มาทำความรู้จักตลาดหุ้นอเมริกามีอะไรบ้าง ทำไมถึงน่าลงทุน?

2 นาที
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหุ้น
อัพเดทครั้งล่าสุด 09 พ.ค. 2566 09:44 น.
ผู้เขียน

เข้าปีใหม่แล้ว หลายคนเพิ่งได้รับโบนัส หลายคนกำลังตั้งเป้าหมายการเงินปี 2023 นี้จะเริ่มลงทุนในหุ้นต่างประเทศ อย่างหุ้นอเมริกา เพราะว่าปัจจุบันความน่าสนใจของหุ้นไทยในแง่มูลค่าของหุ้น (Valuation) และการเติบโตของรายได้บริษัทใหญ่ๆ น้อยกว่าหุ้นต่างประเทศ และจากสถิตพบว่าดัชนีหุ้น 90 ปีย้อนหลังของ S&P 500 (หุ้นอเมริกา 500 ตัว) มีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 9.4% ผ่านทั้งภาวะตลาดขาขึ้น ขาลง และภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าการลงทุนระยะยาวในหุ้นบริษัทชั้นนำของโลกให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจมากๆ ประกอบกับตลาดหุ้นประเทศอเมริกา เป็นประเทศที่ขนาดตลาดหุ้นใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นมูลค่าตลาดกว่า 60% ของโลก และบริษัทชั้นนำของโลกต่างก็จดทะเบียนอยู่ในอเมริกา ตัวอย่าง บริษัทที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น Facebook Microsoft Tesla และ Coca cola เป็นต้น 


และช่วงที่ผ่านมีข่าวดี มากมายอย่างเช่น ธนาคารกลางสหรัฐมีทิศทางผ่อนปรน และมีนโยบายเชิงผ่อนคลายมากขึ้นส่งผลให้ตลาดหุ้นอเมริกามีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทิศทางของอัตราเงินเฟ้อก็ดูลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจจะเป็นให้ภาวะตลาดหุ้นอเมริกากลับมาคึกคัก เข้าสู่ภาวะ Risk on อีกครั้ง (Risk on คือการเข้าสู่โหมดที่คนรับความเสี่ยงได้มากขึ้นย้ายเงินจากบัญชีเงินฝากมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น) 


บทความนี้ผมจะมาแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักตลาดหุ้นอเมริกาอย่างลึกซึ่งมากยิ่งขึ้นมารู้จักตลาดหุ้นอเมริกากันเลย!!!

ตลาดหุ้นอเมริกามีกี่ตลาด? มีอะไรบ้าง?

ที่อเมริกามีตลาดหุ้นหลักถึง 3 แห่ง ซึ่งทั้งสองแห่งยังเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย 


1.ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก  (New York Stock Exchange : NYSE)  

เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา อาคารของตลาดหลักทรัพย์ตั้งอยู่มุมถนนวอลล์สตรีท (Wall Street) จึงมักเรียกกันว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และมีรูปปั้นกระทิงเป็นสัญลักษณ์ตั้งอยู่ตรงมุมถนนวอลล์สตรีท ก่อตั้ง เมื่อ 17 พฤษภาคม 1792  ปัจจุบันมีจำนวนบริษัทจดทะเบียน 7,060 บริษัท  เป็นตลาดหุ้นเบอร์หนึ่งของโลก


2.ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก  (Nasdaq Stock Exchange : Nasdaq) 

เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งที่สองของสหรัฐอเมริกา เป็นแห่งแรกที่ซื้อขายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งอยู่ในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้ง เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 1971  ปัจจุบันมีจำนวนบริษัทจดทะเบียน 4,178 บริษัท 


หุ้นชั้นนำส่วนใหญ่ที่เรารู้จักจดทะเบียนที่ตลาด Nasdaq เต็มไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำของโลก


นอกจากตลาดหลักทรัพย์หลักแล้ว ที่อเมริกายังมีตลาดหลักทรัพย์อีกหลายแห่งที่เปิดในอเมริกา เช่น 


