หุ้น BYD น่าซื้อไหมและวิธีการซื้อเป็นยังไง
งานวิจัยของ Counterpoint พบว่า ยอดขายรถ EV ของจีนในปี 2565 เติบโตสูงกว่า 87% YoY ถือเป็นตลาด EV ที่เติบโตสูงที่สุดในโลกท่ามกลางการสงครามราคาและแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมจากผู้ผลิตกว่า 94 รายและแบบรถยนต์กว่า 300 รุ่น BYD เป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนที่มียอดขายในปี 2565 กว่า 1.8 ล้านคัน ทำให้หุ้น BYD ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในธุรกิจที่กำลังเติบโตสูงนี้ แต่ในปี 2565 นี้หุ้น BYD จะยังน่าซื้อหรือไม่ มีอะไรที่เราควรรู้เกี่ยวกับหุ้นตัวนี้บ้าง เราลองมาดูกัน
หุ้น BYD คือหุ้นอะไร ทำความรู้จักกับ BYD
BYD Co., Ltd. เป็นบริษัทผลิตยานยนต์สัญชาติจีนที่ก่อตั้งเมื่อปี 2538 โดยเริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ที่สามารถนำกลับมาชาร์จใหม่ได้ และเข้าเทรดในตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อปี 2545 ด้วยรหัสหุ้น 01211 จากนั้นบริษัทเริ่มเบนเข็มเข้าสู่การผลิตรถยนต์อีวีในปีถัดมา ปัจจุบัน BYD มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองซีอาน ประเทศจีน มีโรงงานผลิตยานยนต์ รถบัส รถบรรทุก มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า รถยก แบตเตอรี่รถยนต์ และปัจจุบันยังประกอบโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง BEVs (battery electric vehicles) และ PHEVs (plug-in hybrid electric vehicles)
ในปี 2565 BYD เป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเจ้าแรกในจีนที่สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้มากกว่า 1 ล้านคันและในวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมาบริษัทก็เพิ่งฉลองยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วครบ 5 ล้านคัน คาดการณ์ว่าภายในครึ่งปีหลังของปี 2566 BYD จะกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประเภท PIEV ที่ใหญ่ที่สุด และใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก Tesla สำหรับการผลิตรถไฟฟ้าประเภท BEV ด้วยส่วนแบ่ง 21.4% และ 15% ของตลาดโลกตามลำดับ
นอกจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BYD ยังมีหน่วยผลิตแบตเตอรี่ที่ชื่อว่า FinDreams Battery ซึ่งนับเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกด้วยส่วนแบ่ง 12% ในตลาดโลกนับจากครึ่งปีแรกของปี 2565 FinDreams Battery โดยเน้นไปที่การผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต ถัดมาในปี 2566 FinDreams ได้ตั้งบริษัทร่วมกับ Huaihai Holding Group ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์ จักรยานสามล้อและสกูตเตอร์เพื่อผลักดันการเป็นผู้จัดหาแบตเตอรี่โซเดียมไอออนระดับโลก
ปัจจุบันมี BYD มีมูลค่าตามราคาตลาดที่ $96.85 ล้าน ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในหมวดผู้ผลิตยานยนต์ของโลกรองจาก Tesla Toyota และ Porsche
โครงสร้างธุรกิจหุ้น BYD และปัจจัยที่มีผลต่อราคาหุ้น
ปัจจุบันหุ้น BYD ยังผลิตทั้งรถยนต์ที่ใช้น้ำมันควบคู่ไปกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ต่อยอดมาจากธุริกจผลิตแบตเตอรี่ดั้งเดิมของตัวเองด้วยพันธกิจที่จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลให้เป็น 0 บริษัทเน้นการวิจัยและพัฒนาจากสถาบันวิจัยที่จัดตั้งขึ้นเอง เพื่อสนับสนุนการผลิตสินค้าหลักของบริษัท ได้แก่
1. รถยนต์ BYD
ใช้เทคโนโลยีหลากหลายในการผลิตรถรองรับทั้ง BEVs (battery electric vehicles) และ PHEVs (plug-in hybrid electric vehicles) ขณะที่ Tesla รองรับเฉพาะรถ BEVs ซึ่งให้ทางเลือกกับผู้บริโภคได้มากกว่า นอกจากนี้ยังมีรุ่นรถยนต์ที่หลากหลายกว่า 30 รุ่น ตั้งแต่ SUV ซีดาน รถยนต์ไฮบริด ไปจนถึงรถยนต์ขนาดเล็ก นอกจากนี้ BYD ยังผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับกลุ่มแท็กซี่สำหรับการสนับสนุนการใช้งานทั้งในประเทศจีนเองและการส่งออกไปต่างประเทศด้วย
2. รถบัสไฟฟ้า
ไม่ใช่กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโตสูงในปัจจุบัน แต่มีแนวโน้มที่จะเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งในปี 2554 BYD ได้ส่งมอบรถบัสไฟฟ้าไปทั่วโลกแล้วกว่า 70,000 คัน และยังเปิดโรงงานผลิตรถบัสไฟฟ้าเพิ่มในฮังการีเพื่อป้อนตลาดในยุโรป
3. รถบรรทุกไฟฟ้า
เป็นประเภทรถที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเนื่องจากรถบรรทุกไฟฟ้าใช้ค่าดูแลรักษาต่ำกว่ารถบรรทุกที่ใช้น้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการปล่อยมลพิษน้อยกว่า ซึ่ง BYD ให้บริการรถบรรทุกไฟฟ้าแล้วกว่า 10,000 คันทั่วโลก ตั้งแต่สวีเดนไปจนถึงสหรัฐอเมริกา และตลาดกลุ่มนี้ก็กำลังเติบโตอย่างน่าสนใจเช่นกัน
4. แบตเตอรี่
พัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีเฉพาะเป็นแบตเตอรี่แบบบาง (Blade Battery) ที่มีความปลอดภัยสูง แข็งแรงทนทาน ใช้งานได้ยาวนานากว่า 372 ไมล์สำหรับการชาร์จหนึ่งครั้งและกำลังพัฒนาให้เพิ่มขึ้นเป็น 434-497 ไมล์ในอนาคต
5. เซมิคอนดักเตอร์
BYD มีความได้เปรียบจากค่ายรถไฟฟ้าเจ้าอื่นจากการที่ตัวเองสามารถผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะชิป หรือ เซมิคอนดักเตอร์ที่เป็นปัญหาสำคัญสำหรับบริษัทเทคโนโลยีในจีนที่อาจถูกจำกัดการเข้าถึงโดยสหรัฐและชาติพันธมิตร ทำให้ BYD ไม่มีความเสี่ยงของการขาดแคลนชิปเหมือนบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ และยังมีแผนที่จะนำธุรกิจนี้เข้า IPO เพื่อระดมทุนต่อในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะสามารถระดมทุนได้กว่า $424 ล้าน
ในปี 2554 BYD มีรายได้มาจาก 3 ช่องทาง คือ
รถยนต์และอะไหล่ คิดเป็นสัดส่วน 53.6% ของรายได้ทั้งหมดที่ทำได้ในปีนั้น
รายได้จากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คิดเป็นสัดส่วน 38.8% ของรายได้ทั้งหมด
รายได้จากธุรกิจแบตเตอรี่ คิดเป็นสัดส่วน 7.6% ของรายได้ทั้งหมด
จากโครงสร้างรายได้ของบริษัททำให้มีปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาหุ้น BYD ที่นักลงทุนควรจับตามองดังนี้
แผนพัฒนาประเทศของจีนที่กลับมาให้ความสำคัญกับเชื้อเพลิงสะอาดและลดการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลจากต่างประเทศ
