ตัวบ่งชี้ 3 ตัวที่จะช่วยคุณค้นหาจุดกลับตัวและรับรายได้เพิ่มเติม

การหาจุดกลับตัวแทบเรียกได้ว่าเป็นจุดที่นักเทรดและนักลงทุนหลายคนเฝ้าฝันถึงเลยก็ว่าได้ เพราะโซนนี้เป็นโซนที่ให้ราคาดีที่สุดของรอบ คือหากเป็นจุดกลับตัวในขาขึ้น นักเทรดก็มีโอกาสขายได้ที่ราคาสูง ในทางกลับกันหากเป็นจุดกลับตัวของแนวโน้มขาลงก็ทำให้นักเทรดสามารถซื้อได้ที่ราคาต่ำ

แต่การประมาณจุดกลับตัวของราคาด้วยการวิเคราะห์พื้นฐาน ข่าว หรือ การกะด้วยสายตาก็อาจเป็นเรื่องเสี่ยงเกินไป นักเทรดมืออาชีพจึงนิยมนำ indicator บอกจุดกลับตัวมาใช้ประมาณจุดกลับตัวคร่าว ๆ ของเทรน เพื่อเสริมระบบเทรดให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น

การเลือก indicator บอกจุดกลับตัวนิยมใช้อินดิเคเตอร์เชิงโมเมนตัมที่บอกจุด Overbought หรือ Oversold ที่จะทำให้เราเห็นโมเมนตัมหรือแรงส่งของราคาได้ดี แต่การใช้อินดิเคเตอร์บอกโมเมนตัมบอกค่าตรง ๆ มักเกิดความคลาดเคลื่อนได้ โดยเฉพาะเมื่อตลาดเกิดแนวโน้มอย่างแข็งแกร่งมาก ๆ จนทำให้เกิดการ Overbought ซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือ Oversold ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ดังนั้นสิ่งที่เราต้องคำนึงนอกเหนือไปจากการเลือก indicator บอกจุดกลับตัวก็คือ การนำอินดิเคเตอร์ตัวนี้ไปใช้ ซึ่งเรามักนำอินดิเคเตอร์บอกโมเมนตัมมาหาจุดกลับตัวได้โดยการดูจังหวะ Divergence

Indicator บอกจุดกลับตัวที่นิยมนำมาใช้ดูจังหวะ Divergence บ่อย ๆ เช่น

1. RSI Divergence

RSI เป็นอินดิเคเตอร์ในกลุ่ม Momentum ที่คำนวณค่าออกมาระหว่าง 0 – 100 ซึ่งเราคุ้นเคยกันดีกับการแบ่งโซนบอกค่า RSI แบบง่าย ๆ นั้นคือ

- RSI มากกว่า 70 แสดงสัญญาณราคาเข้าเขต Overbought หรือ ซื้อมากเกินไป ที่แสดงสภาวะของราคาแบบ Bullish สูง แนวนี้จึงเป็นโซนที่นักเทรดพิจารณาขาย

- RSI ต่ำกว่า 30 แสดงสัญญาณราคาเข้าเขต Oversold หรือ ขายมากเกินไป ที่แสดงสภาวะของราคาแบบ Bearlish สูง แนวนี้จึงเป็นโซนที่นักเทรดพิจารณาซื้อ

แต่การใช้ RSI แบบนี้จะแม่นยำเฉพาะการบอกโมเมนตัมขณะที่ตลาด Sideway เท่านั้น และหากตลาดมีแนวโน้มแข็งแกร่งก็จะทำให้ RSI แสดงค่า Overbought/ Oversold ได้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ทำให้การขายในโซน Overbought จะทำให้ขายหมู ส่วานการซื้อในโซน Oversold ก็อาจทำให้ไม่ได้ราคาที่ต่ำจนเป็นจุดกลับตัวจริง ๆ

การนำ RSI มาบอกจุดกลับตัวที่ปลอดภัยมากขึ้นคือการเปรียบเทียบความขัดแย้งของ RSI สองจุดขึ้นไป โดย

★ จุดกลับตัวในแนวโน้มขาขึ้น Bearish Divergence ★ 

- เมื่อ RSI ปรับตัวขึ้นเหนือโซน 70 พร้อมราคาทำจุดสูงสุดใหม่ หมายความว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะ Overbought ซึ่งในแนวโน้มที่แข็งแกร่งจะสามารถแสดงภาวะ Overbought ต่อไปเรื่อย ๆ พร้อมกับราคาที่ทำจุดสูงสุดใหม่ไปเรื่อย ๆ จึงไม่ควรขายในจุดนี้ แต่ให้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม

- หลังจากทำจุดสูงสุดครั้งแรกเหนือ RSI 70 ราคาเริ่ม correction พร้อม RSI ที่เริ่มกดต่ำกว่า 70 แสดงว่าโมเมนตัมการขึ้นเริ่มลดลง แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันการเป็นจุดกลับตัวได้

- วิธีการหาจุดกลับตัวคือการเทียบความแข็งแกร่งของการปรับตัวขึ้นของราคา และความแข็งแกร่งของโมเมนตัมของ RSI ซึ่งหากราคายังคงปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ แต่โมเมนตัมของ RSI อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ นี่คือภาวะที่ RSI เริ่มบ่งบอกภาวะขัดแย้ง (RSI Divergence) และการปรับตัวลงของ RSI ต่ำกว่า 70 จะเป็นจุดที่เร็วที่สุดสำหรับการบอกจุดกลับตัวของราคา และเป็นจุดที่ค่อนข้างปลอดภัยสำหรับการขาย

★ จุดกลับตัวในแนวโน้มขาลง Bullish Divergence ★

- เมื่อ RSI ปรับตัวต่ำกว่า 30 พร้อมกับราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ หมายความว่าตลาดกำลังอยู่ในภาวะ Oversold ซึ่งสามารถทำ Oversold ต่อไปพร้อมกับราคาที่ทำจุดต่ำใหม่ไปเรื่อย ๆ นักเทรดจึงไม่ควรซื้อที่จุดนี้ แต่ให้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม

- หลังจากทำจุดต่ำสุดครั้งแรกพร้อม RSI ต่ำกว่า 30 ราคาเริ่มรีบาวน์พร้อม RSI ที่เริ่มยืนตัวเหนือเขต Oversold แสดงโมเมนตัมการลงเริ่มอ่อนแรงลง แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันการเป็นจุดกลับตัวได้

- วิธีการหาจุดกลับตัวคือการเทียบความแข็งแกร่งของการปรับตัวขึ้นของราคา และความแข็งแกร่งของโมเมนตัมของ RSI ซึ่งหากราคายังคงปรับตัวลงเรื่อย ๆ แต่โมเมนตัมของ RSI แสดงภาวะ Oversold ลดลงเรื่อย ๆ RSI จะเริ่มบ่งบอกภาวะขัดแย้ง (RSI Divergence) และการปรับตัวลงของ RSI สูงกว่า 30 อีกครั้งจะเป็นจุดที่เร็วที่สุดสำหรับการบอกจุดกลับตัวของราคา และเป็นจุดที่ค่อนข้างปลอดภัยสำหรับการซื้อ

2. MACD Divergence

MACD เป็นอินดิเคเตอร์อีกตัวที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ ซึ่ง Forex Indicator ตัวนี้นำมาใช้ได้ทั้งการบอกโมเมนตัมและการบอกแนวโน้ม ส่วนใหญ่เราใช้ MACD แบบคร่าว ๆ โดย

การบอกแนวโน้ม

- MACD ปรับตัวเหนือเส้น 0 หมายถึงราคาเริ่มกลับตัวเป็นขาขึ้น 

- MACD ปรับตัวต่ำกว่าเส้น 0 หมายถึงราคาเริ่มกลับตัวเป็นขาลง

การบอกโมเมนตัม

สามารถใช้ MACD ชี้วัดโมเมนตัมด้วยการดูค่า Histogram ที่เป็นส่วนต่างระหว่าง MACD และ Signal Line

- หาก Histogram ที่มีค่าบวกหมายถึงราคามีโมเมนตัมในขาขึ้น ยิ่ง Histogram มีค่าสูงแสดงถึงแนวโน้มการขึ้นที่แข็งแกร่ง ส่วนค่า Histogram ที่มีค่าบวกเหนือเส้น 0 แต่มีแนวโน้มลดลงจะหมายถึงแนวโน้มขาขึ้นที่เริ่มอ่อนแรงลง

- หาก Histogram ที่มีค่าลบหมายถึงราคามีโมเมนตัมในขาลง ยิ่ง Histogram มีค่าลบมากยิ่งแสดงถึงแนวโน้มการลงที่แข็งแกร่ง แต่หาก Histogram ที่มีค่าลบพร้อมกับมีแนวโน้มลบลดลงจะหมายถึงแนวโน้มขาลงที่เริ่มอ่อนแรง

แต่ลำพังแค่การบอกการอ่อนแรงของโมเมนตัมนั้นไม่เพียงพอที่จะบอกจุดกลับตัว แต่เรายังมีวิธีใช้ MACD สำหรับบอกจุดกลับตัวได้เช่นเดียวกับ RSI คือการสังเกตค่า MACD Divergence โดยการเปรียบเทียบค่าความขัดแย้งของ Momentum จาก Histograme สองจุดขึ้นไป

