• ข่าวสาร
    ทั้งหมด
    Forex
    สินค้าโภคภัณฑ์
    ดัชนี
    คริปโต
    การวิเคราะห์ทางเทคนิค
    สุขภาพทางเศรษฐกิจ
    ชาติ
  • การวิเคราะห์
    ทั้งหมด
  • ปฏิทินทางเศรษฐกิจ
    ปฏิทินทางเศรษฐกิจ
  • บล็อก
    ทั้งหมด
    หุ้น
    สินค้าโภคภัณฑ์
    ดัชนี
    Forex
    สกุลเงินดิจิตอล
    การศึกษา
  • การศึกษา
    คอร์สการลงทุน
  • เกี่ยวกับเรา
    ทีมผู้เชี่ยวชาญ
    นโยบายกองบรรณาธิการ

    บทความยอดนิยม

    บทวิเคราะห์ยอดนิยม

    noData

    บทความยอดนิยมในบล็อก

    Mitrade Insights ทุ่มเทเพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลทางการเงินที่ครบถ้วน ทันเวลา และมีคุณค่ามากที่สุด เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสถานการณ์ตลาดและคว้าโอกาสในการซื้อขายได้ทันท่วงที
    honor1
    2021
    ผู้ให้บริการข่าวและการวิเคราะห์ที่ดีที่สุด
    FxDailyInfo
    honor2
    2022
    แหล่งข้อมูลการศึกษา Forex ที่ดีที่สุดทั่วโลก
    International Business Magazine

    5 อันดับหุ้นเทคโนโลยีอเมริกาที่น่าสนใจ เราควรจะเริ่มลงทุนได้หรือยัง

    5 นาที
    อัพเดทครั้งล่าสุด 27 ก.ค. 2566 06:53 น.

    ฉบับย่อ

    • ภาวะอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงอย่างมากตั้งแต่ต้นปี

    • อัตราเงินเฟ้อสหรัฐน่าจะชะลอตัวลงอย่างช้าๆ ตามการคาดการณ์ของเฟดและลดแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

    • ได้เวลาทยอยสะสมหุ้นคุณภาพดีเข้าพอร์ตแต่การถือครองควรเป็นระยะยาวแบบ 1 ปี ขึ้นไป

    • ผู้เขียนวิเคราะห์จากความคุ้มค่าด้านคุณภาพและราคาพร้อมกับความเสี่ยงของหุ้นพบว่า TMUS, ASML, META, NVDA และ GOOG เป็นหุ้นที่น่าสนใจ

    • ความเห็นนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐส่วนใหญ่เป็นไปในทางเดียวกันกับการวิเคราะห์ของผู้เขียน

    • ผลจากการตรวจสอบความแม่นยำของการคาดการณ์ย้อนหลังโดยนับจากวันที่บทวิจัยถูกตีพิมพ์ 31 ตุลาคม 2565 ไปจนถึงวันที่ 10 พฤษจิกายน 2565 หุ้นที่ผู้เขียนแนะนำให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย 10.8% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของดัชนี NASDAQ ที่ 1.1%