ทำให้ผู้ซื้อรถในจีนเริ่มหันมาใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในปี 2565 จีนมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแล้วกว่า 6.09 ล้านคัน และจะเติบโตเป็น 8.77 ล้านคันหรือคิดเป็นการเติบโต 44% ในอีก 5 ปี
การแข่งขันที่เริ่มดุเดือดขึ้นของผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า
ไม่ว่าจะเป็น Tesla ที่เพิ่งดำเนินการผลิตและส่งมอบรถไฟฟ้าจากโรงงานในจีนเป็นครั้งแรกในปีนี้ หรือคู่แข่งสัญชาติจีนเจ้าอื่น เช่น XPENG, Nio, Great Wall Motor ฯลฯ ซึ่งมีผลให้เกิดสงครามราคาและลดส่วนต่างของกำไร (Margin) ลง แต่ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์เจ้าอื่นยังไม่สามารถทำกำไรได้ BYD สามารถเริ่มทำกำไรซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2565 ที่ผ่านมาที่รายงานยอดขาย 479,772 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง คิดเป็นกำไร 19,330 ล้าน นับเป็นการเติบโตถึง 426% จากปีก่อนหน้าที่ทำกำไรได้เพียง 3,670 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง
วิเคราะห์หุ้น BYD หุ้น BYD น่าลงทุนไหมปี 2566
BYD ได้ชื่อว่าเป็นค่ายรถยนต์ที่มียอดขายมากที่สุดในจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาการแข่งขันด้านราคาของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะดุเดือดมากขึ้นจนบริษัทต้องปรับลดราคารถยนต์รุ่นใหม่ลง 4 – 15% ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนกดดันให้ส่วนต่างผลกำไรของ BYD ลดลง 4.1% จากปีก่อนหน้าลงมาอยู่ที่ 18.7% แต่บริษัทยังมีความได้เปรียบและความน่าสนใจในการลงทุนสำหรับปี 2566 อยู่อีกหลายด้าน
1. คาดการณ์การเติบโตของยอดส่งมอบรถและรายได้ของปี 2566 จะเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปีที่ผ่านมา เพียงครึ่งปีแรกของปี 2566 BYD รายงานผลกำไรออกมแล้วกว่า $1.49 พันล้าน คิดเป็นการเติบโตกว่า 205% จากปีก่อนหน้า และเพียงครึ่งปีแรกบริษัทก็ได้ส่งมอบรถแล้วกว่า 1.23 ล้านคัน คิดเป็นจำนวน 96% จากจำนวนที่ส่งมอบในปี 2565 ซึ่งหากบริษัทยังสามารถรักษาความสามารถนี้ต่อไปได้ถึงสิ้นปีก็คาดได้ว่าผลประกอบการของปี 2566 ของ BYD จะสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดมากกว่าปีที่แล้วได้ไม่ยาก
2. บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง BYD มีสภาพคล่องสูงด้วยกระแสเงินสดที่ $179.62 พันล้าน ขณะที่มีหนี้สินต่ำที่ 21.22% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งเป็นสัดส่วนที่บริษัทยังสามารถควบคุมได้และไม่กระทบต่อความสามารถในการดำเนิกิจการ
3. บริษัทให้ผลตอบแทนต่อหุ้น (ROE) สูง ปัจจุบัน BYD ให้ผลตอบแทนต่อหุ้นสูงที่ 20.32% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าบริษัทใหญ่อย่าง Toyota ที่มี ROE เฉลี่ย 13.91% หรือ Volkswagen ที่รายงาน ROE ที่ 9.93%
4. ราคายังอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลด้วย PE 21.79 เท่า ซึ่งเป็นระดับปกติสำหรับการซื้อขายหุ้นสตาร์ทอัปซึ่งแสดงถึงความคาดหวังของนักลงทุนที่มีต่อการเติบโตของบริษัท ที่หากมีการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นจะสามารถกด PE ให้ต่ำลงได้ในอนาคต
