​ วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 27 พฤศจิกายน 2568

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

สถานการณ์การเคลื่อนไหวของราคาทองคำ เมื่อคืนที่ผ่านมาถือว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยราคาทองคำ XAUUSD ดีดตัวขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 4,168 ดอลลาร์ คิดเป็นการปรับตัวขึ้นกว่า 0.58%

การปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่เริ่มเบาบางลง เนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากเริ่มชะลอการลงทุนและปิดสถานะทำกำไรก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ของสหรัฐฯ ในนี้ ซึ่งตลาดเงินและตลาดทุนสหรัฐฯ จะปิดทำการ

อย่างไรก็ตาม การที่ราคาสามารถดีดกลับมายืนเหนือระดับจิตวิทยาสำคัญได้สำเร็จก่อนวันหยุดยาว สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสินทรัพย์ปลอดภัย

แม้ว่าในระหว่างวันราคาจะมีการย่อตัวลงบ้างหลังจากมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจชุดใหม่ แต่แรงซื้อกลับที่เข้ามาในช่วงท้ายตลาดก็เป็นเครื่องยืนยันว่า ตลาดยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยบวกในระยะยาวมากกว่าแรงกดดันระยะสั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากดัชนีดอลลาร์ที่เริ่มอ่อนค่าลง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ทรงตัวอยู่ระดับ 4.01% ซึ่งเอื้อต่อการปรับตัวขึ้นของทองคำ

ภาพลวงตัวเลขเศรษฐกิจ เมื่อการจ้างงานดูดีแต่ภาคการผลิตส่งสัญญาณอันตราย

ประเด็นที่นักลงทุนต้องพิจารณาอย่างละเอียดคือความย้อนแย้งของข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาล่าสุด ซึ่งเปรียบเสมือนเหรียญสองด้านที่ทำให้ตลาดเกิดความสับสน

ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ลดลง 6,000 ราย มาอยู่ที่ 216,000 ราย ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 225,000 ราย

ตัวเลขนี้หากมองผิวเผินอาจกดดันราคาทองคำเพราะสะท้อนว่าตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในไส้ในกลับพบสัญญาณที่น่ากังวลจากภาคการผลิต

โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโก หรือ Chicago Business Barometer เดือนพฤศจิกายน 2025 ดิ่งลงแตะระดับ 36.3 จากระดับ 43.8 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก

ตัวเลข 36.3 ของดัชนีชิคาโกนี้นับเป็นระดับที่น่าตกใจ เพราะเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 24 และเป็นการหดตัวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2024 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างชัดเจน

ยอดคำสั่งซื้อใหม่ การผลิต และการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมล้วนปรับตัวลดลง สัญญาณการชะลอตัวอย่างรุนแรงในภาคการผลิตนี้เองที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้นักลงทุนมองข้ามตัวเลขการจ้างงานที่ดีเกินคาด และหันมาถือครองทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

สัญญาณจาก Beige Book และโอกาสลดดอกเบี้ยที่พุ่งสูงแตะ 80%

ความมั่นใจของตลาดที่มีต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

ล่าสุดรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ของเฟด ระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่จุดที่น่าสังเกตคือการจ้างงานเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงลงในหลายเขตพื้นที่

แม้ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์จะดูดี แต่ภาพรวมจากการสำรวจภาคธุรกิจจริงกลับพบว่ามีการจำกัดจำนวนพนักงานและการชะลอการจ้างงานใหม่

ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ Eric Teal จาก Comerica Wealth Management ที่มองว่านโยบายเศรษฐกิจชุดใหม่ยังไม่ได้ส่งผลบวกต่อการจ้างงานในทันที และเฟดยังจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตลาดให้น้ำหนักไปที่การประชุมเฟดครั้งสุดท้ายของปีในวันที่ 9-10 ธันวาคมนี้

โดยเครื่องมือ FedWatch ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้โอกาสสูงถึง 80% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25%

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้อยแถลงจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดอย่าง John Williams และ Mary Daly ที่มีท่าทีสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำมุมมองดังกล่าว

การที่ตลาดมองข้ามข้อมูลเงินเฟ้อที่อาจจะยังดูสูง และมุ่งเน้นไปที่การประคองตลาดแรงงานและเศรษฐกิจ ย่อมส่งผลดีโดยตรงต่อ ราคาทองคำ ในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย

จับตาตัวแปรใหม่ Kevin Hassett กับทิศทางเฟดภายใต้เงาการเมือง

ปัจจัยใหม่ที่กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนแรงและอาจเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของราคาทองคำในระยะยาว คือกระแสข่าวการเสนอชื่อ Kevin Hassett ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ต่อจาก Jerome Powell

