เข้าปีใหม่แล้ว หลายคนเพิ่งได้รับโบนัส หลายคนกำลังตั้งเป้าหมายการเงินปี 2023 นี้จะเริ่มลงทุนในหุ้นต่างประเทศ อย่างหุ้นอเมริกา เพราะว่าปัจจุบันความน่าสนใจของหุ้นไทยในแง่มูลค่าของหุ้น (Valuation) และการเติบโตของรายได้บริษัทใหญ่ๆ น้อยกว่าหุ้นต่างประเทศ และจากสถิตพบว่าดัชนีหุ้น 90 ปีย้อนหลังของ S&P 500 (หุ้นอเมริกา 500 ตัว) มีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 9.4% ผ่านทั้งภาวะตลาดขาขึ้น ขาลง และภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าการลงทุนระยะยาวในหุ้นบริษัทชั้นนำของโลกให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจมากๆ ประกอบกับตลาดหุ้นประเทศอเมริกา เป็นประเทศที่ขนาดตลาดหุ้นใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นมูลค่าตลาดกว่า 60% ของโลก และบริษัทชั้นนำของโลกต่างก็จดทะเบียนอยู่ในอเมริกา ตัวอย่าง บริษัทที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น Facebook Microsoft Tesla และ Coca cola เป็นต้น
และช่วงที่ผ่านมีข่าวดี มากมายอย่างเช่น ธนาคารกลางสหรัฐมีทิศทางผ่อนปรน และมีนโยบายเชิงผ่อนคลายมากขึ้นส่งผลให้ตลาดหุ้นอเมริกามีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทิศทางของอัตราเงินเฟ้อก็ดูลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจจะเป็นให้ภาวะตลาดหุ้นอเมริกากลับมาคึกคัก เข้าสู่ภาวะ Risk on อีกครั้ง (Risk on คือการเข้าสู่โหมดที่คนรับความเสี่ยงได้มากขึ้นย้ายเงินจากบัญชีเงินฝากมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น)
บทความนี้ผมจะมาแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักตลาดหุ้นอเมริกาอย่างลึกซึ่งมากยิ่งขึ้นมารู้จักตลาดหุ้นอเมริกากันเลย!!!
ที่อเมริกามีตลาดหุ้นหลักถึง 3 แห่ง ซึ่งทั้งสองแห่งยังเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
1.ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange : NYSE)
เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา อาคารของตลาดหลักทรัพย์ตั้งอยู่มุมถนนวอลล์สตรีท (Wall Street) จึงมักเรียกกันว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และมีรูปปั้นกระทิงเป็นสัญลักษณ์ตั้งอยู่ตรงมุมถนนวอลล์สตรีท ก่อตั้ง เมื่อ 17 พฤษภาคม 1792 ปัจจุบันมีจำนวนบริษัทจดทะเบียน 7,060 บริษัท เป็นตลาดหุ้นเบอร์หนึ่งของโลก
2.ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq Stock Exchange : Nasdaq)
เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งที่สองของสหรัฐอเมริกา เป็นแห่งแรกที่ซื้อขายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้ง เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 1971 ปัจจุบันมีจำนวนบริษัทจดทะเบียน 4,178 บริษัท
หุ้นชั้นนำส่วนใหญ่ที่เรารู้จักจดทะเบียนที่ตลาด Nasdaq เต็มไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำของโลก
นอกจากตลาดหลักทรัพย์หลักแล้ว ที่อเมริกายังมีตลาดหลักทรัพย์อีกหลายแห่งที่เปิดในอเมริกา เช่น
3. American Stock Exchange (AMEX)
เป็นตลาดหลักทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับสามของอเมริกา ก่อตั้งเมื่อ 1908 ในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และในปี 2008 ตลาดหุ้น NYSE ได้มาซื้อกิจการ AMEX ปัจจุบันรู้จักในนาม NYSE America ส่วนใหญ่ซื้อขายเป็นหุ้นขนาดเล็กของอเมริกา
1.ประเทศอเมริกาเป็นประเทศเบอร์หนึ่งของเศรษฐกิจโลก และมีนโยบายการเงินที่แข็งแกร่ง
เราจะเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของโลก และนโยบายการเงินที่สำคัญของโลกมาจากประเทศอเมริกา ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เป็นธนาคารกลางที่คอยชี้นำทิศทางเศรษฐกิจโลก และมีการนโยบายการเงินเชิงรุกมากกว่าเดิม และทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ปรับนโยบายไปใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของแต่ละประเทศนั้นๆ ประกอบกับประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่จะขึ้นตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และตลาดหุ้นฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ หรือภาวะตลาดขาลง
2. มีหุ้นชั้นนำของโลก ต่างจดทะเบียนซื้อขายกันอยู่ในตลาดหุ้นอเมริกา
ปัจจุบันเทคโนโลยีมีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น เข้ามาเป็นปัจจัย 4 ในการดำเนินชีวิตประจำวันและหุ้นเทคโนโลยี หลายแห่งปัจจุบันมีมูลค่าหุ้นเป็นอันดับสูงสุดของโลก ตัวอย่าง หุ้นที่เราคุ้นเคย อย่าง Apple, Amazon, Alphabet, Netflix และ Tesla เป็นต้น รวมไปถึงหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกต่างก็จดทะเบียนอยู่ในอเมริกา เช่น กลุ่มค้าปลีก Walmart, Home Depot กลุ่มยา Pfizer, Moderna ของกินทั่วไป Coke, Pepsi, Starbuck ต่างเป็นแบรนด์ชั้นนำที่ทั่วโลกได้ใช้ เพราะบริษัทที่จดทะเบียนในอเมริกาต่างเป็นบริษัทระดับโลก และมีฐานลูกค้า คนใช้งานทั่วโลก ทำให้มีบริษัทมากมายที่เราสามารถลงทุนได้ บริษัทเหล่านี้เป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกในกลุ่มต่างๆ มีการเงินที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการแข่งขันธุรกิจสูง
