่งผลให้ค่าแรงเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งราคาอาหารและน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นตั้งแต่เกิดเหตุระบาดของโรคโควิด นอกจากนี้สงครามยูเครนรัสเซียก็ยังส่งผลกดดันให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงไปอีก โดยเงินเฟ้อสหรัฐ (PCE inflation) เดือนสิงหาคมอยู่ที่ 6.2% ในขณะที่เฟดตั้งเป้าว่าเงินเฟ้อควรลดลงมาอยู่ที่ 5.4% ณ สิ้นปี 2565 และ 2% ในระยะยาว ตราบใดที่เงินเฟ้อยังไม่ลดไปสู่อัตราเป้าหมาย เฟดก็จะยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อไปซึ่งจะส่งแรงกดดันต่อตลาดหุ้นโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว
จากข้อมูลในอดีตเราจะพบว่าผลตอบแทน 1 ปีของดัชนี Nasdaq100 มีความสัมพันธ์เชิงผกผันกับอัตราเงินเฟ้อ เมื่อใดที่อัตราเงินเฟ้อสูงอัตราผลตอบแทนของดัชนีจะลดลงทันที ถ้าเราอยากรู้ว่าแล้วหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะปรับตัวขึ้นเมื่อไร เราก็สามารถคาดการ์ณได้จากอัตราเงินเฟ้อนี่เอง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อจะเป็นดัชนีชี้วัดหลักในการคาดการณ์ต่อไปว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อหรือไม่ มีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงจนถึงอัตราเป้าหมายของเฟดจากสองปัจจัยคือ 1. ความพยายามของเฟดในการควบคุมเงินเฟ้อด้วยการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องน่าจะเริ่มส่งผลต่อพื้นฐานทางเศรษฐกิจแล้ว 2. ฐานดัชนีค่าครองชีพที่สูงในปีก่อนหน้าจะทำให้เงินเฟ้อ (เปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพโดยรวม) ปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มากนัก ดังนั้นจึงมีโอกาสที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะค่อยๆ ทรงตัวได้หลังจากที่ปรับลดลงมาอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เป็นโอกาสที่จะค่อยๆ ทยอยสะสมหุ้นคุณภาพดีเข้าพอร์ต แต่การถือครองควรเป็นระยะยาวแบบ 1 ปี ขึ้นไป และคงไม่สามารถคาดหวังที่จะทำกำไรในระยะสั้นได้เพราะยังคงมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่แน่นอนอยู่ เมื่อไรก็ตามที่ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะถูกเทขายทิ้งอีก
ถ้านักลงทุนต้องการทยายซื้อสะสมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เรามาดูกันว่ามีหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจบ้าง โดยผู้เขียนได้ทำการศึกษาหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 12 อันดับแรกตาม market capitalization โดยคำนึงถือสามปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนคือคุณภาพ ความเสี่ยง และราคา
1. คุณภาพ
ผู้เขียนวัดคุณภาพของหุ้นโดยประเมินจากกำไรในการทำธุรกิจของบริษัทเป็นหลัก แต่ไม่ใช่กำไรที่ทำได้ในอดีต เพราะถือว่าผ่านไปแล้วและตลาดรับข่าวหมดแล้วโดยสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้น ผู้เขียนใช้การคาดการณ์การทำกำไรในอนาคตซึ่งถูกคาดการ์ณโดยนักวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงเกี่ยวกับหุ้นแต่ละตัวในสหรัฐ การใช้นักวิเคราะห์เพียงแค่หนึ่งคนอาจทำให้มีความคลาดเคลื่อนสูง ผู้เขียนจึงใช้มติ (consensus) ของกลุ่มนักวิเคราะห์ทั้งหมดในการคาดการณ์เพื่อดูว่าในปีหน้าแต่ละบริษัทน่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานโดยเฉลี่ยเป็นเท่าไร