★ จุดกลับตัวในแนวโน้มขาขึ้น Bearish Divergence ★ 

- เมื่อราคาปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่พร้อมกับ Histograme ปรับตัวขึ้นเริ่มมีแนวโน้มปรับลดลง จุดนี้มองว่าโมเมนตัมของราคาที่ปรับตัวขึ้นเริ่มอ่อนแรงลงแต่ยังไม่สามารถยืนยันการเป็นจุดกลับตัวเป็นขาลงได้ เพราะราคาในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งจะยังคงสามารถเปลี่ยนกลับขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ได้เสมอ

- เมื่อราคาเริ่มเกิดการ correction แล้วเหวี่ยงกลับขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ ขณะที่ Histograme เริ่มกลับไปขึ้นไปแสดงค่าที่ชันขึ้นอีกครั้งแต่แสดงค่าน้อยกว่าจุดสูงสุดแรก ซึ่งแสดงว่าเกิดการขัดแย้งของราคากับโมเมนตัมที่ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่โมเมนตัมที่วัดได้จาก Histograme ไม่ได้ให้ค่ายืนยันโมเมนตัมที่สูงในทิศทางเดียวกัน จนเกิดเป็น MACD Bearlish Divergence การปรับขึ้นของราคาในครั้งนี้จึงไม่เสถียรและมีแนวโน้มกลับตัวเป็นขาลง

★ จุดกลับตัวในแนวโน้มขาลง Bullish Divergence ★

- เมื่อราคาปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดใหม่พร้อมกับ Histograme ที่มีค่าลบมาก ๆ เริ่มมีแนวโน้มลดช่วงลบลงพร้อม ๆ กับราคาที่เริ่มรีบาวน์ จุดนี้มองว่าโมเมนตัมของราคาที่ปรับตัวลงเริ่มอ่อนแรงลงแต่ยังไม่สามารถยืนยันการเป็นจุดกลับตัวเป็นขาขึ้นได้ เพราะราคาในแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่งจะยังคงสามารถเปลี่ยนกลับลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่ได้เสมอ

- เมื่อราคาเริ่มเกิดการ rebound แล้วเหวี่ยงกลับลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่ ขณะที่ Histograme เริ่มกลับไปขึ้นไปแสดงค่าลบที่ชันขึ้นอีกครั้งแต่ลบน้อยกว่าครั้งแรก แสดงสัญญาณขัดแย้งของราคากับโมเมนตัมที่ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่โมเมนตัมที่วัดได้จาก Histograme ไม่ได้ให้ค่ายืนยันโมเมนตัมในทิศทางเดียวกัน จนเกิดเป็น MACD Bullish Divergence การปรับลงของราคาในครั้งนี้จึงไม่เสถียรและมีแนวโน้มกลับตัวเป็นขาขึ้น

3. OBV Divergence

นอกเหนือไปจากอินดิเคเตอร์บอกโมเมนตัม อินดิเคเตอร์บอก Volume ก็เป็นอีกหนึ่งประเภทที่สามารถนำมาใช้กับการยืนยันจุดกลับตัวของแนวโน้มได้โดยการสังเกตสัญญาณขัดแย้ง

OBV เป็นอินดิเคเตอร์ที่นำปริมาณและการปิดสูง-ต่ำ (แท่งเทียนสีเขียวหรือสีแดง) เข้ามาคำนวณเทียบปริมาณซื้อ/ขายที่เปลี่ยนไป

OBV ที่มีค่าสูงขึ้น (กราฟเป็นขาขึ้น) หมายถึงช่วงเวลาที่ทำการสังเกตสินทรัพย์ตัวนั้นกำลังมีการซื้อสะสม (มีปริมาณซื้อมากกว่าปริมาณขาย)

ขณะที่ OBV มีค่าต่ำลง (กราฟเป็นขาลง) หมายถึงช่วงเวลาที่ทำการสังเกตสินทรัพย์นั้นกำลังมีกาทยอยขาย (ปริมาณขายมากกว่าปริมาณซื้อ) 

ซึ่งเราสามารถนำการบ่งบอกปริมาณซื้อขายนี้มาดูจุดกลับด้วยได้ด้วยการสังเกตสัญญาณ Divergence เช่นกัน คือ

★ จุดกลับตัวในแนวโน้มขาขึ้น Bearish Divergence ★ 

สังเกตราคาที่ทำจุดสูงสุดใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ OBV ส่งสัญญาณขัดแย้งคือมีแนวโน้มชันลดลง ซึ่งหมายความว่าขณะที่ราคาสูงขึ้น ในด้าน Volume กลับมีการทยอยขายออกมา ทำให้การขึ้นครั้งนี้เป็น Bearish Divergence และเป็นการขึ้นที่ไม่เสถียร สุดท้ายจึงมีโอกาสเป็นจุดกลับตัวเป็นขาลงได้สูง