ตามรายงานของ Bloomberg ระบุว่า Hassett เป็นตัวเต็งที่ได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าต้องการเห็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 

หาก Hassett ได้รับการแต่งตั้งจริง ตลาดตีความว่าเฟดอาจดำเนินนโยบายในเชิงผ่อนคลาย (Dovish) มากขึ้นกว่ายุคปัจจุบัน และอาจนำไปสู่ข้อกังวลเรื่องความเป็นอิสระของธนาคารกลาง

Mike Riddell จาก Fidelity International ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า การมาของ Hassett จะทำให้การลดดอกเบี้ยกลับมาเป็นประเด็นหลักอีกครั้ง และเป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินดอลลาร์

ซึ่งตามกลไกตลาดแล้ว ความกังวลเรื่องการแทรกแซงทางการเมืองและการเร่งลดดอกเบี้ย ย่อมเป็นปัจจัยบวกอย่างมหาศาลต่อตลาดทองคำ เพราะนักลงทุนจะมองหาแหล่งพักเงินที่ปลอดภัยและสามารถป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของนโยบายรัฐได้

ดังนั้น แม้ตลาดจะปิดทำการในวันขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐฯ แต่ปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ยังคงทำงานอยู่เบื้องหลัง และอาจส่งผลให้ราคาทองคำมีความผันผวนและมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้เมื่อตลาดกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง

จากกราฟราคาทองคำในกรอบเวลา 4 ชั่วโมงล่าสุด พบว่าโมเมนตัมขาขึ้นยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยราคาสามารถไต่ระดับขึ้นมายืนเหนือโซน 4,150 ดอลลาร์ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของแท่งเทียนล่าสุดเริ่มมีการทิ้งไส้เทียนด้านบนและเริ่มแกว่งตัวในกรอบแคบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแรงขายทำกำไรระยะสั้นที่เริ่มกดดันตลาดหลังจากราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยจุดสังเกตสำคัญอยู่ที่เครื่องมือชี้วัดทางเทคนิคที่เริ่มส่งสัญญาณเตือนถึงภาวะการพักตัวที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะสั้นนี้

สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้าคือสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ Stochastic RSI ที่เส้นสัญญาณสีฟ้าได้ตัดลงต่ำกว่าเส้นสีส้มในโซน Overbought (ซื้อมากเกินไป) อย่างชัดเจน

พฤติกรรมเช่นนี้มักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการปรับฐานย่อย หรือการย่อตัวเพื่อสะสมกำลังใหม่ (Correction) โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับแรกที่บริเวณ 4,135 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับ Fibonacci Retracement 50.0% ที่ราคาเพิ่งทะลุผ่านมา

การที่แนวต้านเดิมเปลี่ยนหน้าที่เป็นแนวรับ (Role Reversal) ตรงจุดนี้ถือเป็นจุดวัดใจสำคัญ หากราคาสามารถยืนเหนือโซน 4,135 ดอลลาร์ได้โดยไม่หลุดลงมา จะเป็นการยืนยันโครงสร้างขาขึ้นที่แข็งแกร่งและมีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปได้ทันที

สำหรับเป้าหมายด้านบน หากราคาทองคำสามารถปรับฐานแล้วดีดตัวกลับขึ้นมาได้ ด่านแรกที่ต้องผ่านคือแนวต้านย่อยบริเวณ 4,174 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมของรอบนี้

หากผ่านได้จะมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ระดับ 4,195 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญตามสัดส่วน Fibonacci 61.8% และเป็นจุดที่นักเก็งกำไรส่วนใหญ่มักจะตั้งเป้าทำกำไร

แต่ในกรณีเลวร้ายหากแรงขายมีมากจนราคาหลุดแนวรับ 4,135 ดอลลาร์ลงมา แนวรับถัดไปจะอยู่ที่บริเวณ 4,087 ดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับเส้นค่าเฉลี่ย EMA ที่กำลังยกตัวขึ้นมารับ

โดยสรุปแล้วทิศทางใน 1 วันข้างหน้ายังคงให้น้ำหนักในฝั่งขาขึ้น แต่กลยุทธ์ที่ปลอดภัยที่สุดคือการรอเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับ (Buy on Dip) มากกว่าการไล่ราคาในโซนสูง

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $4,135

• $4,087

• $4,057

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $4,174

• $4,195

• $4,200