2. ความเสี่ยง
ในภาวะเศรษฐกิจที่ดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ธุรกิจที่มีเงินกู้มากจะมีรายจ่ายดอกเบี้ยที่สูงตามมาซึ่งส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทโดยตรง นอกจากนี้การมีหนี้สินมากก็จะมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น ทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้นไปอีกเพื่อชดเชยให้กับผู้ปล่อยกู้ที่ต้องแบบรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องดูอัตราหนี้สิ้นต่อทุน (debt to equity ratio หรือ D/E) เพื่อดูภาวะความเสี่ยงด้านการเงินของบริษัท การมีอัตราหนี้สินต่อทุนน้อยกว่า 1 ถือว่าบริษัทมีฐานะความมั่นคงทางการเงินที่ดีเพราะมีการใช้เงินทุนของบริษัทเองในการทำธุรกิจมากกว่าที่จะพึ่งพาเงินกู้จากภายนอก
3. ราคา
การที่จะดูว่าราคาหุ้นนั้นถูกหรือแพงเราจะดูจากราคาโดยตรงอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องดูราคาเทียบกับกำไรที่บริษัทสามารถทำได้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะดูจากค่า P/E ratio หรือราคาตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น ถ้าราคาหุ้นสูงแต่บริษัทสามารถทำกำไรได้ดีก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่าหุ้นตัวนั้นๆ แพง ค่า P/E นั้นยิ่งต่ำยิ่งถือว่าหุ้นตัวนั้นถูก โดยส่วนใหญ่เราจะเปรียบเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันที่มีลักษณะธุรกิจคล้ายกันเพื่อดูว่าหุ้นนั้นๆ ถูกหรือแพง
หุ้น | จำนวนนักวิเคราะห์* | คุณภาพ | ความเสี่ยง | ราคา | ความคุ้มค่า | ลำดับความคุ้มค่า |
คาดการณ์การเติบโตของกำไรในปีหน้า* | อัตราหนี้สิ้นต่อทุน | ราคาตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น | คุณภาพ / ราคา | |||
TMUS | 18 | 195.9% | 1.05 | 97.04 | 2.02% | 1 |
ASML | 6 | 34.0% | 0.57 | 22.91 | 1.48% | 2 |
NVDA | 36 | 31.5% | 0.41 | 37.71 | 0.84% | 4 |
MSFT | 42 | 17.8% | 0.28 | 23.42 | 0.76% | 6 |
GOOG | 35 | 15.2% | 0.06 | 18.29 | 0.83% | 5 |
ORCL | 26 | 13.6% | - | 30.37 | 0.45% | 9 |
META | 48 | 9.6% | - | 10.56 | 0.91% | 3 |
AVGO | 23 | 8.5% | 1.88 | 18.62 | 0.46% | 8 |
CSCO | 23 | 7.6% | 0.21 | 13.93 | 0.55% | 7 |
AAPL | 39 | 5.9% | 1.63 | 22.83 | 0.26% | 10 |
VZ | 24 | 1.0% | 1.56 | 7.15 | 0.14% | 11 |
TSM | 5 | -0.9% | 0.31 | 12.38 | -0.07% | 12 |
*ข้อมูลจาก yahoo finance | ||||||
**D/E ratio ณ สิ้นไตรมาส 2 ปีงบประมาณ 2565 | ||||||
***trailing P/E ratio ณ 13 ตุลาคม 2565 |
จากการศึกษาหุ้นเทคโนโลยี 12 ตัวที่ใหญ่ที่สุดในตลาดสหรัฐโดยนับจากมูลค่าตลาด (market capitalization) พบว่าคุณภาพแปรผันไปในทิศทางเดียวกับราคา นั่นคือค่า P/E ratio จะยิ่งสูงสำหรับหุ้นของบริษัทที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่สูงในปีหน้าหรืออีกนัยหนึ่งคือหุ้นที่มีคุณภาพดีราคาจะสูง ผลการศึกษานี้บ่งบอกว่าราคาหุ้นนอกจากจะสะท้อนข้อมูลทางเศรษฐกิจและการดำเนินงานของบริษัทในอดีตแล้วยังสะท้อนการคาดการณ์ของอนาคตไว้แล้วด้วย บริษัทไหนที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่ดีในปีหน้าจะมีราคาที่สูงกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน
เมื่อหุ้นที่คาดว่าน่าจะดีราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นไปแล้ว แล้วเราควรจะเลือกลงทุนอย่างไรดี ผู้เขียนได้ลองคำนวนดูง่ายๆ โดยการใช้คุณภาพหารราคาตรงๆ แล้วลองเรียกมันว่าอัตราความคุ้มค่า ความคุ้มค่ายิ่งมากก็ยิ่งดีคือหุ้นตัวนั้นคุณภาพดีแต่ราคาไม่ได้แพงมากจนทำให้ไม่น่าลงทุน แล้วลองเทียบดูกับหุ้นอื่นๆ เพื่อดูว่าตัวไหนน่าจะคุ้มค่าที่สุดเรียงลำดับลงมา พบว่าหุ้น 5 อันดับที่มีความคุ้มค่ามากที่สุดคือ TMUS, ASML, META, NVDA และ GOOG ตามลำดับ
เมื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงร่วมด้วยจะพบว่าทั้ง 5 บริษัทนี้มีค่า D/E ratio โดยเฉลี่ยที่ต่ำกว่าบริษัทอื่นๆ ที่ใช้ในการศึกษา (ยกเว้น META ที่ยังไม่มีข้อมูล D/E ratio) ทำให้มั่นใจได้เพิ่มมากขึ้นว่าบริษัทที่เราเรียกว่าคุ้มค่าในการลงทุนมากกว่าบริษัทอื่นนั้นไม่ได้มีความเสี่ยงทางการเงินที่มากเกินไป
แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าหุ้น 5 ตัวที่เราเลือกมานั้นเราเลือกถูก ผู้เขียนจึงได้มีการศึกษาเพิ่มเติมโดยดูจากมติของกลุ่มนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐเพิ่มเติมและพบว่าคำแนะนำเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หุ้นที่เราเลือกมานั้นได้คะแนน (rating score) จากนักวิเคราะห์โดยเฉลี่ยสูงกว่าหุ้นตัวอื่นที่ไม่ได้เลือก โดยคะแนนจะมีค่าระหว่าง 0-4 โดย 4 ถือเป็นคะแนนสูงที่สุดและน่าลงทุนที่สุด
โดยหุ้น TMUS อันดับ 1 ที่เราเลือกมานั้นได้คะแนนจากกลุ่มนักวิเคราะห์มากถึง 3 โดยสูงที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นและกลุ่มนักวิเคราะห์มีมติแนะนำให้เลือกซื้อเก็บ (buy) แทนที่จะค่อยๆ ทยอยซื้อ (moderate buy) เหมือนหุ้นตัวอื่น ในทางตรงกันข้ามหุ้น VZ ที่เราให้ระดับความคุ้มค่าที่ 11 นั้น กลุ่มนักวิเคราะห์ได้ให้คะแนนต่ำที่สุดที่ 2.14 และให้คำแนะนำถือ (hold) มากกว่าซื้อเก็บหรือทยอยซื้อ โดยหุ้น VZ นั้นถึงแม้ว่าราคาจะถูกคือมีค่า P/E ratio ต่ำที่ 7.15 แต่ก็มีการคาดการณ์ว่ากำไรจะมีอัตราการเติบโตที่ต่ำเช่นเดียวกันอยู่ที่แค่ 1% ในขณะที่มีความเสี่ยงทางการเงินค่อนข้างสูงด้วยระดับ D/E ratio ที่ 1.56 หรือในอีกมุมหนึ่งคือบริษัทมีหนี้ค่อนข้างมากและจำเป็นต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้
หุ้น | ลำดับความคุ้มค่า* | คำแนะนำ** | คะแนน** | ราคาเป้าหมาย** | ส่วนต่างจากราคาปัจจุบัน*** |
TMUS | 1 | buy | 3.00 | $171 | 29% |
ASML | 2 | moderate buy | 2.77 | $699 | 76% |
META | 3 | moderate buy | 2.69 | $244 | 97% |
NVDA | 4 | moderate buy | 2.74 | $214 | 86% |
GOOG | 5 | moderate buy | 2.95 | $157 | 60% |
MSFT | 6 | moderate buy | 2.91 | $327 | 45% |
CSCO | 7 | hold | 2.45 | $54 | 37% |
AVGO | 8 | moderate buy | 2.92 | $675 | 57% |
ORCL | 9 | hold | 2.33 | $89 | 39% |
AAPL | 10 | moderate buy | 2.71 | $180 | 31% |
VZ | 11 | hold | 2.14 | $53 | 49% |
TSM | 12 | moderate buy | 2.63 | $120 | 87% |
*ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน | |||||
**ข้อมูล analyst consensus จาก marketbeat | |||||
***คิดเทียบจากราคา ณ 13 ตุลาคม 2565 |
ที่นี้เรามาดูกันว่าหุ้นทั้ง 5 ตัวที่เราเลือกมานั้นคือหุ้นอะไร
1. TMUS หรือ T-Mobile US, Inc. เป็นบริษัทที่ให้บริการเครือข่ายไร้สายของสหรัฐโดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือบริษัทโทรคมนาคมของเยอรมัน
2. ASML หรือ ASML Holding N.V. บริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์ที่พัฒนาและผลิตเครื่องฉายแสงลงบนแผ่นชิปสำหรับใช้ในชิปมือถือและคอมพิวเตอร์
3. META หรือ Meta Platforms, Inc. หรือ facebook ในอดีต โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทรวมไปถึง facebook, instragram, WhatsApp เป็นต้น
4. NVDA หรือ NVIDIA Corporation บริษัทซอฟแวร์สหรัฐที่เริ่มก่อตั้งโดยชาวไต้หวันโดยมีจุดเด่นคือการผลิตการ์ดจอที่ได้รับความนิยมในตลาดเกม
5. GOOG หรือ Alphabet Inc. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ google ที่ได้เริ่มต้นธุรกิจด้วยการให้บริการ search engine
กล่าวโดยสรุปคือราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ปรับลดลงมามากด้วยแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงจากการที่เฟดต้องการควบคุมเงินเฟ้อ ถ้าเงินเฟ้อเริ่มลดลงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะสามารถทรงตัวได้ซึ่งถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้ซื้อสะสมเพื่อการลงทุนในระยะยาว 1 ปีขึ้นไป โดย 5 หุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐที่น่าสนใจลงทุนในแง่ของคุณภาพที่ดี (วัดจากการคาดการณ์การเติบโตของกำไรในปีหน้าของกลุ่มนักวิเคราะห์ในสหรัฐ) ความเสี่ยงต่ำ (วัดจากค่า D/E ratio) และราคาไม่แพง (วัดจากค่า P/E ratio) ได้แก่ TMUS, ASML, META, NVDA และ GOOG
ผลการตรวจสอบความแม่นยำของการคาดการณ์
ผลการตรวจสอบความแม่นยำของการคาดการณ์ | NASDAQ | ASML | GOOG | META | NVDA | TMUS | ผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นที่ผู้เขียนแนะนำ |
ผลตอบแทนจากวันที่ทำการวิจัย | 7.7% | 47.9% | -3.1% | -11.7% | 40.3% | 14.4% | 17.6% |
ผลตอบแทนจากวันที่ตีพิมพ์ | 1.1% | 18.7% | -0.5% | 20.1% | 16.7% | -0.7% | 10.8% |
บทความนี้เป็นผลจากการศึกษาวิจัยและความเห็นส่วนตัวของเมธิณี วสุมดี ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจ ตลาดเงิน ตลาดทุนผ่านการประมวลผลข้อมูลด้วยแบบจำลอง machine learning ผู้เขียนไม่สามารถรับประกันได้ว่าความเห็นจะถูกต้องเสมอไปและนักลงทุนควรใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจลงทุนเองโดยที่ผู้เขียนไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง: การซื้อขายอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมด การซื้อขายอนุพันธ์แบบ OTC อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โปรดพิจารณาเอกสาร PDS, FSG, คำชี้แจงการเปิดเผยความเสี่ยงและข้อตกลงลูกค้าก่อนใช้บริการของเรา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โปรดทราบว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ในสินทรัพย์อ้างอิง