TradingKey – วันจันทร์ที่ 21 เมษายน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พบหารือกับซีอีโอของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ 3 แห่งที่ทำเนียบขาว ได้แก่ ดั๊ก แมคมิลลอน แห่งวอลมาร์ท, ไบรอัน คอร์แนลล์ แห่งทาร์เก็ต และเท็ด เดคเกอร์ แห่งโฮมดีโป
หลังการประชุม ทั้งสามบริษัทออกแถลงการณ์ในทำนองเดียวกัน โดยอธิบายว่าการเจรจาเป็นไปอย่าง “สร้างสรรค์” และ “ให้ผลลัพธ์เชิงบวก”
ทรัมป์ได้เริ่มสงครามภาษีทั่วโลก โดยประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราที่สูงกว่านานาประเทศ อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจีนเป็นส่วนสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงสร้างความท้าทายให้ผู้ค้าปลีกในสหรัฐ
ผลกระทบจากภาษีเหล่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท เช่น วอลมาร์ท ซึ่งสินค้าที่วางจำหน่ายในสหรัฐสองในสามผลิตในประเทศ แต่ทาร์เก็ต ซึ่งเน้นเฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้าน นำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยจีนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของห่วงโซ่อุปทาน
โดยรวมแล้ว ภาษีที่สูงขึ้นจะเพิ่มต้นทุนการนำเข้า กดดันกำไรบริษัท และลดความมั่งคั่งของผู้บริโภคอเมริกัน สมาคมการค้าหลายแห่งชี้ว่าการเก็บภาษีมากขึ้นจะสร้างความกังวลให้ทั้งภาคธุรกิจและประชาชน
ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ด้วยความกังวลต่อผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ วอลมาร์ทจึงถอนคำแนะนำอัตราการเติบโตรายได้ไตรมาสแรกออก โดยเดิมคาดว่าจะเติบโต 0.5–2.0% ซีอีโอแมคมิลลอนให้เหตุผลว่า สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป และยังไม่แน่ใจในทิศทางต่อไป แต่จะมุ่งมั่นควบคุมราคาให้ต่ำที่สุด
เจพีมอร์แกนระบุว่า ภายใต้ความไม่แน่นอนจากการเจรจาด้านการค้าของทรัมป์ คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนใน S&P 500 จะปรับลดลง โดยหลายบริษัทถอนคำแนะนำผลประกอบการออกไปแล้ว และเจพีมอร์แกนคาดว่าจะมีรายอื่นทยอยทำตาม
ล่าสุด นักวิเคราะห์เจพีมอร์แกนปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไร S&P 500 ในอีก 1 เดือนข้างหน้า จากเดิมคาดโต 5% มาเป็นทรงตัว หรืออาจติดลบ 5% ได้