วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

ราคาทองคำ XAUUSD ในช่วงเช้าของตลาดเอเชียวันนี้ สามารถดีดตัวกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 4,050 ดอลลาร์ได้อีกครั้ง เป็นการหยุดสถิติการร่วงลงต่อเนื่องสามวันทำการ

โดยปัจจัยหนุนสำคัญมาจากภาวะที่นักลงทุนเริ่มเทขายสินทรัพย์เสี่ยงและหันกลับมาถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลที่เริ่มก่อตัวขึ้นในตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดคริปโต

โดยเฉพาะ Bitcoin ที่ร่วงหลุดระดับ 90,000 ดอลลาร์ ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อยและสถาบันที่ใช้เลเวอเรจสูง

ความผันผวนนี้เกิดขึ้นในจังหวะที่ตลาดกำลังเฝ้ารอการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC ในช่วงดึกของคืนนี้ เพื่อหาทิศทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของนโยบายการเงินสหรัฐฯ 

โดยล่าสุดที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทส่งสัญญาณเตือนผ่านตัวเลขทางเทคนิค ทั้ง S&P 500 และ Nasdaq 100 ที่ปิดต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 50 วัน บ่งชี้ว่าการแรลลี่ช่วงปลายปีอาจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายอย่างที่คาดหวัง

เฟดขาดข้อมูลเศรษฐกิจ สัญญาณทิศทางดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป

สถานการณ์การลงทุนในทองคำขณะนี้ถูกกดดันด้วยความไม่แน่นอนจากการขาดหายไปของข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เนื่องจากการปิดตัวของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ (Government Shutdown)

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls - NFP) สำหรับเดือนกันยายนและตุลาคม 2025 ไม่ได้รับการเปิดเผยตามกำหนดการเดิม

สถานการณ์นี้เปรียบเสมือนการเดินเรือแบบตาบอดของ Fed ดังที่ Thomas Barkin ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ได้เปรียบเปรยไว้อย่างน่าสนใจว่า สถานการณ์ปัจจุบันเหมือนกับการพยายามนำเรือเทียบท่าในยามค่ำคืนโดยไร้แสงไฟจากประภาคาร ซึ่งทำให้การตัดสินใจดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้มีความซับซ้อนและเสี่ยงต่อความผิดพลาดสูงมาก

แม้จะมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขการจ้างงานเดือนกันยายนที่จะประกาศย้อนหลังในวันพฤหัสบดีนี้อาจอยู่ที่ 50,000 ตำแหน่ง แต่อัตราการว่างงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4.3% ก็ยังไม่ใช่เครื่องยืนยันที่แข็งแรงพอ

ความไม่ชัดเจนของข้อมูลนี้ กลับถูกซ้ำเติมด้วยถ้อยแถลงในเชิง Hawkish จากเจ้าหน้าที่เฟดหลายคน

ไม่ว่าจะเป็น Philip Jefferson, Raphael Bostic และ Jeffrey Schmid ที่ต่างออกมาส่งสัญญาณว่าเฟดควรดำเนินการอย่างระมัดระวังและอาจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ หากเงินเฟ้อยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก

ท่าทีแข็งกร้าวนี้ทำให้น้ำหนักความน่าจะเป็นที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธันวาคม ลดฮวบลงเหลือเพียง 46.6% จากที่เคยสูงกว่า 60% ในสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่คอยจำกัดกรอบการฟื้นตัวของราคาทองคำไม่ให้พุ่งแรงจนเกินไป แม้จะมีแรงซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเข้ามาพยุงก็ตาม

ปริศนาแรงซื้อจากธนาคารกลาง ฐานรับสำคัญที่พยุงราคาไม่ให้ร่วง

สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดสำหรับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในรอบนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องดอกเบี้ยเฟด แต่คือโครงสร้างอุปสงค์ในตลาดกายภาพที่แข็งแกร่งผิดปกติ

รายงานล่าสุดจาก Société Générale ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดปรากฏการณ์ Short Squeeze ในตลาดทองคำ คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในแร่เงินและแพลตตินัม โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการซื้อสะสมของธนาคารกลางทั่วโลก

โดยเฉพาะจีนที่มีการประเมินว่าได้เพิ่มทองคำเข้าสู่ทุนสำรองกว่า 15 ตันในเดือนกันยายนเพียงเดือนเดียว และคาดว่ายอดรวมการซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลกในเดือนดังกล่าวสูงถึง 64 ตัน ซึ่งมากกว่าเดือนก่อนหน้าถึงสามเท่าตัว

นักวิเคราะห์มองว่า แม้ราคาทองคำจะยืนอยู่ในระดับสูงเหนือ 4,000 ดอลลาร์ แต่ความต้องการจากภาครัฐเหล่านี้ไม่ได้ลดน้อยลง กลับกัน มันสะท้อนถึงความพยายามในการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ

การที่ธนาคารกลางโยกย้ายเงินทุนสำรองเพียงแค่ 1% มาสู่ทองคำ อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนมหาศาลให้กับตลาดที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Paper Gold) ครอบงำอยู่ โดยคาดการณ์ว่าจีนอาจมียอดซื้อรวมสูงถึง 250 ตันในปีนี้ ซึ่งถือเป็นแรงรับสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำไม่ปรับฐานรุนแรงแม้จะถูกกดดันจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นก็ตาม

ตลาดจีนดันยอดซื้อขายฟิวเจอร์สพุ่งรับความผันผวน

นอกเหนือจากการซื้อของธนาคารกลาง ตลาดค้าปลีกและการลงทุนในจีนยังคงเป็นตัวแปรสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาทองคำโลก

ข้อมูลจาก World Gold Council ระบุว่ากระแสเงินทุนไหลเข้าสู่กองทุน ETF ทองคำในจีนทำสถิติสูงสุดในรอบหลายเดือน โดยมีการถือครองเพิ่มขึ้นถึง 33 ตันในเดือนตุลาคม ซึ่งสวนทางกับพฤติกรรมตามฤดูกาลที่มักจะชะลอตัว

การตื่นตัวของนักลงทุนจีนสะท้อนผ่านปริมาณการซื้อขายสัญญาทองคำล่วงหน้าในตลาดเซี่ยงไฮ้ (SHFE) ที่พุ่งสูงขึ้นถึง 64% แสดงให้เห็นว่านักลงทุนรายย่อยและสถาบันในจีนกำลังใช้ทองคำเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้นในประเทศและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

แม้ว่าราคาทองคำในประเทศจีนจะปรับตัวสูงขึ้นจนอาจกระทบต่อกำลังซื้อเครื่องประดับบ้าง แต่สำหรับทองคำแท่งเพื่อการลงทุน (Investment Bars) และ ETF ความต้องการยังคงหนาแน่น ซึ่งเป็นสัญญาณบวกในระยะยาวว่า ฐานของราคาทองคำในรอบวัฏจักรนี้อาจถูกยกสูงขึ้นอย่างถาวรด้วยแรงซื้อจากฝั่งเอเชียที่เปลี่ยนไป

ต่อเนื่องจากบทวิเคราะห์ก่อนหน้าที่เราได้ให้ความสำคัญกับแนวรับจิตวิทยาบริเวณเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA 200 ที่ระดับ 4,000 ดอลลาร์ ปรากฏว่าแนวรับดังกล่าวทำหน้าที่ได้อย่างแข็งแกร่ง

โดยราคาทองคำได้เกิดปฏิกิริยา Price Action ในรูปแบบ Rejection อย่างชัดเจน ซึ่งการกลับมายืนเหนือโซนแนวรับ-แนวต้านเดิม (Support turned Resistance) นี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณบวกในระยะสั้น และเป็นการยืนยันว่าผู้เล่นฝั่งซื้อ ยังคงรักษาฐานที่มั่นสำคัญระยะยาวเอาไว้ได้

ในด้านอินดิเคเตอร์โดยเฉพาะ Stochastic RSI ที่ก่อนหน้านี้แช่ตัวอยู่ในเขต Oversold ได้เกิดการตัดกันของเส้นสัญญาณขึ้นในลักษณะ Golden Cross และพุ่งออกจากโซนขายมากเกินไปอย่างรุนแรง

สอดคล้องกับค่า RSI หลักที่เริ่มยกตัวสูงขึ้นจากโซนต่ำ แสดงให้เห็นถึง Momentum ที่กำลังเปลี่ยนทิศทางจากลงเป็นขึ้นในช่วงสั้นๆ

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องระวังเนื่องจากราคากำลังเคลื่อนที่เข้าหาโซนปะทะที่สำคัญบริเวณ 4,087 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดบรรจบกัน ระหว่างแนวต้าน Fibonacci 38.2% และ EMA 26 (เส้นสีฟ้า) ที่ยังคงกดตัวลงมา ซึ่งถือเป็นด่านหินที่ราคาต้องฝ่าไปให้ได้เพื่อยืนยันการกลับตัวที่แท้จริง

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเมินว่ากราฟกำลังเข้าสู่ช่วงวัดใจสำคัญอีกครั้ง โดยเป้าหมายระยะสั้นของการดีดตัวรอบนี้อยู่ที่บริเวณ 4,087 ดอลลาร์

หากแรงซื้อยังคงหนาแน่นและสามารถผลักดันราคาให้ทะลุผ่านแนวต้านนี้ไปได้ จะเป็นการทำลายโครงสร้างขาลงระยะสั้นและเปิด Upside ไปสู่แนวต้านถัดไปที่ 4,135 ดอลลาร์ (Fibonacci 50.0%) ทันที

แต่ในทางกลับกัน หากการทดสอบแนวต้าน 4,087 ดอลลาร์ล้มเหลวและเกิดแรงเทขายออกมาอีกครั้ง ราคามีโอกาสที่จะย่อตัวลงมาพักฐานเพื่อสะสมกำลัง โดยมีแนวรับแรกที่เปลี่ยนหน้าที่จากแนวต้านเดิมคือ 4,057 ดอลลาร์

หากราคายังประคองตัวเหนือระดับนี้ได้ ภาพรวมยังคงมองเป็นการพักเพื่อขึ้นต่อ แต่ถ้าหลุดต่ำกว่านี้ จะมีความเสี่ยงสูงที่ราคาจะลงไปทดสอบฐาน EMA 200 ที่ 4,000 ดอลลาร์อีกครั้ง

ดังนั้นกลยุทธ์ในเวลานี้ควรมองหาจังหวะย่อซื้อเมื่อราคายืนเหนือ 4,057 ดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายทำกำไรสั้นๆ ที่ 4,087 ดอลลาร์ และควรระมัดระวังแรงขายทำกำไรบริเวณแนวต้านดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $4,057

• $4,000

• $3,950

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $4,087

• $4,100

• $4,135