วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 18 เม.ย. 2567

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

วิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคำประจำวันที่ 18 เมษายน 2567 โดยในวันที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวลดลงท่ามกลางความกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ดีขึ้นและการแสดงความคิดเห็นเชิง hawkish จากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยราคาทองคำปรับตัวลดลง 0.34% หลังจากแตะระดับสูงสุดที่ 2,395 ดอลลาร์ในรอบวัน

ความตึงเครียดในตะวันออกกลางลดลง หลังจากเจ้าหน้าที่อิสราเอลแสดงความเห็นว่าพวกเขาพิจารณาที่จะโจมตีอิหร่านเมื่อวันจันทร์ แต่ตัดสินใจที่จะรอตามรายงานของ Axios ในขณะเดียวกัน Jake Sullivan ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวกล่าวว่าสหรัฐจะคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มเติมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ในความเห็นเมื่อวาน ประธาน Fed Jerome Powell ก็ได้ยืนยันแทบจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ววันนี้ ขณะที่ตลาดกำลังสงสัยว่า แล้วธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้หรือไม่

โดย Powell กล่าวว่ามี “ความคืบหน้าเพิ่มเติมน้อยลง” ในการลดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมาย 2% ของ Fed ซึ่งหมายถึงอาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อให้มั่นใจมากพอที่จะเริ่มผ่อนคลายนโยบาย

Mark หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Moody's Analytics กล่าวว่า Fed มีเศรษฐกิจอยู่ในจุดที่ต้องการแล้ว ตอนนี้พวกเขาจึงโฟกัสไปที่ตัวเลขเงินเฟ้อ คำถามคือตรงนี้มีเกณฑ์อะไรให้ดูบ้าง ความรู้สึกของ Zandi คือ Fed ต้องการตัวเลขเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับเป้าหมาย 2% เป็นเวลาสองหรือน่าจะสามเดือนติดต่อกัน หากนั่นคือเกณฑ์ เร็วที่สุดที่พวกเขาจะทำได้คือเดือนกันยายน ซึ่ง Zandi ไม่เห็นการปรับลดอัตราก่อนหน้านั้น

เนื่องจากส่วนใหญ่ตัวเลขเงินเฟ้ออยู่ที่ราว 3% และไม่ได้เคลื่อนไหวมากนักเป็นเวลาหลายเดือน Fed จึงพบว่าตัวเองอยู่ในช่วงสุดท้ายที่ยากลำบากในการไปถึงเป้าหมาย

ราคาตลาดสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมีความผันผวนสูงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดติดตามคำพูของ Fed ที่เปลี่ยนไปมา ณ บ่ายวันพุธ ตลาดกำลังตั้งราคาโอกาสราว 71% ว่าธนาคารกลางจะรอจนถึงเดือนกันยายนจริงๆ โดยมีโอกาสที่จะปรับลดในเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 44% ตามมาตรวัด CME Group's FedWatch

สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สอง มีแนวโน้มไปในเดือนธันวาคม แต่ก็ยังคงเป็นคำถามที่เปิดอยู่

โดย Zandi มองว่าตอนนี้กรณีพื้นฐานสำหรับเขาคือสองครั้ง ครั้งหนึ่งในเดือนกันยายนและอีกครั้งในเดือนธันวาคม แต่อาจเห็นการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งเดียวได้ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งคิดว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีอาจเป็นปัจจัยในสมการสำหรับเจ้าหน้าที่ Fed ที่ยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ถูกโน้มน้าวโดยการเมือง

ความไม่แน่นอนได้แพร่กระจายไปทั่วตลาด โดยที่โอกาสของการไม่มีการปรับลดอัตราในปีนี้อยู่ที่ราว 11% ในวันพุธ แต่ความเป็นไปได้นี้ก็ไม่สามารถมองข้ามได้ในตอนนี้

ยกตัวอย่างเช่นนักเศรษฐศาสตร์ของ Bank of America กล่าวว่ามี “ความเสี่ยงที่แท้จริง” ที่ Fed จะไม่ปรับลดอัตราจนถึงเดือนมีนาคม 2025 แม้ว่าตอนนี้พวกเขายังคงคาดการณ์การปรับลดครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายในปีนี้ในเดือนธันวาคม ตลาดในช่วงต้นปี 2024 ตั้งราคาการปรับลดอย่างน้อย 6 ครั้ง ครั้งละ 0.25%

