ดัชนีดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงต่ำกว่า 97.50 ขณะที่นักลงทุนเพิ่มการเก็งกำไรการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด
- ดัชนีดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลงอยู่ที่ประมาณ 97.40 ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันอังคาร
- รายงาน NFP ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของงานในสหรัฐฯ ลดลงอย่างมากในเดือนสิงหาคม สนับสนุนกรณีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด
- รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนสิงหาคมของสหรัฐฯ จะเป็นจุดสนใจในวันพุธนี้
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) ซึ่งเป็นดัชนีวัดมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐ (USD) เทียบกับตะกร้าสกุลเงินโลก 6 สกุล ขยายการปรับตัวลดลงไปที่ประมาณ 97.40 ในช่วงเซสชันการซื้อขายของเอเชียในวันอังคาร ความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลกระทบต่อ DXY นักเทรดจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนสิงหาคมของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดประกาศในวันพุธนี้
ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลงหลังจากรายงานการจ้างงานที่อ่อนแอในวันศุกร์ ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ล่าสุดของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าการจ้างงานชะลอตัวในเดือนสิงหาคม ขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งบ่งชี้ว่าสภาพตลาดแรงงานในเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกกำลังแย่ลง รายงานเหล่านี้เพิ่มความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ตามการประมาณการของ LSEG ฟิวเจอร์สอัตราดอกเบี้ยของเฟดขณะนี้คาดการณ์ถึงความเป็นไปได้เกือบ 90% สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดพื้นฐาน (bps) ในเดือนนี้ และมีโอกาส 10% สำหรับการปรับลด 50 bps
รายงาน PPI ของสหรัฐฯ จะเป็นจุดสนใจในวันพุธนี้ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.3% YoY ในเดือนสิงหาคม ขณะที่ PPI พื้นฐานคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน รายงานนี้อาจให้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หากมีการเพิ่มขึ้นที่ไม่คาดคิดในอัตราเงินเฟ้อ อาจทำให้ DXY เพิ่มขึ้นในระยะสั้น
“เรารู้สึกว่ามีโอกาสที่จะเกิดการเพิ่มขึ้นที่ไม่คาดคิดในดอลลาร์ โดยเฉพาะหากตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาในรูปแบบของ PPI (ดัชนีราคาผู้ผลิต) และ CPI (ดัชนีราคาผู้บริโภค) แสดงให้เห็นว่าราคาเริ่มควบคุมไม่ได้” นายฮวน เปเรซ ผู้อำนวยการฝ่ายการซื้อขายที่ Monex USA ในวอชิงตันกล่าว
US Dollar: คำถามที่พบบ่อย
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นสกุลเงินที่ใช้อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา และเป็นสกุลเงินที่ใช้ 'โดยพฤตินัย' ของประเทศอื่น ๆ จำนวนมากที่มีการหมุนเวียนควบคู่ไปกับสกุลเงินท้องถิ่น เป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 88% ของมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก หรือมีมูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันตามข้อมูลของปี 2022 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สกุลเงิน USD เข้ามารับช่วงต่อตำแหน่งสกุลเงินสำรองของโลกจากสกุลเงินปอนด์ของอังกฤษที่เป็นในประวัติศาสตร์ใหญ่ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้ถูกค้ำด้วยทองคำ จนกระทั่งเกิดข้อตกลง Bretton Woods ในปี 1971 เมื่อมาตรฐานการค้ำด้วยทองคำหมดไป
ปัจจัยเดียวที่สำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐคือนโยบายทางการเงินซึ่งกำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เฟดมีหน้าที่สองประการ: เพื่อให้บรรลุเสถียรภาพด้านราคา (ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) และส่งเสริมการจ้างงานเต็มรูปแบบ เครื่องมือหลักในการบรรลุเป้าหมายทั้งสองนี้คือการปรับอัตราดอกเบี้ย เมื่อราคาต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไปและอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด ทางเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งจะหนุนค่าเงิน USD แต่เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงต่ำกว่า 2% หรืออัตราการว่างงานสูงเกินไป เฟดอาจเลือกปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อสกุลเงินดอลลาร์
ในสถานการณ์ที่รุนแรงมากจริง ๆ ทาง Federal Reserve ยังสามารถพิมพ์ดอลลาร์ออกมาเพิ่มเติมและออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ การทำ QE เป็นกระบวนการที่เฟดเพิ่มการไหลเวียนของสินเชื่อในระบบการเงินที่ติดขัดอยู่อย่างมาก โดยเป็นมาตรการทางนโยบายที่ไม่ได้เป็นมาตรฐานซึ่งใช้เมื่อสินเชื่อหมดเนื่องจากธนาคารจะไม่ให้กู้ยืมระหว่างกัน (เพราะกลัวคู่สัญญาจะผิดนัดชำระหนี้) ก็เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะบรรลุผลลัพล์ที่จำเป็น ถือเป็นเครื่องทางเลือกสุดท้ายของเฟดในการต่อสู้กับวิกฤติสินเชื่อที่เกิดขึ้นระหว่างวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ในปี 2008 โดยเกี่ยวข้องกับการที่เฟดพิมพ์เงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นและใช้เงินเหล่านั้นเพื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสถาบันการเงินต่าง ๆ การทำ QE มักจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง
การกระชับเชิงปริมาณ (QT) เป็นกระบวนการย้อนกลับของการทำ QE โดยที่ Federal Reserve จะหยุดซื้อพันธบัตรจากสถาบันการเงินและไม่นำเงินต้นไปลงทุนใหม่จากพันธบัตรที่ถืออยู่เพื่อซื้อใหม่ ซึ่งมักจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
บทความแนะนำ