    ควรเริ่มลงทุนหุ้นกุล่มเทคโนโลยีได้หรือยัง

    หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ปรับลดลงอย่างมากในปีนี้โดยที่ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 ดัชนี Nasdaq100 ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมากได้ปรับตัวลดลง 32.8% ตั้งแต่ต้นปีโดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยส่วนใหญ่แล้วอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลให้บริษัทมีรายจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นและผู้บริโภคอาจมีแรงจูงใจในการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการน้อยลงเพราะสามารถนำเงินไปฝากธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ยสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีซึ่งอาจจะยังไม่สามารถนับได้ว่าเป็นสินค้าจำเป็นเท่าไรหนัก รายจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นพร้อมกับยอดขายที่อาจลดลงจึงส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทโดยตรง นอกจากนี้ธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยีนั้นมักมีการลงทุนวิจัยพัฒนาระบบนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งกว่าจะได้ผลสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ก็ต้องเป็นระยะยาว การที่ต้องลงทุนมากก่อนค่อยได้รายได้ที่หลังทำให้ไม่ค่อยเป็นที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนเท่าไรโดยเฉพาะในภาวะดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow) โดยการคำนวนมูลค่ากระแสเงินสดในอนาคตย้อนกลับมาเป็นมูลค่า ณ ปัจจุบัน รายได้ที่ว่ามากในอนาคตเมื่อคิดถอยกลับมาเป็นรายได้ในปัจจุบันอาจจะไม่ได้มากอย่างที่คิดก็ได้ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงมากหรือรายได้จะเข้ามาอยู่ในอนาคตที่ไกลมากซึ่งสุดท้ายก็จะส่งผลทำให้มูลค่าหุ้นในปัจจุบันลดลงไปตามหลักการประเมินมูลค่าหุ้นแบบลดกระแสเงินสด


    เหตุที่ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นก็เนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2565 จนถึงเดือนกันยายนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate ทั้งหมด 5 ครั้ง รวมทั้งหมด 3% เป็น 3%-3.25% เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ จากรายงานการประชุมเฟดในเดือนกันยายนที่ผ่านมา เฟดมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดด้วยแรงหนุนจากอัตราการว่างงานในสหรัฐที่ต่ำส่งผลให้ค่าแรงเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งราคาอาหารและน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นตั้งแต่เกิดเหตุระบาดของโรคโควิด นอกจากนี้สงครามยูเครนรัสเซียก็ยังส่งผลกดดันให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงไปอีก โดยเงินเฟ้อสหรัฐ (PCE inflation) เดือนสิงหาคมอยู่ที่ 6.2% ในขณะที่เฟดตั้งเป้าว่าเงินเฟ้อควรลดลงมาอยู่ที่ 5.4% ณ สิ้นปี 2565 และ 2% ในระยะยาว ตราบใดที่เงินเฟ้อยังไม่ลดไปสู่อัตราเป้าหมาย เฟดก็จะยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อไปซึ่งจะส่งแรงกดดันต่อตลาดหุ้นโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว


    16671813064503


    จากข้อมูลในอดีตเราจะพบว่าผลตอบแทน 1 ปีของดัชนี Nasdaq100 มีความสัมพันธ์เชิงผกผันกับอัตราเงินเฟ้อ เมื่อใดที่อัตราเงินเฟ้อสูงอัตราผลตอบแทนของดัชนีจะลดลงทันที ถ้าเราอยากรู้ว่าแล้วหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะปรับตัวขึ้นเมื่อไร เราก็สามารถคาดการ์ณได้จากอัตราเงินเฟ้อนี่เอง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อจะเป็นดัชนีชี้วัดหลักในการคาดการณ์ต่อไปว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อหรือไม่ มีความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงจนถึงอัตราเป้าหมายของเฟดจากสองปัจจัยคือ 1. ความพยายามของเฟดในการควบคุมเงินเฟ้อด้วยการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องน่าจะเริ่มส่งผลต่อพื้นฐานทางเศรษฐกิจแล้ว 2. ฐานดัชนีค่าครองชีพที่สูงในปีก่อนหน้าจะทำให้เงินเฟ้อ (เปอร์เซ็นต์การเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพโดยรวม) ปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มากนัก ดังนั้นจึงมีโอกาสที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะค่อยๆ ทรงตัวได้หลังจากที่ปรับลดลงมาอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เป็นโอกาสที่จะค่อยๆ ทยอยสะสมหุ้นคุณภาพดีเข้าพอร์ต แต่การถือครองควรเป็นระยะยาวแบบ 1 ปี ขึ้นไป และคงไม่สามารถคาดหวังที่จะทำกำไรในระยะสั้นได้เพราะยังคงมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่แน่นอนอยู่ เมื่อไรก็ตามที่ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะถูกเทขายทิ้งอีก


