ดอลลาร์มีปฏิกิริยาที่ไม่รุนแรงต่อข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน การเคลื่อนไหวของราคาอยู่ในกรอบการซื้อขายที่จำกัดในช่วงสี่วันที่ผ่านมา โดยความพยายามในการปรับตัวขึ้นไม่สามารถทะลุผ่านระดับ 99.00 ได้
สองเศรษฐกิจใหญ่ของโลกดูเหมือนจะตกลงกันเกี่ยวกับ "กรอบ" เพื่อผ่อนคลายข้อจำกัดในการค้าสินแร่หายาก ซึ่งอนุญาตให้กลับไปสู่ฉันทามติในการเจรจาที่เจนีวาเมื่อเดือนที่แล้ว อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของข้อตกลงยังคงมีน้อย และทำให้ตลาดสงสัยเกี่ยวกับความยั่งยืนของข้อตกลง
นักลงทุนได้ยอมรับแนวคิดว่าข้อตกลงดีกว่าไม่มีข้อตกลง แต่ปฏิกิริยาของพวกเขายังห่างไกลจากความกระตือรือร้น ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในช่วงเซสชั่นเอเชียของวันพุธ ก่อนที่จะลดการเพิ่มขึ้นในช่วงเปิดเซสชั่นยุโรป โดยทุกสายตาจับจ้องไปที่ CPI ของสหรัฐฯ และการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
คาดว่าอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคจะเร่งตัวขึ้นในเดือนพฤษภาคม ซึ่งขับเคลื่อนโดยราคาพลังงานที่สูงขึ้น แต่ Core CPI อาจเริ่มแสดงผลกระทบจากภาษีของทรัมป์ ตลาดมีความระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับความประหลาดใจในด้านราคาที่อาจฟื้นคืนความกลัว stagflation และเป็นความท้าทายที่สำคัญต่อเฟด
นอกจากนี้ การประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีมูลค่า 39 พันล้านดอลลาร์จะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบของวิกฤตหนี้ของสหรัฐฯ ต่อตลาดพันธบัตร จุดสำคัญจะอยู่ที่ความสนใจจากผู้เสนอราคาทางอ้อม ซึ่งในเดือนพฤษภาคมมีสัดส่วนถึง 71% ของอุปทาน ความต้องการที่อ่อนแอน่าจะส่งผลกระทบต่อดอลลาร์สหรัฐ
อัตราเงินเฟ้อวัดการเพิ่มขึ้นของราคาในตะกร้าสินค้าและบริการที่ใช้อ้างอิง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมองค์ประกอบที่มีความผันผวนสูงเช่น อาหารและเชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้อาจผันผวนเพราะสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญและเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้อ้างอิงในการกำหนดเป้าหมาย ธนาคารกลางฯ นิยมคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2%
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตะกร้าสินค้าและบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติ CPI จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) CPI หลักคือตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้กำหนดราคาเป้าหมาย เพราะ CPI ทั่วไปไม่รวมปัจจัยเช่นการผลิตอาหารและเชื้อเพลิงที่มีความผันผวน ดังนั้น เมื่อ CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จึงมักจะส่งผลให้ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อ CPI ลดลงต่ำกว่า 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงเป็นผลดีต่อสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมักส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น และตรงกันข้าม สกุลเงินจะอ่อนค่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง
แม้ว่าอาจดูเหมือนขัดกับภาพความเป็นจริงที่เห็น แต่อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่สูงจะผลักดันมูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ให้สูงขึ้นเพราะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกให้ไหลเข้าประเทศ เพราะพวกเขากำลังมองหาสถานที่ที่มีกำไรจากการฝากเงินของพวกเขา
ในอดีต ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันไปพึ่งพาในช่วงเวลาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง เนื่องจากทองคำยังคงรักษามูลค่าไว้ได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนอย่างรุนแรง นักลงทุนมักจะซื้อทองคำด้วยสถานะการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในปัจจุบันมักไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางต่างๆ มักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจึงไม่เป็นผลดีต่อทองคำ เนื่องจากทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลงเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปฝากในบัญชีเงินสด ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อทองคำ เพราะจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้โลหะมีค่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสมากขึ้น