ราคาโลหะเงิน (XAG/USD) ยังคงรักษาระดับหลังจากที่มีการบันทึกการขาดทุนมากกว่า 0.50% ในเซสชันก่อนหน้า โดยซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 36.60 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ในช่วงชั่วโมงการลงทุนเอเชียในวันพุธ ราคาโลหะเงินยังคงอยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 13 ปีที่ 36.89 ดอลลาร์ ซึ่งถูกทำเครื่องหมายไว้เมื่อวันจันทร์ ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ จะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในช่วงเซสชันอเมริกาเหนือ โดยคาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YoY) ในเดือนพฤษภาคม
อย่างไรก็ตาม โลหะมีค่า รวมถึงโลหะเงิน อาจเผชิญกับความท้าทายเนื่องจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่ลดลงในช่วงที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนลดลง เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ฮาวเวิร์ด ลุตนิก ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อตกลงที่เป็นไปได้กับจีน ลุตนิกยังกล่าวว่าทั้งสองประเทศได้บรรลุกรอบการทำงานเพื่อดำเนินการตามฉันทามติของเจนีวา
ผู้เจรจาของสหรัฐฯ ยังคาดหวังว่าปัญหาเกี่ยวกับการส่งออกแร่ธาตุหายากและแม่เหล็กจะได้รับการแก้ไขด้วยการดำเนินการตามกรอบดังกล่าว ขณะที่รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน หลี่เฉิงกัง กล่าวว่า การสื่อสารกับคู่ค้าชาวอเมริกันนั้นมีเหตุผลและตรงไปตรงมา เขาจะรายงานเกี่ยวกับกรอบการทำงานนี้ต่อผู้นำจีน เจ้าหน้าที่จากทั้งสองฝ่ายจะขอการอนุมัติจากผู้นำของพวกเขาก่อนการดำเนินการ
เมื่อวันอังคาร ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกประจำครึ่งปีของธนาคารโลก ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทั่วโลกในปี 2025 ลง 0.4% เป็น 2.3% โดยเน้นว่าภาษีที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อเกือบทุกเศรษฐกิจ ธนาคารโลกได้ปรับลดการคาดการณ์สำหรับเกือบ 70% ของเศรษฐกิจทั้งหมด
แร่เงินเป็นโลหะมีค่าที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างมากในหมู่นักลงทุน ในอดีต โลหะเงินถูกใช้เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าและเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยกว่าทองคํา แต่นักลงทุนอาจหันไปใช้โลหะเงินเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อสะสมมูลค่า หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนสามารถซื้อโลหะเงินจริงในรูปแบบของเหรียญ ในรูปแบบของแท่งหรือซื้อขายผ่านตัวกลางเช่น Exchange Traded Funds ซึ่งอ้างอิงราคาโลหะเงินในตลาดต่างประเทศ
ราคาโลหะเงินสามารถเคลื่อนไหวได้จากปัจจัยหลายประการ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงอาจทําให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นจากสถานะสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าจะได้รับความสนใจน้อยกว่าทองคําก็ตาม ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน โลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง การเคลื่อนไหวของโลหะเงินยังขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เพราะสินทรัพย์โลหะเงินซื้อขายด้วยราคาเป็นดอลลาร์ (XAGUSD) ดอลลาร์ที่แข็งค่ามีแนวโน้มที่จะรักษาราคาโลหะเงินไว้ แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง มีแนวโน้มที่จะผลักดันราคาโลหะเงินให้สูงขึ้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น อุปสงค์การลงทุน อุปทานการขุด (โลหะเงินมีมากกว่าทองคํามาก) และอัตราการนำกลับมาใช้ก็อาจส่งผลต่อราคาโลหะเงินได้เช่นกัน
โลหะเงินมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากโลหะเงินสามารถนําไฟฟ้าได้สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเทียบกับโลหะทั้งหมด มากกว่าทองแดงและทองคํา ความต้องการโลหะที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ราคาโลหะเงินเพิ่มขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จีน และอินเดียยังสามารถส่งผลต่อการแกว่งตัวของราคาโลหะเงิน ในสหรัฐฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของพวกเขาใช้โลหะเงินในกระบวนการต่างๆ ในอินเดีย ความต้องการโลหะมีค่าของผู้บริโภคเพื่อเอาไปสร้างเครื่องประดับก็มีบทบาทสําคัญในการกําหนดราคาโลหะเงินเช่นกัน
ราคาโลหะเงินมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวตามราคาทองคํา เมื่อราคาทองคําสูงขึ้น โลหะเงินมักจะเคลื่อนไหวามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม สถานะของสินทรัพย์ทั้งสองไม่ได้อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่มีความคล้ายคลึงกัน อัตราส่วนเปรียบเทียบทองคําและโลหะเงินจะให้ข้อมูลของจํานวนออนซ์ของโลหะเงินที่จําเป็นเพื่อให้เท่ากับมูลค่าของทองคําหนึ่งออนซ์ อัตราส่วนเปรียบทียบนี้อาจช่วยในการกําหนดการประเมินมูลค่าสัมพัทธ์ระหว่างโลหะทั้งสอง นักลงทุนบางคนอาจพิจารณาว่าหากอัตราส่วนนี้สูง จะหมายความว่าโลหะเงินมีมูลค่าต่ำเกินไป หรือทองคํามีมูลค่าสูงเกินไป ในทางตรงกันข้าม อัตราส่วนที่ต่ำอาจบ่งบอกว่าทองคํามีมูลค่าต่ำกินไปเมื่อเทียบกับโลหะเงิน