    16671813387248


    5 อันดับหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐที่น่าสนใจ

    ถ้านักลงทุนต้องการทยายซื้อสะสมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เรามาดูกันว่ามีหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจบ้าง โดยผู้เขียนได้ทำการศึกษาหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 12 อันดับแรกตาม market capitalization โดยคำนึงถือสามปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนคือคุณภาพ ความเสี่ยง และราคา


    1. คุณภาพ

    ผู้เขียนวัดคุณภาพของหุ้นโดยประเมินจากกำไรในการทำธุรกิจของบริษัทเป็นหลัก แต่ไม่ใช่กำไรที่ทำได้ในอดีต เพราะถือว่าผ่านไปแล้วและตลาดรับข่าวหมดแล้วโดยสะท้อนเข้าไปในราคาหุ้น ผู้เขียนใช้การคาดการณ์การทำกำไรในอนาคตซึ่งถูกคาดการ์ณโดยนักวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงเกี่ยวกับหุ้นแต่ละตัวในสหรัฐ การใช้นักวิเคราะห์เพียงแค่หนึ่งคนอาจทำให้มีความคลาดเคลื่อนสูง ผู้เขียนจึงใช้มติ (consensus) ของกลุ่มนักวิเคราะห์ทั้งหมดในการคาดการณ์เพื่อดูว่าในปีหน้าแต่ละบริษัทน่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานโดยเฉลี่ยเป็นเท่าไร 

     

    2. ความเสี่ยง

    ในภาวะเศรษฐกิจที่ดอกเบี้ยสูงเช่นนี้ธุรกิจที่มีเงินกู้มากจะมีรายจ่ายดอกเบี้ยที่สูงตามมาซึ่งส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทโดยตรง นอกจากนี้การมีหนี้สินมากก็จะมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น ทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้นไปอีกเพื่อชดเชยให้กับผู้ปล่อยกู้ที่ต้องแบบรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องดูอัตราหนี้สิ้นต่อทุน (debt to equity ratio หรือ D/E) เพื่อดูภาวะความเสี่ยงด้านการเงินของบริษัท การมีอัตราหนี้สินต่อทุนน้อยกว่า 1 ถือว่าบริษัทมีฐานะความมั่นคงทางการเงินที่ดีเพราะมีการใช้เงินทุนของบริษัทเองในการทำธุรกิจมากกว่าที่จะพึ่งพาเงินกู้จากภายนอก


    3. ราคา

    การที่จะดูว่าราคาหุ้นนั้นถูกหรือแพงเราจะดูจากราคาโดยตรงอย่างเดียวไม่ได้แต่ต้องดูราคาเทียบกับกำไรที่บริษัทสามารถทำได้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะดูจากค่า P/E ratio หรือราคาตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น ถ้าราคาหุ้นสูงแต่บริษัทสามารถทำกำไรได้ดีก็ไม่อาจจะเรียกได้ว่าหุ้นตัวนั้นๆ แพง ค่า P/E นั้นยิ่งต่ำยิ่งถือว่าหุ้นตัวนั้นถูก โดยส่วนใหญ่เราจะเปรียบเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกันที่มีลักษณะธุรกิจคล้ายกันเพื่อดูว่าหุ้นนั้นๆ ถูกหรือแพง  


    หุ้น

    จำนวนนักวิเคราะห์*

    คุณภาพ

    ความเสี่ยง

    ราคา

    ความคุ้มค่า

    ลำดับความคุ้มค่า

    คาดการณ์การเติบโตของกำไรในปีหน้า*

    อัตราหนี้สิ้นต่อทุน
    (D/E ratio)**

    ราคาตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น
    (
    P/E ratio)***