3.ปี 2023 ตลาดหุ้นปรับฐานกว่า 20-30% เป็นโอกาสที่ดี
ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นอเมริกามีการปรับฐานตามภาวะของความกังวลสงคราม ยูเครน-รัสเซีย ภาวะโรคระบาด และภาวะอัตราเงินเฟ้อที่เติบโตจาก กลุ่มพลังงานที่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ เศรษฐกิจถดถอย
แต่พอเปิดปี 2023 พบว่า ราคากลุ่มพลังงานไม่ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ และตัวเลขเงินเฟ้อ ก็มีแนวโน้มลดลงๆเรื่อยๆ และจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ผ่าน หุ้นอเมริกาส่วนใหญ่ เกินกว่า 50% ได้รายงาน ส่วนรายได้และผลกำไร บริษัท ที่ดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ และจากสถิติ ถ้าหุ้นลง แต่กำไรบริษัทต่างๆ ยังดีอยู่ ถ้าสถานการณ์กลับมาปกติ สุดท้ายหุ้นก็จะสะท้อนและเติบโตขึ้นตามผลกำไรของบริษัท
แทบทุกวัน ถ้าเราตามข่าวตลาดจะพบว่า นักวิเคราะห์การลงทุนจะคอยอัพเดทตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ และดัชนีหลักสำคัญของโลก หนึ่งในนั้นก็เป็นดัชนีหุ้นอเมริกาหลักๆ 4 ตัว ได้แก่
1.Dow Jones
ชื่อเต็มคือ Dow Jones Industrial Average (DJIA) เป็นดัชนีเก่าแก่ที่สุดในตลาดหุ้นอเมริกา ดัชนีนี้จะถูกคำนวณจากราคาของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีผลการดำเนินงานมั่นคง เป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมและเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ จำนวน 30 ตัว ที่ซื้อขายกันทั้งในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก NYSE และตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก Nasdaq เช่น หุ้น Apple Coca-Cola และ Goldman Sachs
2. Nasdaq
ชื่อเต็มคือ Nasdaq Composite เป็นเดิมตลาดสำหรับหุ้นขนาดเล็ก-กลาง ที่ไม่สามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กได้ โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยี จนปัจจุบันมีหุ้นเหล่านั้นกลายเป็นหุ้นชั้นนำของโลกในวันนี้ เนื่องจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีนั่นเอง เช่น หุ้น Apple Amazon Alphabet Microsoft และ Tesla เป็นต้น
3.S&P500
เป็นดัชนีที่ได้ถูกสร้างขึ้น เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 1957 โดย เป็น บริษัท Standard and Poor’s เป็นบริษัทการเงินและการให้อันดับคำนวณมาจากหุ้นใหญ่ 500 ตัว ทั้งในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก NYSE และตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก Nasdaq ต้องผ่านเกณฑ์ด้านมูลค่าซื้อขาย สภาพคล่องต่างๆ โดยมูลค่าของบริษัทใน S&P 500 คิดเป็น 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด เช่น หุ้น Apple, Amazon, Alphabet, Microsoft และ Tesla เป็นต้น
4.Russell 2000
เป็นดัชนีตัวแทนของหุ้นขนาดเล็ก 2,000 บริษัท ในอเมริกา จัดทำโดย FTSE Russell ถูกสร้างขึ้น เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 1984 เช่น หุ้น Avis,Crorcs,Macys เป็นต้น
เพิ่มเติมการคำนวณดัชนี Dow Jones จะได้มาจากการคำนวณค่าเฉลี่ยของราคาหุ้น หุ้นที่ราคาสูง จึงมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่าปกติ ต่างจากดัชนี Nasdaq, S&P 500 และ Russell 2000 ที่คำนวณมาการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดของบริษัท ในมุมมองของนักลงทุน ดัชนี S&P 500 จึงได้รับการยอมรับให้เป็นตัวแทนของตลาดการลงทุนของสหรัฐอเมริกาที่ดีที่สุด เนื่องจากครอบคลุมหุ้นจากหลากหลายบริษัทและอุตสาหกรรม
บทความนี้ทำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักหุ้นอเมริกามากยิ่งขึ้น และเหตุผลว่าทำไมต้องมีหุ้นอเมริกาไว้ในพอร์ตการลงทุน และให้เพื่อนๆ มีโอกาสได้สะสมหุ้นอเมริกาในช่วงที่มีการปรับฐานลงมา ให้เข้าไปสะสมลงทุนระยะยาว และเติบโตไปกลับภาวะเศรษฐกิจของโลกที่กำลังจะดีขึ้น ขอให้เพื่อนๆ มีความสุขกับการลงทุนในหุ้นอเมริกานะครับ
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง: การซื้อขายอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมด การซื้อขายอนุพันธ์แบบ OTC อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โปรดพิจารณาเอกสาร PDS, FSG, คำชี้แจงการเปิดเผยความเสี่ยงและข้อตกลงลูกค้าก่อนใช้บริการของเรา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โปรดทราบว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ในสินทรัพย์อ้างอิง