★ จุดกลับตัวในแนวโน้มขาลง Bullish Divergence ★

สังเกตราคาที่ทำจุดต่ำสุดใหม่เรื่อย ๆ แต่ OBV ส่งสัญญาณขัดแย้งคือมีแนวโน้มชันเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าขณะที่ราคาต่ำลง ในด้าน Volume กลับมีการทยอยซื้อกลับ ทำให้การขึ้นครั้งนี้เป็น Bullish Divergence และเป็นการลงที่ไม่เสถียร สุดท้ายจึงมีโอกาสเป็นจุดกลับตัวเป็นขาขึ้นได้สูง

และคราวนี้เราก็ได้มาทำความรู้จัก indicator บอกจุดกลับตัวแบบง่าย ๆ ที่ใครหลาย ๆ คนก็อาจใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการเทรดกันอยู่แล้ว แต่การเพิ่มเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้เรานำ indicator บอกจุดกลับตัวเหล่านี้ไปใช้ได้อย่างแม่นยำและเป็นประโยชน์กับระบบเทรดของเราได้มากยิ่งขึ้น

นอกเหนือไปจาก RSI MACD และ OBV เรายังสามารถนำอินดิเคเตอร์ในสายโมเมนตัมหรือ Volume ที่เราถนัดมาประยุกต์ใช้เป็น indicator บอกจุดกลับตัวได้ไม่ต่างกัน โดยสังเกตจากสัญญาณความขัดแย้งของราคาและโมเมนตัมหรือ Volume ที่เกิดขึ้น แล้วจึงค่อยหาจุดเข้าทำรายการ ซึ่งเทคนิคเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มากสำหรับการนำไปใช้เทรดในตลาดจริงต่อไป

MiTrade เป็นโบรกเกอร์ forex ที่มีความน่าเชื่อถือสูงและได้รับความนิยมจากนักลงทุนไทยอย่างมาก แพลตฟอร์มการเทรด ของ MiTrade ได้เสนอเครื่องมือและบริการหลากหลายเพื่อสนับสนุนความต้องการในการเทรดของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นกราฟราคาแบบเรียลไทม์ที่แสดงแนวโน้มการเคลื่อนไหวของคู่สกุลเงินต่าง ๆ พร้อมทั้งเครื่องมือช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์ เช่น การตีเส้นแนวโน้ม, พิชฟอร์ค, การวาดบรัชและเครื่องมือช่วยวัดระยะ ฯลฯ เพื่อเพิ่มความแม่นยำการคาดการณ์ให้มากขึ้น

นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกปรับรูปแบบกราฟราคาได้ตามความต้องการ เช่น กราฟบาร์ (Bar Chart), กราฟแท่งเทียน, กราฟแท่งเทียนแบบกลวง, กราฟไฮเกน อาชิ, กราฟเส้นฐาน กราฟเส้นที่เห็นพื้นที่ใต้กราฟ ฯลฯ ทั้งยังสามารถเลือกช่วงกรอบราคา (Time frame) ได้ด้วย รวมถึงรอบราคา M1, M5, M15, M30, H1, H2, H4, D1, W1, M1 ในแบบที่ประยุกต์ใช้ได้กับทุกรูปแบบในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

MiTrade ได้เสนอ Indicators หลากหลายให้ลูกค้าได้เลือกใช้ครบทุกความต้องการที่จำเป็น ทั้ง Indicators ยอดฮิตอย่าง Simple Moving Averages (SMA), Exponential Moving Averages (EMA), Moving Average Convergence Divergence (MACD), Relative Strength Index (RSI),Momentum, Bollinger Bands, Commodity Channel Index (CCI), TRIX, Average True Range (ATR), Weighted Moving Average ฯลฯ เป็นต้น

หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณอาจอยากลองสัมผัสกับ Indicators เหล่านี้จริง ๆ และคุณก็สามารถทำได้ฟรี! โดยที่ไม่ต้องฝากเงิน เพราะที่ Mitrade มีระบบบัญชีทดลองที่ให้ทดลองเทรดได้ฟรี เพียงเปิดบัญชีภายใน 3 นาทีและเลือกคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่คุณกำลังมองหา 

ฟรี!！$50,000 จาก Mitrade ฝึกฝนเทรดผ่าน บัญชีทดลอง แบบไร้ความเสี่ยง!!

ลองใช้บัญชีทดลองฟรี!!