ฟิวเจอร์สดัชนี Dow Jones ชี้ให้เห็นถึงการเปิดตลาดที่ติดลบเล็กน้อยในวันอังคาร หลังจากที่มีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในวันจันทร์ ตลาดฟิวเจอร์สคาดการณ์การลดลง 0.15% ใน DJIA ขณะที่ฟิวเจอร์สดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.15% และ S&P เคลื่อนไหวทรงตัวก่อนเปิดตลาด
นักลงทุนยังคงระมัดระวังต่อความเสี่ยงท่ามกลางนโยบายการค้าของทรัมป์ที่ไม่แน่นอน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งจดหมายไปยังประเทศต่างๆ รวมถึงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ยืนยันการเก็บภาษี 25% ต่อคู่ค้าสำคัญอันดับสองและสามของสหรัฐฯ ในเอเชีย
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เลื่อนวันเริ่มการบังคับใช้ไปเป็นวันที่ 1 สิงหาคม และเปิดโอกาสสำหรับการปรับเปลี่ยนหากมีการบรรลุข้อตกลงการค้า ซึ่งทำให้ตลาดสงสัยว่าภาษีใดจะถูกนำมาใช้และเมื่อไหร่
การพัฒนาล่าสุดเกี่ยวกับภาษีได้ช่วยลดความรู้สึกเสี่ยงที่เห็นในวันจันทร์ ซึ่งทำให้ดัชนี Dow Jones ลดลงเกือบ 1% ขยายการกลับตัวจากระดับสูงสุดในรอบสี่เดือนที่เกิน 44,800 ลงไปที่ระดับต่ำสุดในเซสชั่นที่ต่ำกว่า 44,200
บรรยากาศตลาดที่ไม่ดีนี้กำลังสนับสนุนดอลลาร์สหรัฐที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งยังคงมีแนวโน้มที่ดีในวันอังคาร โดยดัชนี USD เคลื่อนไหวใกล้ 97.00 ได้รับการสนับสนุนจากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่เพิ่มขึ้น
ดาวโจนส์ (DJIA) คือมาตรวัดคาเฉลี่ยของบริษัทในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ดาวโจนส์รวบรวมจากหุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุด 30 อันดับในสหรัฐฯ และจะถ่วงน้ำหนักด้วยการเคลื่อนไหวของราคามากกว่าถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตามราคาตลาด คำนวณโดยการรวมราคาของหุ้นที่เป็นส่วนประกอบแล้วหารด้วยตัวคูณซึ่งปัจจุบันคือ 0.152 ดัชนีนี้ก่อตั้งโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ผู้ก่อตั้ง วารสารวอลล์สตรีท (Wall Street Journal) ในช่วงหลายปีต่อมา มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าดาวโจนส์ไม่ได้เป็นตัวแทนของสินทรัพย์ในวงกว้างเพียงพอ เนื่องจากอ้างอิงการเคลื่อนของกลุ่มบริษัทเพียง 30 กลุ่มเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากดัชนีอ้างอิงข้อมูลจากบริษัทที่มีจำนวนมากกว่าอย่างเช่น S&P 500
ปัจจัยที่แตกต่างกันมากมายผลักดันการเคลื่อนไหวของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ประสิทธิภาพโดยรวมของบริษัท, รายละเอียดที่เปิดเผยในรายงานผลประกอบการของบริษัทรายไตรมาสถือเป็นมาตรวัดประสิทธิภาพหลัก ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกยังมีส่วนช่วยเช่นกัน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ระดับของอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังมีอิทธิพลต่อ DJIA เนื่องจากส่งผลต่อต้นทุนสินเชื่อ ซึ่งหลายๆ บริษัทต้องพึ่งพาอย่างมาก ดังนั้น อัตราเงินเฟ้ออาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้เช่นเดียวกับตัวชี้วัดอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ทฤษฎีดาวเป็นวิธีการในการระบุแนวโน้มหลักของตลาดหุ้นที่พัฒนาโดย ชาร์ลส ดาว (Charles Dow) ขั้นตอนสำคัญคือการเปรียบเทียบทิศทางของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) และ ค่าเฉลี่ยการขนส่งดาวโจนส์ (DJTA) และติดตามเฉพาะแนวโน้มที่ทั้งคู่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ,uปริมาณเป็นเกณฑ์ยืนยัน ทฤษฎีนี้ใช้องค์ประกอบของการวิเคราะห์จุดสูงสุดและต่ำสุด ทฤษฎีของดาวโจนส์ (Dow) แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสะสม เมื่อนักลงทุนเริ่มซื้อขายปลกเปลี่ยน ระยะการมีส่วนร่วมของประชาชน เมื่อประชาชนในวงกว้างเข้ามามีส่วนร่วมลงทุน และระยะกระจายตัวเมื่อเงินเงินของนักลงทุนออกจากตลาดไป
มีหลายวิธีในการลงทุนกับ DJIA หนึ่งคือการลงทุนผ่าน ETF ซึ่งอนุญาตให้นักลงทุนซื้อขาย DJIA เป็นหลักทรัพย์เดียว แทนที่จะต้องซื้อหุ้นในบริษัทที่เป็นส่วนประกอบทั้งหมด 30 แห่ง ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ กองทุน SPDR , ETF ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DIA) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของ DJIA ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรมูลค่าในอนาคตของดัชนีแลออปชัน แต่ไม่ใช่ข้อผูกมัดในการซื้อหรือขายดัชนีในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในอนาคต กองทุนรวมช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายของหุ้น DJIA ซึ่งทำให้เกิดโอกาสการลงทุนในดัชนี
การซื้อขาย