ราคาน้ำมัน West Texas Intermediate (WTI) ยังคงทรงตัว โดยอยู่ที่ประมาณ 66.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเซสชั่นเอเชียในวันพฤหัสบดี ความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อ่อนแอได้ชดเชยผลกระทบของพายุเฮอริเคนฟรานซีนต่อการผลิตน้ำมันของสหรัฐอเมริกา (US) ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดในโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการน้ำมันในตลาดหลัก ๆ อย่างเช่น จีนที่อยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากการนํารถยนต์ไฟฟ้ามาใช้เพิ่มขึ้นช่วยลดการใช้น้ำมัน
เมื่อวันพุธมีรายงานว่า การผลิตพลังงานในอ่าวเม็กซิโกหยุดชะงักไปบางส่วนและโรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งในรัฐหลุยเซียนาได้ลดการดําเนินงานลงก่อนที่พายุเฮอริเคนฟรานซีนจะพัดขึ้นฝั่ง ตามรายงานอย่างเป็นทางการที่อ้างอิงจาก Reuters
สต็อกน้ำมันของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นทั่วทั้งกระดานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากการนําเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นและการส่งออกลดลง ตามรายงานของสํานักงานข้อมูลด้านพลังงาน (EIA) เมื่อวันพุธ รายงานดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่าความต้องการน้ำมันเบนซินลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ในขณะที่ความต้องการเชื้อเพลิงกลั่นก็ลดลงเช่นกัน ซึ่งยังรวมไปถึงการดำเนินการของโรงกลั่นต่าง ๆ ที่ลดลงด้วย
แม้จะมีปริมาณสินค้าคงคลังน้อยกว่าที่คาดไว้ แต่ราคาน้ำมันดิบก็ยังคงอ่อนตัวอยู่ โดยข้อมูลของ EIA แสดงให้เห็นว่าสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 0.833 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 6 กันยายน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ 0.9 ล้านบาร์เรล
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปี 2567 ซึ่งเป็นการปรับลดลงเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน OPEC ยังได้ปรับลดการคาดการณ์อุปสงค์สําหรับปีหน้าด้วย
เทรดเดอร์ตลาดน้ำมันกําลังจับจ้องการเผยแพร่ข้อมูลรายงานตลาดรายเดือนของสํานักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ในปลายสัปดาห์นี้ เพื่อมองหาตัวบ่งชี้แนวโน้มอุปสงค์ที่อ่อนแอลง ตามรายงานจาก ANZ Research ในวันพฤหัสบดี
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 13 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย