ผู้ซื้อทองคำยังคงควบคุมใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ท่ามกลางการหลบหนีไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยและเฟดที่ผ่อนคลาย
- ราคาทองคำยังคงทำสถิติสูงสุดในวันพฤหัสบดีท่ามกลางพื้นฐานที่สนับสนุน
- ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนและความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์สนับสนุนโลหะมีค่าในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
- การเก็งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดและการปิดรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อ USD และเพิ่มการสนับสนุนเพิ่มเติม
ทองคํา (XAU/USD) ยังคงรักษาแนวโน้มขาขึ้นในช่วงครึ่งแรกของตลาดลงทุนยุโรป และขณะนี้เคลื่อนไหวใกล้จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่แตะเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ท่ามกลางพื้นฐานที่สนับสนุน ความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากการปิดรัฐบาลของสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กลับมาอีกครั้ง รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ยังคงทำหน้าที่เป็นแรงหนุนให้กับโลหะมีค่าในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
นอกจากนี้ ความเห็นที่เพิ่มขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดต้นทุนการกู้ยืมอีกสองครั้งในปีนี้ ทำให้ดอลลาร์สหรัฐ (USD) ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องเป็นวันที่สาม และช่วยสนับสนุนทองคำที่ไม่มีผลตอบแทน ขณะที่เทรดเดอร์ขาขึ้นใน XAU/USD ดูเหมือนจะไม่ถูกกระทบจากสภาวะซื้อมากเกินไปและบรรยากาศความเสี่ยงที่เป็นบวก ซึ่งสนับสนุนกรณีการปรับตัวขึ้นต่อไป
ข่าวสารประจำวัน: ปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาด: ทองคำยังคงได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยหลายประการ
- การปิดรัฐบาลกลางบางส่วนได้ขยายเข้าสู่สัปดาห์ที่สาม โดยไม่มีการแก้ไขปัญหาใด ๆ การลงคะแนนเสียงในร่างกฎหมายการระดมทุนชั่วคราวที่สนับสนุนโดยพรรครีพับลิกันเพื่อเปิดรัฐบาลล้มเหลวในการได้รับคะแนนเสียงที่จำเป็นสำหรับการผ่านในวุฒิสภาเป็นครั้งที่เก้าติดต่อกันในวันพุธ
- นักลงทุนดูเหมือนจะกังวลว่าการปิดรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจ เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังกล่าวว่าการปิดอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สูญเสียผลผลิต 15 พันล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ซึ่งแก้ไขคำแถลงก่อนหน้านี้จากรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง Scott Bessent
- ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนทวีความรุนแรงขึ้นอีกหลังจากทั้งสองฝ่ายเรียกเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือแบบตอบโต้ในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่ากำลังพิจารณายุติการค้าขายกับจีนในน้ำมันปรุงอาหารเพื่อตอบโต้การที่จีนปฏิเสธที่จะซื้อถั่วเหลืองจากอเมริกา
- ทรัมป์กล่าวว่าเขามองเห็นสหรัฐฯ อยู่ในสงครามการค้าครั้งใหญ่กับจีน อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ Scott Bessent เสนอให้หยุดการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นเวลานานกว่าสามเดือนหากจีนหยุดแผนการควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดต่อแร่หายาก
- ในด้านภูมิศาสตร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ Pete Hegseth เตือนรัสเซียเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการรุกรานอย่างต่อเนื่องหากสงครามในยูเครนยังไม่สิ้นสุด นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวว่าเขากำลังพิจารณาที่จะจัดหาอาวุธนำวิถี Tomahawk ระยะไกลให้กับยูเครน
- ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจอโรม พาวเวลล์ ได้แสดงท่าทีผ่อนคลายเมื่อวันอังคาร โดยกล่าวว่าตลาดแรงงานยังคงติดอยู่ในภาวะการจ้างงานต่ำและการเลิกจ้างต่ำจนถึงเดือนกันยายน ซึ่งยืนยันการเดิมพันของตลาดสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดในที่ประชุมเดือนตุลาคมและธันวาคม
- ดอลลาร์สหรัฐยังคงแนวโน้มขาลงเป็นวันที่สามติดต่อกันและลดลงสู่ระดับต่ำกว่าในรอบกว่าหนึ่งสัปดาห์ในช่วงเซสชั่นเอเชียในวันพฤหัสบดี ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่และสนับสนุนกรณีการปรับตัวขึ้นในระยะสั้น
