วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 28 ก.ย. 2568

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

ราคาทองคำในตลาดโลกทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงท้ายสัปดาห์ โดยราคาทองคำ XAUUSD ปรับตัวขึ้นปิดที่ระดับ 3,758 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่โลหะเงินก็พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 14 ปีอย่างต่อเนื่อง

การเคลื่อนไหวของตลาดในครั้งนี้ได้รับแรงหนุนโดยตรงจากรายงานตัวเลขเงินเฟ้อที่สำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จับตามองอย่างใกล้ชิด และผลลัพธ์ที่ออกมาก็ช่วยลดแรงกดดันและเปิดทางให้ Fed สามารถพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยได้ในอนาคตอันใกล้

เงินเฟ้อสหรัฐฯ เป็นใจ ตัวเลข PCE เปิดทาง Fed ลดดอกเบี้ย

ปัจจัยสำคัญที่เข้ามาหนุนราคาทองคำช่วงทายสัปดาห์ คือการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ประจำเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญมากที่สุด

โดยตัวเลข PCE ทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งตรงตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้พอดี

ขณะที่ดัชนี Core PCE (ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่มีความผันผวนสูง) เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อน และ 2.9% จากปีก่อนหน้า ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเช่นกัน

แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับสูง แต่การที่มันไม่ได้ร้อนแรงเกินกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับสินทรัพย์ที่ไม่จ่ายผลตอบแทนอย่างทองคำ เพราะมันหมายความว่า Fed ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้ออย่างแข็งกร้าวอีกต่อไป

ตรงกันข้าม ข้อมูลชุดนี้กลับเพิ่มความเป็นไปได้ที่ Fed จะเริ่มวงจรการลดดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ ปัจจัยทั้งสองล้วนเป็นบวกโดยตรงต่อราคาทองคำ

เสียงสะท้อนจากผู้บริโภค ความเชื่อมั่นลดสวนทางตัวเลขใช้จ่ายที่แข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีความซับซ้อน รายงานอีกฉบับที่น่าสนใจ คือดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งปรับตัวลดลงสู่ระดับ 55.1 ในเดือนกันยายน ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้และต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าอย่างชัดเจน

Joanne Hsu ผู้อำนวยการฝ่ายสำรวจผู้บริโภคระบุว่าผู้บริโภคยังคงแสดงความผิดหวังต่อภาวะราคาสินค้าที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดย 44% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าราคาที่สูงกำลังกัดกร่อนสถานะทางการเงินส่วนบุคคลของพวกเขา ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบหนึ่งปี

สิ่งที่น่าประหลาดใจ คือแม้ความเชื่อมั่นจะลดลง แต่ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคกลับเพิ่มขึ้น 0.6% และรายได้ส่วนบุคคลก็เพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งทั้งสองตัวเลขสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีความยืดหยุ่นสูง แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเปราะบางซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ยิ่งทำให้ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมีความน่าดึงดูดใจมากยิ่งขึ้นในสายตาของนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

มุมมองระยะยาว ทำไมทองคำยังเป็นสินทรัพย์หลบภัยที่ต้องมีในพอร์ต

นอกเหนือจากปัจจัยระยะสั้นแล้ว นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Goldman Sachs ยังได้ตอกย้ำถึงบทบาทเชิงกลยุทธ์ของทองคำในระยะยาว

Lina Thomas นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs Research ชี้ว่าพอร์ตการลงทุนที่ประกอบด้วยหุ้นและพันธบัตรเพียงอย่างเดียว ไม่ได้รับการป้องกันที่ดีพอจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาแต่เงินเฟ้อสูง (Stagflation) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินโลก หรือเมื่อเศรษฐกิจเผชิญกับ Supply Shock

รายงานยังระบุว่าในช่วงที่ผ่านมาเราได้เห็นการใช้สินค้าโภคภัณฑ์เป็นเครื่องมือต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การที่จีนควบคุมกำลังการผลิตแร่หายาก (Rare Earth) กว่า 90% ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรม AI และเทคโนโลยีขั้นสูง

สถานการณ์เหล่านี้ทำให้ความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานโลกเพิ่มสูงขึ้น และผลักดันให้นักลงทุนต้องมองหาสินทรัพย์ที่สามารถรักษามูลค่าได้นอกระบบการเงินแบบดั้งเดิม ซึ่งทองคำคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด ดังที่เคยเกิดขึ้นในทศวรรษ 1970 ที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาลท่ามกลางวิกฤตเงินเฟ้อ

