AWS ของ Amazon ทำให้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกล่ม — แต่ทำไมหุ้นกลับพุ่งขึ้น?

TradingKey - เหตุขัดข้องฉับพลันของบริการคลาวด์ AWS ของ Amazon ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเท่านั้น แต่เนื่องจาก AWS เป็นผู้ให้บริการคลาวด์อันดับหนึ่งของโลก เหตุการณ์นี้จึงทำให้ “อินเทอร์เน็ตครึ่งโลก” ล่มลง อย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่เช่นนี้ หุ้นของ Amazon กลับปรับตัวขึ้นในวันดังกล่าว — สะท้อนถึงความเป็นผู้นำที่มั่นคงในอุตสาหกรรม และศักยภาพการเติบโตในระยะยาวที่ไม่สั่นคลอน

เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม 2025 Amazon Web Services (AWS) เกิดเหตุขัดข้องเป็นวงกว้างนานหลายชั่วโมง หลังจากฐานข้อมูลหลักอย่าง Amazon DynamoDB ล่มที่ศูนย์ข้อมูล US-East-1 ส่งผลกระทบต่อบริการทั่วโลก

ลูกค้าที่พึ่งพา AWS ได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวาง ได้แก่ Coinbase, Robinhood, Snapchat, Zoom, Roblox และ Duolingo โดยเหตุขัดข้องนี้กระทบตั้งแต่แพลตฟอร์มฟินเทค เกม ความบันเทิง ไปจนถึงระบบราชการสำคัญ เช่น ธนาคาร Bank of Scotland ของสกอตแลนด์ และ HMRC (Her Majesty’s Revenue and Customs) ของสหราชอาณาจักร

ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอธิบายว่า ผลกระทบจากเหตุขัดข้องที่ถือว่ารุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของ AWS ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ทำให้ “อินเทอร์เน็ตครึ่งโลกใช้งานไม่ได้”

ตามข้อมูลจาก Downdetector มีผู้ใช้งานมากกว่า 4 ล้านรายรายงานปัญหาที่เกิดจากความล้มเหลวนี้ โดยบริการของบริษัทอย่างน้อย 1,000 แห่งได้รับผลกระทบ

แม้จะส่งผลกระทบเชิงลบอย่างกว้างขวางต่อเครือข่ายทั่วโลก แต่หุ้นของ Amazon กลับปรับตัวสูงขึ้นตลอดวันจันทร์ และปิดตลาดเพิ่มขึ้น 1.61% ที่ 216.48 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นปี 2025 หุ้น Amazon ยังคงลดลงมากกว่า 1% ทำให้เป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดในกลุ่ม “แมกนิฟิเซนต์เซเว่น” (Magnificent Seven)

ความเปราะบางของการเชื่อมต่อระดับโลก

AWS ของ Amazon ครองส่วนแบ่งตลาดคลาวด์โลกประมาณหนึ่งในสาม ตามด้วย Microsoft Azure และ Google Cloud ศูนย์ข้อมูล US-East-1 เป็นภูมิภาคให้บริการเว็บที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของ AWS และเป็นโซนเริ่มต้น (default zone) สำหรับบริการ AWS หลายอย่าง

สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า นี่เป็นเหตุขัดข้องครั้งใหญ่ครั้งที่สามในช่วงอย่างน้อยห้าปี ที่ศูนย์ข้อมูลในรัฐเวอร์จิเนียตอนเหนือ และเป็นความขัดข้องของอินเทอร์เน็ตระดับโลกที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ Crowdstrike เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง

วอลล์สตรีทเจอร์นัล (The Wall Street Journal) ยังชี้ว่า เหตุขัดข้องของ Amazon เป็นเครื่องเตือนใจอย่างชัดเจนว่า การเชื่อมต่อระดับโลกได้กลายเป็นสิ่งที่เปราะบางเพียงใด ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้แต่การอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ดูเหมือนเล็กน้อยก็สามารถก่อให้เกิดความล้มเหลวของเครือข่ายระดับโลกได้

นายจาคอบ เบิร์น (Jacob Bourne) นักวิเคราะห์จาก eMarketer กล่าวว่า:“แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่การที่ผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง AWS ล่มลง แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ในสิ่งที่กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญสำหรับองค์กร และในบางกรณี สำหรับรัฐบาลทั่วโลก เมื่อการพึ่งพาคลาวด์และภาระงานด้านคลาวด์ขยายตัวมากขึ้น เหตุขัดข้องเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมรุนแรงยิ่งกว่าเดิม”

