WTI มีโมเมนตัมเพิ่มขึ้นเหนือระดับ $63.50 ขณะที่ความหวังในการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครนลดน้อยลง
- ราคา WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้ $63.40 ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันจันทร์
- แนวโน้มที่ลดลงสำหรับข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครนช่วยหนุนราคา WTI
- เทรดเดอร์น้ำมันจะมุ่งเน้นไปที่รายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของ API ในวันอังคารนี้
West Texas Intermediate (WTI) ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ซื้อขายอยู่ที่ประมาณ $63.40 ในช่วงเช้าของตลาดลงทุนเอเชียวันศุกร์ ราคา WTI ขยับสูงขึ้นหลังจากการโจมตีด้วยโดรนของยูเครนที่มุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซีย เทรดเดอร์เตรียมตัวสำหรับการประกาศรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสถาบันน้ำมันแห่งอเมริกา (API) ซึ่งจะมีการประกาศในวันอังคารนี้
เจ้าหน้าที่รัสเซียกล่าวว่า ยูเครนได้ทำการโจมตีด้วยโดรนต่อรัสเซียเมื่อวันอาทิตย์ ส่งผลให้ความสามารถในการทำงานของเครื่องปฏิกรณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศลดลงอย่างมาก และเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ท่าเรือส่งออกเชื้อเพลิงอุสท์-ลูกา "เมื่อพิจารณาจากความสำเร็จที่ยูเครนมีในการมุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานน้ำมันของรัสเซีย ... ความเสี่ยงสำหรับน้ำมันดิบกำลังเปลี่ยนไปในทางที่สูงขึ้น" โทนี่ ซิคาโมร์ นักวิเคราะห์ตลาดของ IG กล่าว
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ดูเหมือนกำลังวางรากฐานสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน เสียงที่ผ่อนคลายของ Fed อาจทำให้ดอลลาร์สหรัฐ (USD) อ่อนค่าลงและสนับสนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการกำหนดราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐ
เทรดเดอร์น้ำมันจะติดตามพัฒนาการที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาระหว่างรัสเซียและยูเครนอย่างใกล้ชิด สัญญาณใด ๆ ของความก้าวหน้าในการเจรจาอาจช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับอุปทานและจำกัดการปรับตัวขึ้นของน้ำมันดิบ ในขณะที่แนวโน้มการยกเลิกการคว่ำบาตรน้ำมันดิบรัสเซียอาจช่วยหนุนราคา WTI
เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน "พร้อมที่จะพบ" กับเซเลนสกีเมื่อวาระการประชุมพร้อมสำหรับการประชุมสุดยอด แต่เขากล่าวว่าไม่มีการประชุมใด ๆ ที่วางแผนไว้ในขณะนี้
WTI Oil: คำถามที่พบบ่อย
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย
บทความแนะนำ