    คุณภาพ / ราคา


    TMUS

    18

    195.9%

    1.05

    97.04

    2.02%

    1

    ASML

    6

    34.0%

    0.57

    22.91

    1.48%

    2

    NVDA

    36

    31.5%

    0.41

    37.71

    0.84%

    4

    MSFT

    42

    17.8%

    0.28

    23.42

    0.76%

    6

    GOOG

    35

    15.2%

    0.06

    18.29

    0.83%

    5

    ORCL

    26

    13.6%

    -

    30.37

    0.45%

    9

    META

    48

    9.6%

    -

    10.56

    0.91%

    3

    AVGO

    23

    8.5%

    1.88

    18.62

    0.46%

    8

    CSCO

    23

    7.6%

    0.21

    13.93

    0.55%

    7

    AAPL

    39

    5.9%

    1.63

    22.83

    0.26%

    10

    VZ

    24

    1.0%

    1.56

    7.15

    0.14%

    11

    TSM

    5

    -0.9%

    0.31

    12.38

    -0.07%

    12

    *ข้อมูลจาก yahoo finance






    **D/E ratio ณ สิ้นไตรมาส 2 ปีงบประมาณ 2565





    ***trailing P/E ratio 13 ตุลาคม 2565






    จากการศึกษาหุ้นเทคโนโลยี 12 ตัวที่ใหญ่ที่สุดในตลาดสหรัฐโดยนับจากมูลค่าตลาด (market capitalization) พบว่าคุณภาพแปรผันไปในทิศทางเดียวกับราคา นั่นคือค่า P/E ratio จะยิ่งสูงสำหรับหุ้นของบริษัทที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่สูงในปีหน้าหรืออีกนัยหนึ่งคือหุ้นที่มีคุณภาพดีราคาจะสูง ผลการศึกษานี้บ่งบอกว่าราคาหุ้นนอกจากจะสะท้อนข้อมูลทางเศรษฐกิจและการดำเนินงานของบริษัทในอดีตแล้วยังสะท้อนการคาดการณ์ของอนาคตไว้แล้วด้วย บริษัทไหนที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่ดีในปีหน้าจะมีราคาที่สูงกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน


    16671813921139


    เมื่อหุ้นที่คาดว่าน่าจะดีราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นไปแล้ว แล้วเราควรจะเลือกลงทุนอย่างไรดี ผู้เขียนได้ลองคำนวนดูง่ายๆ โดยการใช้คุณภาพหารราคาตรงๆ  แล้วลองเรียกมันว่าอัตราความคุ้มค่า ความคุ้มค่ายิ่งมากก็ยิ่งดีคือหุ้นตัวนั้นคุณภาพดีแต่ราคาไม่ได้แพงมากจนทำให้ไม่น่าลงทุน แล้วลองเทียบดูกับหุ้นอื่นๆ เพื่อดูว่าตัวไหนน่าจะคุ้มค่าที่สุดเรียงลำดับลงมา พบว่าหุ้น 5 อันดับที่มีความคุ้มค่ามากที่สุดคือ TMUS, ASML, META, NVDA และ GOOG ตามลำดับ 


    เมื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงร่วมด้วยจะพบว่าทั้ง 5 บริษัทนี้มีค่า D/E ratio โดยเฉลี่ยที่ต่ำกว่าบริษัทอื่นๆ ที่ใช้ในการศึกษา (ยกเว้น META ที่ยังไม่มีข้อมูล D/E ratio) ทำให้มั่นใจได้เพิ่มมากขึ้นว่าบริษัทที่เราเรียกว่าคุ้มค่าในการลงทุนมากกว่าบริษัทอื่นนั้นไม่ได้มีความเสี่ยงทางการเงินที่มากเกินไป


    แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าหุ้น 5 ตัวที่เราเลือกมานั้นเราเลือกถูก ผู้เขียนจึงได้มีการศึกษาเพิ่มเติมโดยดูจากมติของกลุ่มนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐเพิ่มเติมและพบว่าคำแนะนำเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หุ้นที่เราเลือกมานั้นได้คะแนน (rating score) จากนักวิเคราะห์โดยเฉลี่ยสูงกว่าหุ้นตัวอื่นที่ไม่ได้เลือก โดยคะแนนจะมีค่าระหว่าง 0-4 โดย 4 ถือเป็นคะแนนสูงที่สุดและน่าลงทุนที่สุด 


