วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 9 ก.ย. 2568

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

เปิดตลาดวันนี้ ต้องบอกว่าราคาทองคำร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยทะยานขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์อย่างแข็งแกร่ง ราคาทองคำ XAUUSD พุ่งขึ้นแตะระดับ 3,646 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เช่นเดียวกับราคาแร่เงินที่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาทองคำในรอบนี้ มาจากตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่ออกมาน่าผิดหวังอย่างยิ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm Payrolls) ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นเพียง 22,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 75,000 ตำแหน่งอย่างมาก และยังลดลงฮวบฮาบจากเดือนกรกฎาคมที่เคยอยู่ที่ 79,000 ตำแหน่ง

ขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ก็ขยับขึ้นไปที่ 4.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2021 ตัวเลขเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ กำลังเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้นักลงทุนเทน้ำหนักไปที่การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 3 ครั้ง หรือรวม 0.75% ก่อนสิ้นปีนี้ 

ดอลลาร์อ่อนค่า ธนาคารกลางทั่วโลกแห่ซื้อทอง สองแรงหนุนราคาทองคำระยะยาว

นอกเหนือจากปัจจัยระยะสั้นเรื่องการลดดอกเบี้ยแล้ว แนวโน้มระยะยาวของราคาทองคำยังดูสดใสอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์จาก Heraeus สถาบันวิเคราะห์โลหะมีค่าชั้นนำ มองว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังจะเข้าสู่ช่วงของการอ่อนค่าที่ยาวนาน ซึ่งจะเป็นลมส่งที่สำคัญให้กับราคาทองคำ

จุดที่น่าสนใจ คือในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2016 ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นสวนทางกับค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ แต่บัดนี้เมื่อดอลลาร์มีแนวโน้มจะกลับทิศเป็นขาลงอย่างชัดเจน จากผลกระทบของนโยบายการค้าในอดีตที่ยังคงอยู่ จึงมีโอกาสสูงที่ราคาทองคำจะยิ่งปรับตัวขึ้นไปได้อีกไกล

ยิ่งไปกว่านั้น เรายังเห็นเทรนด์ที่ชัดเจนของธนาคารกลางทั่วโลกที่พยายามลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์ โดยหันมาเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองของประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งแนวโน้มนี้มีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์โลก 

ขณะเดียวกัน ฝั่งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ข้อมูลจาก World Gold Council (WGC) ชี้ว่าในช่วงครึ่งปีแรก กองทุน ETF ทองคำทั่วโลกมีการถือครองทองคำเพิ่มขึ้นถึง 397 ตัน และความต้องการทองคำแท่งและเหรียญก็เพิ่มขึ้นกว่า 6.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่าทองคำกำลังกลายเป็นสินทรัพย์หลบภัยที่สำคัญกว่าเงินดอลลาร์ ในภาวะที่นโยบายการคลังและการเงินของสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะผิดพลาดสูงขึ้น

เงินทุนไหลเข้า ETF ทองคำไม่หยุด สัญญาณความเชื่อมั่นนักลงทุนระยะยาว

ข้อมูลล่าสุดจาก World Gold Council ยิ่งตอกย้ำภาพความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อทองคำ โดยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว มีเงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำทั่วโลกสูงถึง 53 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากเดือนกรกฎาคม

โดยกระแสเงินทุนส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนในอเมริกาเหนือ ที่เข้าซื้อเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่นักลงทุนในยุโรป โดยเฉพาะในอังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี ก็เข้าซื้อทองคำเพื่อรับมือกับความกังวลเรื่องภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อสูง) และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย 

สิ่งที่น่าสังเกตและเป็นสัญญาณบวกอย่างยิ่งคือ WGC ระบุว่ากองทุน ETF ทองคำประเภทต้นทุนต่ำ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของนักลงทุนระยะยาว กำลังมีปีที่ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ นี่คือสัญญาณที่บ่งชี้ว่านักลงทุนไม่ได้เข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น แต่กำลังสร้างพอร์ตการลงทุนระยะยาวโดยมีทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยหลัก ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก

กูรูเตือน ผู้บริหารเทขายหุ้น สัญญาณอันตรายที่นักลงทุนทองคำต้องฟัง

ท่ามกลางความร้อนแรงของราคาทองคำ Peter Grandich นักกลยุทธ์การตลาดผู้คร่ำหวอดได้ออกมาส่งเสียงเตือนที่น่าสนใจอย่างยิ่งถึงความเสี่ยงของตลาดหุ้น เขาชี้ให้เห็นข้อมูลที่น่ากังวลว่า ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยกำลังแห่เข้าซื้อหุ้นอย่างบ้าคลั่ง กลุ่มผู้บริหารระดับสูงของบริษัท (Corporate Insiders) กลับเทขายหุ้นของตัวเองออกมาในอัตราส่วนสูงถึง 12 ต่อ 1

โดย Grandich ย้ำว่าจากประสบการณ์กว่า 40 ปีของเขา ไม่เคยมีครั้งไหนที่นักลงทุนรายย่อยจะเอาชนะกลุ่มผู้บริหารได้เลย นอกจากนี้ เขายังมองว่าตัวเลขการจ้างงานที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศนั้นเป็นตัวเลขที่ไม่สะท้อนความจริง หากหักตัวเลขที่เกิดจากการประมาณการทางสถิติ (Birth-Death model) ออกไป ตัวเลขการจ้างงานที่แท้จริงจะติดลบถึง 74,000 ตำแหน่ง

เขาเชื่อว่าตลาดพันธบัตรและตลาดทองคำกำลังสะท้อนความจริงทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายนี้ ซึ่ง Fed ได้สูญเสียความสามารถในการควบคุมไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ Grandich จึงมองว่านี่เป็นโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ของสินทรัพย์ที่จับต้องได้อย่างทองคำและแร่เงิน โดยเขาคาดการณ์ว่าราคาทองคำมีโอกาสพุ่งไปถึง 4,000 หรือ 5,000 ดอลลาร์ และราคาแร่เงินอาจไปถึง 100 ดอลลาร์ได้เลยทีเดียว ซึ่งเป็นมุมมองที่นักลงทุนในตลาดทองคำต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

เมื่อวานนี้ที่เราได้ให้สัญญาณเตือนถึงภาวะ Bearish Divergence แต่ต้องบอกว่าเช้าวันนี้พลังของฝั่งกระทิงนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าสัญญาณเตือนทางเทคนิคจะต้านทานไหว ราคาทองคำไม่เพียงแต่จะไม่ย่อตัว แต่กลับพุ่งผ่านแนวต้านสำคัญโซน 3,600 และ 3,623 ดอลลาร์ไปได้อย่างง่ายดาย

เมื่อพิจารณาจากภาพกราฟทางเทคนิคในกรอบเวลา 4 ชั่วโมงล่าสุด จะเห็นภาพที่ชัดเจนว่าราคาทองคำกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในสภาวะกระทิงเต็มตัว แท่งเทียนเรียงตัวยกจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรักษาระยะห่างจากกลุ่มเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA) ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสะท้อนถึงพละกำลังของแนวโน้มขาขึ้นที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรงลง

ในส่วนของดัชนีโมเมนตัมอย่าง RSI และ Stochastic RSI นั้น ได้พุ่งขึ้นไปอยู่ในโซน Overbought หรือภาวะซื้อมากเกินไป ซึ่งในสภาวะตลาดที่เป็นเทรนด์แข็งแกร่งเช่นนี้ ภาวะ Overbought สามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานานและเป็นเครื่องยืนยันถึงแรงซื้อที่หนาแน่น มากกว่าจะเป็นสัญญาณให้รีบขายทำกำไร

สำหรับแนวโน้มในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า ทิศทางหลักยังคงเป็นการมองขึ้นอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ภาวะ Overbought อาจทำให้เกิดการพักฐานหรือย่อตัวระยะสั้นได้ทุกเมื่อเพื่อสะสมกำลัง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของตลาดขาขึ้นที่แข็งแรง

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตาเป็นด่านแรกคือบริเวณโซน 3,655 ดอลลาร์ หากแรงซื้อยังคงแข็งแกร่งและสามารถผลักดันให้ราคาทะลุผ่านและยืนเหนือระดับนี้ไปได้ เป้าหมายถัดไปจะอยู่ที่ระดับ 3,680 ดอลลาร์

ในทางกลับกัน หากเกิดการย่อตัวเพื่อพักฐาน แนวรับแรกที่น่าสนใจคือบริเวณ 3,625 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านเดิมที่เพิ่งทะลุผ่านมา หากราคาสามารถย่อตัวลงมาและยืนเหนือแนวรับนี้ได้ จะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเข้าซื้อสะสมเพิ่มเติม

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ยังคงเป็นการ “หาจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัว” (Buy on Dip) การไล่ราคาที่บริเวณใกล้จุดสูงสุดอาจมีความเสี่ยงจากการเหวี่ยงตัวระยะสั้น การรอให้ราคาย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับสำคัญแล้วค่อยเข้าซื้อ จะเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่าในสภาวะตลาดปัจจุบัน

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $3,625

• $3,600

• $3,580

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $3,655

• $3,680

• $3,700