ดอลลาร์สหรัฐขยายการกลับตัวของวันศุกร์ในช่วงเช้าของวันจันทร์ในยุโรป การยอมรับความเสี่ยงในระดับปานกลางในขณะที่ไม่มีการประกาศข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญและผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ลดลงกำลังทำหน้าที่เป็นปัจจัยกดดันต่อดอลลาร์สหรัฐ.
ในยุโรป การสำรวจของ ECB เกี่ยวกับการเข้าถึงการเงินของบริษัทต่างๆ เปิดเผยว่าบริษัทในยุโรปมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภาษีของทรัมป์ ยูโรปรับตัวสูงขึ้นหลังจากการเปิดเผยผลสำรวจ เพิ่มแรงกดดันต่อดอลลาร์สหรัฐ.
ก่อนหน้านี้เล็กน้อย เยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นหลังจากการเลือกตั้งญี่ปุ่นเปิดโอกาสให้กับนายกรัฐมนตรีอิชิบะในการดำเนินการต่อและหลีกเลี่ยงวาระการลดภาษีที่น่ากลัวของพรรคฝ่ายค้าน รัฐบาลผสมของอิชิบะสูญเสียเสียงข้างมากในสภาสูงเพียงสามที่นั่ง แต่นายกรัฐมนตรีได้สาบานว่าจะดำเนินการต่อ โดยมุ่งเน้นไปที่การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ.
อย่างไรก็ตาม การยอมรับความเสี่ยงยังคงจำกัด เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาษีเพิ่มขึ้นเมื่อใกล้ถึงกำหนดเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม และการขาดความก้าวหน้าในการเจรจาการค้า ทรัมป์ได้เพิ่มความตึงเครียดกับสหภาพยุโรปในช่วงสุดสัปดาห์ โดยเรียกร้องให้มีภาษีแบบรวม 15% ถึง 20% ต่อสหภาพยุโรป และกลุ่มนี้กำลังพิจารณาเพิ่มภาษี 10% ต่อสินค้าของสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงก็ตาม.
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินที่ใช้อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา และเป็นสกุลเงินที่ใช้ 'โดยพฤตินัย' ของประเทศอื่น ๆ จำนวนมากที่มีการหมุนเวียนควบคู่ไปกับสกุลเงินท้องถิ่น เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 88% ของมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก หรือมีมูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันตามข้อมูลของปี 2022 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สกุลเงิน USD เข้ามารับช่วงต่อตำแหน่งสกุลเงินสำรองของโลกจากสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษที่เป็นในประวัติศาสตร์ใหญ่ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกค้ำด้วยทองคำ จนกระทั่งเกิดข้อตกลง Bretton Woods ในปี 1971 เมื่อมาตรฐานการค้ำด้วยทองคำหมดไป
ปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐคือนโยบายทางการเงินซึ่งกำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เฟดมีหน้าที่สองประการ: เพื่อให้บรรลุเสถียรภาพด้านราคา (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) และส่งเสริมการจ้างงานเต็มรูปแบบ เครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายทั้งสองนี้คือการปรับอัตราดอกเบี้ย เมื่อราคาต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไปและอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ทางเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะหนุนค่าเงิน USD แต่เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 2% หรืออัตราการว่างงานสูงเกินไป เฟดอาจเลือกปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อสกุลเงินดอลลาร์
ในสถานการณ์ที่รุนแรงมากจริง ๆ ทาง Federal Reserve ยังสามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาเพิ่มเติมและออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ การทำ QE เป็นกระบวนการที่เฟดเพิ่มการไหลเวียนของสินเชื่อในระบบการเงินที่ติดขัดอยู่อย่างมาก โดยเป็นมาตรการทางนโยบายที่ไม่ได้เป็นมาตรฐานซึ่งใช้เมื่อสินเชื่อหมดเนื่องจากธนาคารจะไม่ให้กู้ยืมระหว่างกัน (เพราะกลัวคู่สัญญาจะผิดนัดชำระหนี้) ก็เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะบรรลุผลลัพล์ที่จำเป็น ถือเป็นเครื่องทางเลือกสุดท้ายของเฟดในการต่อสู้กับวิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นระหว่างวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 โดยเกี่ยวข้องกับการที่เฟดพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นและใช้เงินเหล่านั้นเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงินต่าง ๆ การทำ QE มักจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
การกระชับเชิงปริมาณ (QT) เป็นกระบวนการย้อนกลับของการทำ QE โดยที่ Federal Reserve จะหยุดซื้อพันธบัตรจากสถาบันการเงินและไม่นำเงินต้นไปลงทุนใหม่จากพันธบัตรที่ถืออยู่เพื่อซื้อใหม่ ซึ่งมักจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