วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 11 ต.ค. 2567

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

วิเคราะห์ราคาทองวันนี้ ประจำวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ในช่วงที่ผ่านมา ราคาทองคำได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยล่าสุดราคาทองคำได้แตะระดับ $2,634 ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่ายังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีก แม้ว่าจะมีการปรับตัวลงในระยะสั้นบ้างก็ตาม

เงินเฟ้อสหรัฐฯ ร้อนแรงกว่าคาด แต่ตลาดแรงงานส่งสัญญาณอ่อนแอ

ข้อมูลสำคัญในวันที่ผ่านมาคือตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน ซึ่งออกมาสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) เพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.3% รายเดือน และ 3.3% รายปี

การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อนี้มีสาเหตุหลักมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาที่อยู่อาศัยและอาหาร โดยดัชนีราคาที่อยู่อาศัย เพิ่มขึ้น 0.2% และดัชนีราคาอาหาร เพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ดัชนี CPI โดยรวมปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาพลังงานยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีราคาพลังงาน ลดลง 1.9% ในเดือนกันยายน และลดลง 6.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ในขณะเดียวกัน ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัวลง โดยจำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นเป็น 228,000 ราย สูงกว่าสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 225,000 ราย แม้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 230,000 รายเล็กน้อย

ส่วนจำนวนผู้รับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ซึ่งแสดงถึงจำนวนผู้ว่างงานที่ยังคงได้รับสวัสดิการอยู่ อยู่ที่ 1.861 ล้านราย สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.829 ล้านราย และสูงกว่าตัวเลขของสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 1.819 ล้านราย (หลังการปรับปรุงตัวเลข) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ว่างงานอาจมีความยากลำบากในการหางานใหม่มากขึ้น

ธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน

ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่ผสมผสาน เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หลายคนได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต โดย Austan Goolsbee ประธานเฟด สาขาชิคาโก มองว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อเริ่มเข้าใกล้เป้าหมายที่ 2% ของเฟดแล้ว

ขณะที่ John Williams ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยระบุว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับช่วงเวลาและอัตราการปรับลดดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลเศรษฐกิจ แนวโน้มเศรษฐกิจ และความเสี่ยงต่อการบรรลุเป้าหมายของเฟด อย่างไรก็ดี Raphael Bostic ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา ซึ่งจะมีสิทธิ์ออกเสียงในคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในปี 2024 เปิดเผยว่าอาจพิจารณาชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเห็นที่แตกต่างกันในหมู่ผู้กำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนพฤศจิกายน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนี้อาจส่งผลบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนการถือครองทองคำลดลงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย

ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์หนุนราคาทองคำ

ทางด้าน Chantelle Schieven หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Capitalight Research ระบุว่า ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นกว่า 30% ในปีนี้ โดยเฉพาะความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นในตะวันออกกลาง ซึ่งล่าสุดได้ลุกลามจนเกิดการโจมตีระหว่างอิสราเอลและกลุ่ม Hezbollah รวมถึงการยิงขีปนาวุธจากอิหร่าน นอกจากนี้ ความขัดแย้งในยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น

Schieven มองว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์นี้อาจส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นอีก 10% จนแตะระดับ $3,000 ได้ภายในสิ้นปีนี้ หากสถานการณ์ยังคงทวีความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม Schieven เตือนว่าราคาอาจปรับตัวลดลงได้เช่นกันหากความตึงเครียดคลี่คลายลง ดังนั้น นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

นอกจากนี้ Schieven ยังมองว่าราคาทองคำยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะยาว เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานหลายอย่าง ประการแรกคือการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ที่ประเทศต่างๆ เริ่มลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และหันมาถือครองทองคำมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ที่ต้องการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

ประการที่สองคือระดับหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่มีหนี้สาธารณะทะลุ 35 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว และทำให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจกับทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ ความเสี่ยงของวิกฤตหนี้ทั่วโลกยังอาจส่งผลให้ธนาคารกลางไม่สามารถคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงได้นาน และอาจต้องกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ

ประการสุดท้ายคือการถดถอยของกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) ที่ทำให้ประเทศต่างๆ หันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้น และลดการพึ่งพาระบบการเงินระหว่างประเทศที่อิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการถือครองทองคำเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว

มุมมองต่อราคาทองคำในอนาคต

แม้ว่าราคาทองคำอาจมีการปรับฐานในระยะสั้น แต่ Schieven เชื่อว่าแนวโน้มในระยะยาวยังคงเป็นขาขึ้น โดยมองว่าราคาทองคำยังไม่ถึงจุดสูงสุดของรอบนี้ และยังไม่เข้าสู่ช่วง “Euphoria” ที่ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าราคาทองคำมีโอกาสแตะระดับ $3,000 ได้ในอนาคต ทั้งจากปัจจัยระยะสั้นอย่างความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยระยะยาวอย่างการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และความเสี่ยงของวิกฤตหนี้ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อราคาทองคำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งหากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด อาจส่งผลบวกต่อราคาทองคำ นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อและตลาดแรงงาน ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง หากเศรษฐกิจชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด อาจทำให้เฟดต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อราคาทองคำ

สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในตะวันออกกลางและยูเครน ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ในขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อราคาทองคำ โดยหากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง จะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ

นโยบายการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ควรจับตามอง หากมีการใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary Fiscal Policy) มากขึ้น อาจส่งผลให้เกิดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ

ราคาทองคำแสดงสัญญาณฟื้นตัวหลังจากที่ปรับตัวลงในช่วงก่อนหน้า เมื่อพิจารณาจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ พบว่าราคาเริ่มทะลุผ่านเส้น EMA 12 (สีแดง) และ EMA 26 (สีฟ้า) ขึ้นมาได้ แสดงถึงแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ราคายังคงพยายามยืนเหนือทั้งสองเส้นดังกล่าวอยู่ในขณะนี้

ดัชนี RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากใกล้ระดับ Oversold มาอยู่ที่ประมาณ 50 แสดงถึงแรงซื้อที่เริ่มกลับเข้ามา แต่ยังไม่ถึงระดับ Overbought ทำให้ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้

แนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ $2,622 ซึ่งเป็นจุดที่ราคาเคยทดสอบและสามารถยืนเหนือได้ หากราคาสามารถยืนเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง อาจเป็นสัญญาณบวกสำหรับการปรับตัวขึ้นต่อไป แนวรับถัดไปอยู่ที่ $2,604 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดล่าสุด

สำหรับแนวต้าน ระดับแรกที่ต้องจับตามองคือ $2,636 ซึ่งราคากำลังทดสอบอยู่ในขณะนี้ หากราคาสามารถทะลุผ่านไปได้ แนวต้านถัดไปจะอยู่ที่ $2,657 และ $2,671 ตามลำดับ

ในภาพรวม แนวโน้มระยะสั้นของราคาทองคำดูมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ โดยเฉพาะหากสามารถยืนเหนือระดับ $2,633 ได้อย่างมั่นคง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังแรงขายที่อาจเข้ามาหากราคาไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญได้

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $2,622

• $2,604

• $2,588

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $2,633

• $2,657

• $2,671