- ในขณะที่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อการตลาดอย่างมีนัยสำคัญ การกล่าวสุนทรพจน์จากสมาชิก FOMC ที่มีอิทธิพลหลายคนจะถูกตรวจสอบเพื่อหาสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความต้องการ USD และให้แรงกระตุ้นที่มีความหมายต่อทองคำที่ไม่มีผลตอบแทน
เทรดเดอร์ขาขึ้นในทองคำยังไม่พร้อมที่จะยอมแพ้แม้จะมีสภาวะซื้อมากเกินไป
คู่ XAU/USD มีแนวโน้มสูงขึ้นตามเส้นแนวโน้มที่ชันขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ การทะลุและการยอมรับเหนือระดับ $4,200 อาจถือเป็นสัญญาณใหม่สำหรับกระทิง อย่างไรก็ตาม ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) รายวันที่ซื้อมากเกินไปอย่างมากควรระมัดระวังก่อนที่จะตั้งตำแหน่งสำหรับการปรับตัวขึ้นเพิ่มเติม
ในขณะเดียวกัน การย่อตัวใด ๆ อาจดึงดูดผู้ซื้อใกล้ระดับ $4,200 ซึ่งจะช่วยจำกัดการลดลงสำหรับทองคำใกล้ระดับ $4,180-4,175 อย่างไรก็ตาม หากมีการทะลุอย่างชัดเจนต่ำกว่าระดับดังกล่าว อาจกระตุ้นการขายทางเทคนิคและดึงสินค้าโภคภัณฑ์ลงไปที่แนวรับกลางที่ $4,135-4,135 ก่อนที่จะไปถึงระดับ $4,100 แนวรับที่เกี่ยวข้องถัดไปอยู่ใกล้ระดับ $4,060-4,055 ซึ่งหากทะลุอย่างเด็ดขาด อาจถือเป็นสัญญาณแรกว่าคู่ XAU/USD ได้แตะจุดสูงสุดในระยะสั้น
Risk sentiment: คำถามที่พบบ่อย
ในโลกของศัพท์ทางการเงิน มักจะมีคําที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสองคํา "risk-on" และ "risk off" สองคำนี้หมายถึงระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนเต็มใจที่จะยอมรับในช่วงเวลาที่อ้างอิง ในตลาดลงทุนที่ "เปิดรับความเสี่ยง" คือสิ่งที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับอนาคต และเต็มใจที่จะซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ในตลาดลงทุนที่ "ปิดรับความเสี่ยง" นักลงทุนเริ่ม 'ลงทุนอย่างปลอดภัย' เพราะพวกเขากังวลเกี่ยวกับอนาคต ดังนั้นจึงซื้อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า ซึ่งมีความแน่นอนมากขึ้นในการให้ผลตอบแทนแม้ว่าจะค่อนทำกำไรได้น้อยก็ตาม
โดยปกติในช่วงที่ตลาดลงทุน "มีความเสี่ยง" ตลาดหุ้นจะเพิ่มขึ้นสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่เข้าพอร์ต ทองคําก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้เช่นกันเนื่องจากได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตที่มีมากขึ้น สกุลเงินของประเทศที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์จํานวนมากจะแข็งแกร่งขึ้นเเพราะความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น สกุลเงินดิจิทัลก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในตลาดลงทุนที่ "ปิดรับความเสี่ยง" พันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลชื่อดัง ทองคําได้รับความนิยม และสกุลเงินที่ถือได้ว่าเป็นสินทรัพย์สำรองปลอดภัย เช่น เยนญี่ปุ่น ฟรังก์สวิส และดอลลาร์สหรัฐ ล้วนได้รับประโยชน์
ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) ดอลลาร์แคนาดา (CAD) ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD) และสกุลเงินรองลงมา เช่น รูเบิล (RUB) และแรนด์แอฟริกาใต้ (ZAR) ล้วนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในตลาดที่ "เปิดรับความเสี่ยง" นี่เป็นเพราะเศรษฐกิจของสกุลเงินเหล่านี้พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์อย่างมากเพื่อการเติบโต และสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มที่จะขึ้นราคาในช่วงที่ตลาดกล้าเปิดรับความเสี่ยง เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าจะมีความต้องการวัตถุดิบมากขึ้นในอนาคตเพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
สกุลเงินหลักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงที่ "ปิดรับความเสี่ยง" ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ (USD) เยนญี่ปุ่น (JPY) และฟรังก์สวิส (CHF) ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินสํารองของโลกและเพราะในช่วงวิกฤต นักลงทุนจะซื้อหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งถูกมองว่าปลอดภัยเพราะเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกาไม่น่าจะผิดนัดชําระหนี้ เงินเยนจะแข็งค่าขึ้นเพราะมีความต้องการพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นมากขึ้น สาเหตุนั้นเป็นเพราะนักลงทุนในประเทศที่ถือหุ้นด้วยสัดส่วนที่สูงไม่น่าจะทิ้งพันธบัตรเหล่านี้แม้อยู่ในภาวะวิกฤต ฟรังก์สวิสแข็งค่าขึ้นเพราะกฎหมายการธนาคารของสวิสที่เข้มงวดช่วยให้นักลงทุนได้รับการคุ้มครองเงินทุนมากขึ้น
บทความแนะนำ