แรงซื้อจากธนาคารกลางและเทรนด์ De-dollarization

อีกหนึ่งปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทรงพลังและมองข้ามไม่ได้ คือความต้องการทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่นักวิเคราะห์จาก Société Générale ประเมินว่าได้เข้าซื้อทองคำในปริมาณที่สูงกว่าที่รายงานอย่างเป็นทางการ โดยคาดว่ามีการซื้อสุทธิเฉลี่ยถึง 33 ตันต่อเดือนมาตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (De-dollarization) และกระจายความเสี่ยงของทุนสำรองระหว่างประเทศ

แนวโน้มนี้สอดคล้องกับปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้นักลงทุนและแม้กระทั่งรัฐบาลของหลายประเทศเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ หลักฐานที่ชัดเจนคือการไหลเข้าของเงินทุนจำนวนมหาศาลสู่กองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง SPDR Gold Shares (GLD) เมื่อไม่นานมานี้

ขณะเดียวกัน โลหะเงิน (Silver) ซึ่งมีราคาถูกกว่า ก็ได้รับอานิสงส์จนราคาทะยานทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเช่นกัน โดยนักวิเคราะห์จาก Sprott มองว่าความต้องการในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับอุปทานที่ลดลง อาจทำให้ราคาแร่เงินมีเส้นทางคล้ายกับพาราเดียมที่เคยพุ่งขึ้นกว่า 500% ในช่วงปี 2016-2021 ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้ ทำให้เป้าหมายราคาทองคำที่ระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินจริงอีกต่อไป

จากภาพรวมก่อนหน้าที่ราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway บริเวณ $3,725 - $3,760 ล่าสุด กราฟ 4 ชั่วโมงได้แสดงสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและน่าจับตามอง โดยแรงซื้อสามารถผลักดันให้ราคาทะลุกรอบแนวต้านสำคัญที่ $3,760 ขึ้นมาได้สำเร็จ

ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่าตลาดอาจกำลังจะออกจากช่วงพักตัวและกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่อีกครั้ง การที่ราคาสามารถยืนเหนือแนวต้านเดิมได้นั้น เป็นการเปลี่ยนบทบาทของแนวต้านดังกล่าวให้กลายเป็นแนวรับใหม่ที่แข็งแกร่งโดยทันที

สัญญาณบวกนี้ได้รับการยืนยันจากอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคหลายตัว ดัชนี RSI ได้ดีดตัวขึ้นจากโซนกึ่งกลางที่ระดับ 50 อย่างชัดเจน และกำลังมุ่งหน้าขึ้นสู่โซนบน ซึ่งบ่งชี้ว่าโมเมนตัมของฝั่งซื้อได้กลับมาเป็นฝ่ายคุมตลาดแล้ว

สอดคล้องกับ Stochastic RSI ที่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน และส่งสัญญาณตัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงแรงซื้อในระยะสั้นที่ยังคงหนาแน่น นอกจากนี้ แท่งเทียนยังคงรักษาระดับอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA) ได้อย่างมั่นคง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นภาพที่สนับสนุนทิศทางขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น กลยุทธ์การเทรดข้างหน้าจึงต้องปรับเปลี่ยนจากการเทรดในกรอบมาเป็นการมองหาโอกาสในการ “ย่อซื้อ” (Buy on Dip) โดยมีแนวรับแรกที่น่าสนใจคือโซน $3,760 ซึ่งเป็นแนวต้านเดิมที่เพิ่งทะลุผ่านมา ถ้าราคาย่อตัวลงมาทดสอบบริเวณนี้แล้วไม่หลุดลงไป จะเป็นจังหวะในการเข้าซื้อที่ได้เปรียบ โดยมีเป้าหมายทำกำไรแรกที่แนวต้านถัดไปบริเวณ $3,780 และเป้าหมายสำคัญที่ระดับ $3,800 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรจับตาดูโซน $3,760 อย่างใกล้ชิด หากราคาทองคำไม่สามารถรักษาระดับเหนือแนวรับนี้ไว้ได้ และกลับลงไปเคลื่อนไหวในกรอบเดิมอีกครั้ง จะเป็นสัญญาณเตือนถึงการเกิด “False Breakout” ซึ่งอาจทำให้แรงขายกลับเข้ามากดดันราคาให้ลงไปทดสอบแนวรับสำคัญที่ $3,725 ได้อีกครั้ง แต่ตราบใดที่ราคายังยืนเหนือ $3,760 ได้ ภาพรวมยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกมากกว่า

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $3,760

• $3,740

• $3,725

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $3,780

• $3,790

• $3,800