Stephen Juneau นักเศรษฐศาสตร์ของ BofA คิดว่าผู้กำหนดนโยบายจะไม่รู้สึกสบายใจที่จะเริ่มวงจรการปรับลดในเดือนมิถุนายนหรือแม้แต่กันยายน สรุปสั้นๆ ว่านี่คือความเป็นจริงว่าทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับข้อมูล เมื่อข้อมูลเงินเฟอในช่วงต้นปีสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ Fed จะไม่รีบร้อนที่จะปรับลด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความหวังว่าข้อมูลเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางผ่อนคลายนโยบายการเงินได้

ทางด้านยักษ์ใหญ่แห่งวงการธนาคารอย่าง Citigroup ก็มองว่าราคาทองคำอาจแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในปี 2025 โดยถึงแม้ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นสถานการณ์ที่คาดหวังเกินไป แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้และมีแนวโน้มเกิดขึ้นจริง

ตามความเห็นของ Aakash Doshi หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ประจำภูมิภาคอเมริกาเหนือของ Citi กล่าวในการสัมภาษณ์กับ Yahoo Finance ว่า “เมื่อช่วงปี 2019 ผมได้มาออกรายการที่นี่ และคาดการณ์ว่าทองคำจะอยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายใน 12 เดือนข้างหน้า แต่ตอนนี้เราเชื่อว่า 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเป็นไปได้ภายในปีหน้าหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย”

Doshi ระบุว่าความต้องการจากนักลงทุนเป็น “ตัวขับเคลื่อนหลัก” ที่จะผลักดันให้เรื่องนี้เกิดขึ้น โดยกล่าวว่า “เราเชื่อว่าความต้องการทองคำในเชิงการเงินกำลังไล่ตามความต้องการทางกายภาพที่แข็งแกร่ง” ซึ่งเขาหมายถึงรายงานการซื้อขายทองคำแท่งและเหรียญที่กำลังเติบโต

“นี่คือแนวโน้มระดับโลก เราเห็นความต้องการทองคำแท่งและเหรียญพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงโควิด ตอนนี้สูงกว่าแนวโน้มก่อนเกิดโควิด เราเชื่อว่านี่แสดงถึงความต้องการสกุลเงินที่แข็งแกร่ง”

อีกประเด็นคือเขาเห็นว่าภาคทางการ โดยเฉพาะธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ซื้อทองคำเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยปีที่แล้วซื้อไปกว่าพันตัน ซึ่งสูงเป็นอันดับที่สามนับตั้งแต่ปี 1967

“เราเชื่อว่าความต้องการทางกายภาพนี้มีลักษณะโครงสร้าง แข็งแกร่ง ขับเคลื่อนโดยปัจจัยหลายประการ และความต้องการทองคำเชิงการเงินกำลังไล่ตามความต้องการทางกายภาพนี้อยู่”

Doshi ชี้ให้เห็นว่าราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นราว 20% นับตั้งแต่ช่วงต่ำสุดในเดือนกุมภาพันธ์

“นี่ไม่ใช่แค่เพราะดอลลาร์อ่อนค่า ซึ่งที่จริงดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้นด้วยซ้ำ และไม่ใช่เพราะอัตราผลตอบแทนจริงหรือเงินเฟ้อที่ตัวเลขคาดการณ์ระยะกลางของพันธบัตรสหรัฐลดลง เพราะพวกนี้กำลังอยู่ในระดับสูงสุดของปี” เขาเสริมว่า “เราคิดว่าสัดส่วนความเสี่ยงตอนนี้ยังเอื้อต่อทิศทางขาขึ้นของทองคำ ในระยะกลาง ปัจจัยมหภาคทางการเงินจะตามความต้องการทางกายภาพที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นปัจจัยหนุนตลาดทองคำตลอดปีที่ผ่านมา”

Doshi กล่าวว่าการซื้อทองคำของธนาคารกลางที่แข็งแกร่งในช่วงสองปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อตลาดใน 2 ด้านสำคัญ คือ “ยกระดับราคาทองคำขั้นต่ำและยังช่วยลดความผันผวนเมื่อราคาปรับตัวลง”

“ถ้าสมมติผมมาออกรายการที่นี่เมื่อสองปีก่อน แล้วบอกว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยไปที่ 5.25-5.50% อัตราผลตอบแทนจริงที่คาดการณ์ระยะกลางของพันธบัตรสหรัฐจะพุ่งจากติดลบเป็นบวก 2% คงไม่มีใครคิดว่าทองคำจะทรงตัวเฉลี่ยที่ 1,800-1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ก่อนจะแตะระดับสูงสุดตลอดกาลเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อในปี 2024”

“เราจึงคิดว่าเรื่องความต้องการซื้อของธนาคารกลางมีความสำคัญ เพราะพวกเขาดูดทองคำใหม่ถึง 25-27% ของปริมาณผลิตในแต่ละปี”

Doshi กล่าวว่าความต้องการสกุลเงินทางเลือกก็ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นแรงหนุนราคาทองคำเพิ่มอีก

“ถ้าดูภาระหนี้โลกทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่โควิดในช่วงปี 2020-2023 ภาระหนี้เพิ่มขึ้น 20-25% สู่ระดับ 315 ล้านล้านดอลลาร์ ผมคิดว่าเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง มันคงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับนักลงทุนทองคำและเชื่อว่า หลังวิกฤตการเงินที่เราเห็นทองคำ 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากแนวต้านกลายเป็นฐานราคา ตอนนี้เราอาจอยู่ในช่วงที่ทองคำ 1,900-2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์กลายเป็นแนวรับ และราคาทองจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงเหนือเกณฑ์มาตรฐานนี้นานขึ้น”

เขากล่าวเสริมว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจคือราคาทองคำที่พุ่งขึ้นในช่วง 6-8 สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดขึ้นท่ามกลางการคาดการณ์ที่เข้มงวดขึ้นของ Fed แม้ตลาดเคยคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ย 6-7 ครั้งในช่วงต้นปี ก่อนจะลดลงเหลือ 3-4 ครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ และตอนนี้เหลือต่ำกว่า 2 ครั้ง หลังจากยอดค้าปลีกสหรัฐเดือนมีนาคมแข็งแกร่งก็ตาม

ราคาทองคำปัจจุบันอยู่ที่ระดับ $2,370 ซึ่งยังคงเคลื่อนไหวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 12, 26 และ 200 ชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มหลักยังคงเป็นขาขึ้น อย่างไรก็ตาม จากลักษณะของแท่งเทียนในช่วงที่ผ่านมา เริ่มมีสัญญาณของแรงขายเข้ามากดดันราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแท่งเทียนที่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดตลอดกาล ที่มียอดด้านบนยาวแต่ราคาปิดต่ำกว่าจุดกึ่งกลางของแท่ง แสดงถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงท้ายตลาด

เมื่อดูที่อินดิเคเตอร์ RSI จะเห็นว่าเกิด Bearish Divergence ขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ RSI กลับลดต่ำลง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มขาขึ้นอาจมีการชะลอตัวลง ในขณะที่ Stoch RSI ก็วกกลับตัวลงจากเขต Overbought แล้วเช่นกัน แสดงถึงโมเมนตัมของราคาที่อ่อนแรงลง

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามองอยู่ที่ $2,400 ซึ่งเป็นระดับจิตวิทยา และมีแนวต้านย่อยที่ $2,380-2,390 ส่วนด้านแนวรับนั้นจะเป็นบริเวณ $2,360 รองลงมาคือ $2,329

แม้ว่าแนวโน้มหลักยังถือว่าเป็นขาขึ้น แต่จากสัญญาณต่างๆ มีแนวโน้มที่ราคาจะเกิดการพักฐานหรือย่อตัวลงในระยะสั้น โดยมีเป้าหมายแนวรับที่ $2,360 และ $2,329 อย่างไรก็ตาม หากราคาสามารถยืนเหนือแนวรับไว้ได้ ราคาก็มีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ $2,380-2,400 ได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นระดับที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของแรงซื้อที่จะกลับเข้ามา

สรุปแนวโน้มโดยรวมในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า คาดว่าราคาทองคำมีโอกาสที่จะแกว่งตัวในกรอบ $2,330-2,380 ถึงแม้จะมีน้ำหนักไปทางแนวโน้มขาลงในระยะสั้น แต่หากยังสามารถยืนเหนือแนวรับสำคัญไว้ได้ แนวโน้มหลักขาขึ้นก็ยังคงอยู่ โดยมีเป้าหมายถัดไปที่แนวต้าน $2,400

กราฟทองคำระดับ 4 ชั่วโมง

แนวรับ ในวันนี้จะอยู่ที่บริเวณ $2,360 และ $2,329

แนวต้าน ในวันนี้จะอยู่ที่บริเวณ $2,380-2,400