3. American Stock Exchange (AMEX) 

เป็นตลาดหลักทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับสามของอเมริกา ก่อตั้งเมื่อ 1908 ในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และในปี 2008 ตลาดหุ้น NYSE ได้มาซื้อกิจการ AMEX ปัจจุบันรู้จักในนาม NYSE America ส่วนใหญ่ซื้อขายเป็นหุ้นขนาดเล็กของอเมริกา

3 เหตุที่ต้องมีหุ้นอเมริกาในพอร์ตลงทุน

1.ประเทศอเมริกาเป็นประเทศเบอร์หนึ่งของเศรษฐกิจโลก และมีนโยบายการเงินที่แข็งแกร่ง

เราจะเห็นได้ว่าอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของโลก และนโยบายการเงินที่สำคัญของโลกมาจากประเทศอเมริกา ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เป็นธนาคารกลางที่คอยชี้นำทิศทางเศรษฐกิจโลก และมีการนโยบายการเงินเชิงรุกมากกว่าเดิม และทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ปรับนโยบายไปใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของแต่ละประเทศนั้นๆ ประกอบกับประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่จะขึ้นตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และตลาดหุ้นฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ หรือภาวะตลาดขาลง


2. มีหุ้นชั้นนำของโลก ต่างจดทะเบียนซื้อขายกันอยู่ในตลาดหุ้นอเมริกา

ปัจจุบันเทคโนโลยีมีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น เข้ามาเป็นปัจจัย 4 ในการดำเนินชีวิตประจำวันและหุ้นเทคโนโลยี หลายแห่งปัจจุบันมีมูลค่าหุ้นเป็นอันดับสูงสุดของโลก ตัวอย่าง หุ้นที่เราคุ้นเคย อย่าง Apple, Amazon, Alphabet, Netflix และ Tesla เป็นต้น รวมไปถึงหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกต่างก็จดทะเบียนอยู่ในอเมริกา เช่น กลุ่มค้าปลีก Walmart, Home Depot กลุ่มยา Pfizer, Moderna ของกินทั่วไป Coke, Pepsi, Starbuck ต่างเป็นแบรนด์ชั้นนำที่ทั่วโลกได้ใช้ เพราะบริษัทที่จดทะเบียนในอเมริกาต่างเป็นบริษัทระดับโลก และมีฐานลูกค้า คนใช้งานทั่วโลก ทำให้มีบริษัทมากมายที่เราสามารถลงทุนได้ บริษัทเหล่านี้เป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกในกลุ่มต่างๆ มีการเงินที่แข็งแกร่ง และความสามารถในการแข่งขันธุรกิจสูง 


3.ปี 2023 ตลาดหุ้นปรับฐานกว่า 20-30% เป็นโอกาสที่ดี 

ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นอเมริกามีการปรับฐานตามภาวะของความกังวลสงคราม ยูเครน-รัสเซีย ภาวะโรคระบาด และภาวะอัตราเงินเฟ้อที่เติบโตจาก กลุ่มพลังงานที่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ เศรษฐกิจถดถอย


แต่พอเปิดปี 2023 พบว่า ราคากลุ่มพลังงานไม่ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ และตัวเลขเงินเฟ้อ ก็มีแนวโน้มลดลงๆเรื่อยๆ และจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ผ่าน หุ้นอเมริกาส่วนใหญ่ เกินกว่า 50% ได้รายงาน ส่วนรายได้และผลกำไร บริษัท ที่ดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ และจากสถิติ ถ้าหุ้นลง แต่กำไรบริษัทต่างๆ ยังดีอยู่ ถ้าสถานการณ์กลับมาปกติ สุดท้ายหุ้นก็จะสะท้อนและเติบโตขึ้นตามผลกำไรของบริษัท 

ลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา ต้องรู้ดัชนีหลักของหุ้นอเมริกาอะไรบ้าง?

แทบทุกวัน ถ้าเราตามข่าวตลาดจะพบว่า นักวิเคราะห์การลงทุนจะคอยอัพเดทตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ และดัชนีหลักสำคัญของโลก หนึ่งในนั้นก็เป็นดัชนีหุ้นอเมริกาหลักๆ 4 ตัว ได้แก่


1.Dow Jones

ชื่อเต็มคือ Dow Jones Industrial Average (DJIA) เป็นดัชนีเก่าแก่ที่สุดในตลาดหุ้นอเมริกา ดัชนีนี้จะถูกคำนวณจากราคาของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีผลการดำเนินงานมั่นคง เป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมและเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ จำนวน 30 ตัว ที่ซื้อขายกันทั้งในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก NYSE และตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก Nasdaq เช่น หุ้น Apple Coca-Cola และ Goldman Sachs


2. Nasdaq

ชื่อเต็มคือ Nasdaq Composite เป็นเดิมตลาดสำหรับหุ้นขนาดเล็ก-กลาง ที่ไม่สามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กได้ โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยี จนปัจจุบันมีหุ้นเหล่านั้นกลายเป็นหุ้นชั้นนำของโลกในวันนี้ เนื่องจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีนั่นเอง เช่น หุ้น Apple Amazon Alphabet Microsoft และ Tesla เป็นต้น


3.S&P500

เป็นดัชนีที่ได้ถูกสร้างขึ้น เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 1957 โดย เป็น บริษัท Standard and Poor’s เป็นบริษัทการเงินและการให้อันดับคำนวณมาจากหุ้นใหญ่ 500 ตัว ทั้งในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก NYSE และตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก Nasdaq ต้องผ่านเกณฑ์ด้านมูลค่าซื้อขาย สภาพคล่องต่างๆ โดยมูลค่าของบริษัทใน S&P 500 คิดเป็น 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกาทั้งหมด เช่น หุ้น Apple, Amazon,  Alphabet, Microsoft และ Tesla เป็นต้น


4.Russell 2000

เป็นดัชนีตัวแทนของหุ้นขนาดเล็ก 2,000 บริษัท ในอเมริกา จัดทำโดย FTSE Russell ถูกสร้างขึ้น เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 1984 เช่น หุ้น Avis,Crorcs,Macys เป็นต้น

   

เพิ่มเติมการคำนวณดัชนี Dow Jones จะได้มาจากการคำนวณค่าเฉลี่ยของราคาหุ้น หุ้นที่ราคาสูง จึงมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่าปกติ ต่างจากดัชนี Nasdaq, S&P 500 และ Russell 2000 ที่คำนวณมาการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดของบริษัท ในมุมมองของนักลงทุน ดัชนี S&P 500 จึงได้รับการยอมรับให้เป็นตัวแทนของตลาดการลงทุนของสหรัฐอเมริกาที่ดีที่สุด เนื่องจากครอบคลุมหุ้นจากหลากหลายบริษัทและอุตสาหกรรม

บทความนี้ทำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักหุ้นอเมริกามากยิ่งขึ้น และเหตุผลว่าทำไมต้องมีหุ้นอเมริกาไว้ในพอร์ตการลงทุน และให้เพื่อนๆ มีโอกาสได้สะสมหุ้นอเมริกาในช่วงที่มีการปรับฐานลงมา ให้เข้าไปสะสมลงทุนระยะยาว และเติบโตไปกลับภาวะเศรษฐกิจของโลกที่กำลังจะดีขึ้น ขอให้เพื่อนๆ มีความสุขกับการลงทุนในหุ้นอเมริกานะครับ


*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา


การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?
ราคาเสนอแบบเรียลไทม์

คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง: การซื้อขายอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมด การซื้อขายอนุพันธ์แบบ OTC อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โปรดพิจารณาเอกสาร PDS, FSG, คำชี้แจงการเปิดเผยความเสี่ยงและข้อตกลงลูกค้าก่อนใช้บริการของเรา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โปรดทราบว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ในสินทรัพย์อ้างอิง

ขยาย