คุณค่าของกลยุทธ์มัลติคลาวด์ (Multi-Cloud)

นายนิชานท์ ซาสทรี (Nishanth Sastry) ผู้อำนวยการวิจัย ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ (University of Surrey) ชี้ถึงสาเหตุรากฐาน: บริษัทใหญ่หลายแห่งพึ่งพาผู้ให้บริการรายเดียวมากเกินไป

บางบริษัทลดความเสี่ยงด้วยการกระจายข้อมูล — ทำสำเนาไว้บนเซิร์ฟเวอร์ สถานที่ และภูมิภาคต่าง ๆ — หรือใช้ “กลยุทธ์มัลติคลาวด์” (multi-cloud strategy) โดยใช้แพลตฟอร์มจาก Microsoft, Google หรือผู้ให้บริการรายเล็กกว่า เช่น DigitalOcean

ตัวอย่างเช่น บริษัทอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ McKenney’s ซึ่งใช้คลาวด์หลายแพลตฟอร์ม สามารถหลีกเลี่ยงการหยุดให้บริการทั้งหมดได้ในช่วงที่เกิดเหตุขัดข้อง

นักวิเคราะห์ระบุว่า เหตุขัดข้องของ AWS ครั้งนี้จะเร่งให้บริษัทต่าง ๆ กระจายผู้ให้บริการคลาวด์มากขึ้น เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการรับมือและฟื้นตัวจากเหตุขัดข้อง

อย่างไรก็ตาม การกระจายคลาวด์ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับลูกค้าบางราย แม้จะเก็บข้อมูลนอกสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถกำจัดความเสี่ยงได้ทั้งหมด — เพราะฟังก์ชันสำคัญ เช่น การยืนยันตัวตน ยังคงพึ่งพาภูมิภาค US-East ของ AWS อยู่

ศักยภาพการเร่งเติบโตของ AWS

น่าแปลกใจที่นักลงทุนแสดงความกังวลต่อเหตุขัดข้องนี้น้อยมาก บางคนชี้ว่า สิ่งที่สำคัญกว่าระยะเวลาที่ระบบล่ม คือ หน่วยงานคลาวด์ของ Amazon จะสามารถเร่งการเติบโตได้อีกครั้งหรือไม่ — โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื่องจากรายได้ของ AWS ในไตรมาส 2 เติบโตช้ากว่าคู่แข่งอย่าง Google และ Microsoft อย่างมาก

เบิร์นสไตน์ (Bernstein) เชื่อว่า Amazon สามารถพลิกฟื้น AWS ได้ และคาดการณ์ว่า จะเห็นการเร่งตัวที่ชัดเจนและแข็งแกร่งภายในสิ้นปี

ด้วยผลประกอบการไตรมาส 3 ของ Amazon ที่จะประกาศในปลายเดือนนี้ Deutsche Bank ระบุว่า ชะตากรรมของหุ้น Amazon ขึ้นอยู่กับ AWS ทั้งหมด แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านอุปทานอยู่ แต่การเพิ่มกำลังการผลิตจาก “Project Rainier” ซึ่งเป็นโครงการศูนย์ข้อมูลรุ่นถัดไปของ Amazon อาจผลักดันอัตราการเติบโตรายไตรมาสของ AWS จาก 17.5% เป็น 18–19% และปูทางสู่การเติบโต 20% ในไตรมาส 4

นักวิเคราะห์ยังเน้นย้ำถึงศักยภาพการมีส่วนร่วมของ Anthropic ต่อรายได้ของ AWS Amazon ได้เพิ่มการลงทุนในสตาร์ทอัพด้าน AI แห่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเดิมพันว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ AI ในภาคองค์กรจะพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) ชี้ว่า เหตุขัดข้องครั้งนี้อาจกระตุ้นให้ภาคธุรกิจเพิ่มงบประมาณด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ — ซึ่งจะสร้างผู้ได้ประโยชน์ชัดเจน: ผู้ให้บริการคลาวด์และศูนย์ข้อมูล — รวมถึง Amazon เองในระดับหนึ่งด้วย

เนื้อหานี้แปลโดย AI ซึ่งอาจมีข้อผิดพลาดจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยีและภาษา จึงไม่สามารถรับประกันความถูกต้อง และความสมบูรณ์ของเนื้อหาได้ทั้งหมด ในการนำข้อมูลไปใช้ โปรดอ้างอิงจากต้นฉบับ และใช้วิจารณญาณประกอบการตัดสินใจ ทั้งนี้ บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือความเข้าใจผิดใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้เนื้อหาดังกล่าว

ลิงก์บทความต้นฉบับ