ด้วยตัวเลขทางการเงินได้แสดงฐานะทางบัญชีที่แข็งแกร่ง บวกกับราคาและผลตอบแทนสมเหตุสมผล แม้การแข่งขันด้านราคาจะมีผลให้บริษัทต้องปรับลดส่วนแบ่งผลกำไรลง แต่ยอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้ผลตอบแทนของ BYD ในรอบสิ้นปีนี้ออกมาดีกว่าคาดและนับว่าเป็นหุ้นที่น่าลงทุนสำหรับปี 2566 นี้
ในทางเทคนิค หุ้น BYD (1211) เคยขึ้นไปทำราคาสูงสุดไว้ที่ 333.8 ดอลลาร์ฮ่องกงในช่วงกลางปี 2565 จากนั้นปรับตัวลงมาทำจุดต่ำสุดไว้ที่ 162 ดอลลาร์ฮ่องกงในช่วงต้นปี 2566 การปรับตัวลงในครั้งนี้ถูกกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่เริ่มปรับจาก 0.25% ในช่วงกลางปี 2565 ขึ้นมาเป็น 4.25% ในช่วงต้นปี 2566 บวกกับการเริ่มทะยอยขายหุ้น BYD จาก Berkshire Hathaway บริษัทลงทุนชั้นนำที่เคยถือหุ้น BYD กว่า 17% ของหุ้นทั้งหมดก็ได้เริ่มขายหุ้นออกมาตั้งแต่ปลายปี 2565 จนปัจจุบันได้ถือน้อยกว่า 10% แล้ว
อย่างไรก็ดีหลังจากราคาหุ้นลงไปแตะ 162 ดอลลาร์ฮ่องกง และทำ Double Bottom พร้อมกับเกิดสัญญาณขายมากเกินไป (RSI Over Sold) ในกราฟระดับสัปดาห์ ราคาได้ปรับตัวกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวในกรอบและทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 สัปดาห์กลับขึ้นไปได้ ปัจจุบันราคา BYD ได้เคลื่อนไหวในกรอบขาขึ้นซึ่งแม้จะหลุดกรอบด้านบนและล่างบ้าง แต่ก็ยังรักษาโมเมนตัมไว้ได้ ซึ่งจุดที่เป็นกรอบล่างควรเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการเข้าซื้อเพื่อลงทุนในระยะยาว
วิธีลงทุนหุ้น BYD ที่ไทย
BYD เป็นหุ้นที่มีนักลงทุนไทยให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย ทำให้เป็นหนึ่งในหุ้นต่างประเทศที่มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลากหลายให้นักลงทุนได้เลือกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการลงทุน
1. เทรดหุ้น BYD ผ่าน CFD
CFD คือ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (Contract for difference) ที่เป็นสัญญาอนุพันธ์อ้างอิงราคาหุ้น BYD ที่เทรดอยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งไม่ได้เป็นการซื้อขายหุ้นจริง ๆ แต่ช่วยให้นักลงทุนสามารถหาโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น BYD ได้ด้วยเงินลงทุนไม่มาก
▲ ข้อดี
ใช้เงินลงทุนน้อย แต่เพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้จากการใช้อัตราทดที่ให้สูง ซึ่งอัตราทดนี้สามารถแตกต่างกันได้ในแต่ละโบรกเกอร์ที่ให้บริการ เช่น 2x/ 5x หรือ 10x
มีสภาพคล่องสูง ใช้ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ทำให้เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้นเพื่อหาโอกาสทำกำไรในทุกสภาพตลาด
การเปิดบัญชีทำได้ง่าย ใช้เอกสารไม่มาก อนุมัติรวดเร็ว
▲ ข้อเสีย
การเทรด CFD ไม่ได้ทำให้เป็นเจ้าของหุ้นจริง ๆ นักลงทุนที่ถือ CFD หุ้น BYD จะไม่ได้ปันผลหรือสิทธิในการเข้าประชุมผู้ถือหุ้น
มีความเสี่ยงสูง ที่สามารถสร้างผลกำไรได้สูงแต่ก็สามารถขาดทุนได้ทั้งหมด