    โดยหุ้น TMUS อันดับ 1 ที่เราเลือกมานั้นได้คะแนนจากกลุ่มนักวิเคราะห์มากถึง 3 โดยสูงที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นและกลุ่มนักวิเคราะห์มีมติแนะนำให้เลือกซื้อเก็บ (buy) แทนที่จะค่อยๆ ทยอยซื้อ (moderate buy) เหมือนหุ้นตัวอื่น ในทางตรงกันข้ามหุ้น VZ ที่เราให้ระดับความคุ้มค่าที่ 11  นั้น กลุ่มนักวิเคราะห์ได้ให้คะแนนต่ำที่สุดที่ 2.14 และให้คำแนะนำถือ (hold) มากกว่าซื้อเก็บหรือทยอยซื้อ โดยหุ้น VZ นั้นถึงแม้ว่าราคาจะถูกคือมีค่า P/E ratio ต่ำที่ 7.15 แต่ก็มีการคาดการณ์ว่ากำไรจะมีอัตราการเติบโตที่ต่ำเช่นเดียวกันอยู่ที่แค่ 1% ในขณะที่มีความเสี่ยงทางการเงินค่อนข้างสูงด้วยระดับ D/E ratio ที่ 1.56 หรือในอีกมุมหนึ่งคือบริษัทมีหนี้ค่อนข้างมากและจำเป็นต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้


    หุ้น

    ลำดับความคุ้มค่า*

    คำแนะนำ**
    (consensus recommendation)

    คะแนน**
    (rating score)

    ราคาเป้าหมาย**
    (target price)

    ส่วนต่างจากราคาปัจจุบัน***
    (upside)

    TMUS

    1

    buy

    3.00

    $171

    29%

    ASML

    2

    moderate buy

    2.77

    $699

    76%

    META

    3

    moderate buy

    2.69

    $244

    97%

    NVDA

    4

    moderate buy

    2.74

    $214

    86%

    GOOG

    5

    moderate buy

    2.95

    $157

    60%

    MSFT

    6

    moderate buy

    2.91

    $327

    45%

    CSCO

    7

    hold

    2.45

    $54

    37%

    AVGO

    8

    moderate buy

    2.92

    $675

    57%

    ORCL

    9

    hold

    2.33

    $89

    39%

    AAPL

    10

    moderate buy

    2.71

    $180

    31%

    VZ

    11

    hold

    2.14

    $53

    49%

    TSM

    12

    moderate buy

    2.63

    $120

    87%

    *ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน

    **ข้อมูล analyst consensus จาก marketbeat

    ***คิดเทียบจากราคา ณ 13 ตุลาคม 2565


    ที่นี้เรามาดูกันว่าหุ้นทั้ง 5 ตัวที่เราเลือกมานั้นคือหุ้นอะไร

    1. TMUS หรือ T-Mobile US, Inc. เป็นบริษัทที่ให้บริการเครือข่ายไร้สายของสหรัฐโดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือบริษัทโทรคมนาคมของเยอรมัน

    2. ASML หรือ ASML Holding N.V. บริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์ที่พัฒนาและผลิตเครื่องฉายแสงลงบนแผ่นชิปสำหรับใช้ในชิปมือถือและคอมพิวเตอร์

    3. META หรือ Meta Platforms, Inc. หรือ facebook ในอดีต โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทรวมไปถึง facebook, instragram, WhatsApp เป็นต้น

    4. NVDA หรือ NVIDIA Corporation บริษัทซอฟแวร์สหรัฐที่เริ่มก่อตั้งโดยชาวไต้หวันโดยมีจุดเด่นคือการผลิตการ์ดจอที่ได้รับความนิยมในตลาดเกม

    5. GOOG หรือ Alphabet Inc. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ google ที่ได้เริ่มต้นธุรกิจด้วยการให้บริการ search engine 


    กล่าวโดยสรุปคือราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ปรับลดลงมามากด้วยแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงจากการที่เฟดต้องการควบคุมเงินเฟ้อ ถ้าเงินเฟ้อเริ่มลดลงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะสามารถทรงตัวได้ซึ่งถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้ซื้อสะสมเพื่อการลงทุนในระยะยาว 1 ปีขึ้นไป โดย 5 หุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐที่น่าสนใจลงทุนในแง่ของคุณภาพที่ดี (วัดจากการคาดการณ์การเติบโตของกำไรในปีหน้าของกลุ่มนักวิเคราะห์ในสหรัฐ) ความเสี่ยงต่ำ (วัดจากค่า D/E ratio) และราคาไม่แพง (วัดจากค่า P/E ratio) ได้แก่ TMUS, ASML, META, NVDA และ GOOG


    ผลการตรวจสอบความแม่นยำของการคาดการณ์

    ผลการตรวจสอบความแม่นยำของการคาดการณ์

    NASDAQ

    ASML

    GOOG

    META

    NVDA

    TMUS

    ผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นที่ผู้เขียนแนะนำ

    ผลตอบแทนจากวันที่ทำการวิจัย
    14 ตุลาคม ถึง 10 พฤษจิกายน 2565

    7.7%

    47.9%

    -3.1%

    -11.7%

    40.3%

    14.4%

    17.6%

    ผลตอบแทนจากวันที่ตีพิมพ์
    31 ตุลาคม ถึง 10 พฤษจิกายน 2565

    1.1%

    18.7%

    -0.5%

    20.1%

    16.7%

    -0.7%

    10.8%

    วิธีเทรดหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ

    ตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกามีการปรับตัวสูงอย่างดุเดือด โดยได้รับอิทธิพลหลัก ๆ มาจากหุ้นเทคโนโลยีตัวท็อปที่มีคุณภาพสูงและมีโอกาสน่าลงทุนสูง ดังนั้น แล้วเราจะซื้อหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพสูงเหล่านี้ได้อย่างไร? ทำได้ 2 วิธี โดยวิธีที่หนึ่งคือซื้อโดยตรงผ่านโบรกเกอร์ และอีกวิธีคือซื้อผ่านสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD)


    เมื่อเทียบกับการซื้อผ่านโบรกเกอร์แบบดั้งเดิม การเทรด CFD จะไม่คิดค่าธรรมเนียมการจัดการสำหรับการซื้อหุ้น และให้เลเวอเรจที่ดีเยี่ยม ยกตัวอย่างเช่นที่ Mitrade ด้วยเลเวอเรจ 10 เท่า มีค่าใช้จ่ายเพียง $44.6 สำหรับการซื้อ NVDA หนึ่ง Lot วิธีนี้จึงช่วยประหยัดต้นทุนการทำธุรกรรมได้อย่างมาก และเมื่อขายหุ้นได้กำไรคุณจะได้กำไรเป็น 10 เท่า


    อย่างไรก็ตาม เลเวอเรจมาพร้อมกับความเสี่ยง จึงขอแนะนำว่า มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นควรเริ่มซื้อขายด้วยเลเวอเรจ 2 เท่าเพื่อป้องกันการสูญเสียที่เกิดจากการลดลงของหุ้น

    รูปภาพที่แสดง อินเทอร์เฟซการทำธุรกรรมของ NVIDIA


    ห้ามพลาด!! รับ BONUS ฟรี 100 USD

    ค่าคอมมิชชั่น 0 สเปรดต่ำ เลเวอเรจที่ยืดหยุ่น 1x/2x/5x/10x


    illustration

    บทความนี้เป็นผลจากการศึกษาวิจัยและความเห็นส่วนตัวของเมธิณี วสุมดี ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจ ตลาดเงิน ตลาดทุนผ่านการประมวลผลข้อมูลด้วยแบบจำลอง machine learning ผู้เขียนไม่สามารถรับประกันได้ว่าความเห็นจะถูกต้องเสมอไปและนักลงทุนควรใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจลงทุนเองโดยที่ผู้เขียนไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้


    *** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


    การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

    บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
    บทความที่เกี่ยวข้อง
    notDataไม่พบข้อมูล
    ราคาเสนอแบบเรียลไทม์
    ราคาเสนอแบบเรียลไทม์