มีต้นทุนจากอัตราดอกเบี้ยข้ามคืน (Swap)
▲ ผู้ให้บริการ
Mitrade เป็นโบรกเกอร์ CFD ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ASIC, CIMA และ FSC ให้บริการซื้อขาย CFD ในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายรวมทั้งหุ้น BYD ด้วยขนาดขั้นต่ำในการเทรด 1 Lot ที่เท่ากับ 1 หุ้น และมีการใช้อัตราทดที่ 10 เท่า นั้นคือหากมีเงินลงทุน $100 เงินลงทุนนี้จะมีความสามารถสร้างกำไรได้เทียบเท่าเงินทุน $1,000 รองรับการใช้งานภาษาไทยทั้งบนเว็บเบราเซอร์และแอปพลิเคชั่น
2. ลงทุนหุ้น BYD ผ่านการเทรด DR ในตลาดหุ้นไทย
DR (Depositary Receipt) เป็นตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ เปิดโอกาสให้นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยสามารถซื้อหุ้นต่างประเทศได้เหมือนกันซื้อหุ้นไทยทั่วไป ซึ่ง DR ของหุ้น BYD ที่เทรดอยู่ใช้ชื่อ BYDCOM80 ออกโดยธนาคารกรุงไทย ด้วยสัดส่วนหุ้น BYD 1 หุ้นจะเท่ากับ DR 1,000 หน่วย และ DR ที่ตราขึ้นนี้จะมีราคาเปลี่ยนแปลงไปตามราคาหุ้นที่เปลี่ยนไปจริง ๆ ร่วมกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทและดอลลาร์ฮ่องกง ทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนในหุ้น BYD ผ่านการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยได้โดยตรง
▲ ข้อดี
ซื้อขายได้ง่าย ไม่ต้องแลกเงิน ไม่ต้องเปิดบัญชีเพิ่ม ใช้บัญชีซื้อขายหุ้นส่งคำสั่งได้เหมือนการซื้อขายหุ้นปกติทุกประการ
ใช้เงินลงทุนไม่มาก เพราะไม่จำเป็นต้องลงทุนขั้นต่ำที่ 1 หุ้น BYD จริง ๆ เพราะ DR เป็นการแตกหน่วยลงมาแล้ว
ทำให้นักลงทุนได้เป็นเจ้าของหุ้น มีสิทธิได้เงินปันผลจากการถือหุ้นตามสัดส่วนที่ถือ
▲ ข้อเสีย
สามารถทำกำไรได้เฉพาะในทิศทางราคาขาขึ้น
สภาพคล่องไม่สูง ทำให้ราคาอาจผิดเพี้ยนไปจากราคาที่ควรเป็นได้ง่ายเนื่องจากมีสภาพคล่องต่ำ
มีค่าธรรมเนียมซื้อขายสูง เช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้น คือ ราว 0.15 – 0.25% ของมูลค่าซื้อขาย และอาจมีขั้นต่ำในการซื้อขายสำหรับโบรกเกอร์บางแห่ง
▲ ผู้ให้บริการ
บริษัทหลักทรัพย์ทั่วไป โดยสามารถใช้บัญชีซื้อขายหุ้นไทยส่งคำสั่งซื้อขาย BYDCOM80 ในเวลาทำการเช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้นไทยทุกประการ
สรุป
และทั้งหมดนี้ก็คือ BYD บริษัทผู้ผลิตยานยนต์ที่มียอดขายมากที่สุดในประเทศจีน และเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ด้วยความครบทั้งการผลิตยานยนต์หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงรถบรรทุกและระบบราง ควบคู่ไปกับการเป็นเจ้าของโรงงานผลิตแบตเตอรี่และเซมิคอนดักเตอร์เป็นของตัวเอง ทำให้ BYD เป็นหุ้นที่น่าสนใจและมีความสามารถในการทำกำไรแม้ในช่วงที่มีความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐสูง และการเติบโตที่น่ามหัศจรรย์ในปี 2565 ที่คาดว่าจะสามารถทำได้ดีกว่าในปี 2566 ก็ทำให้นักลงทุนไม่น่าจะมีคำถามแล้วว่าหุ้น BYD น่าซื้อไหม แต่ควรเริ่มวางแผนการซื้อทั้งจังหวะและจำนวนเงิน เพื่อไม่ให ้พลาดโอกาสการเป็นเจ้าของหุ้นเติบโตที่น่าสนใจตัวนี้ไป
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน