วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 23 ธันวาคม 2568

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

ตลาดการเงินโลกต้องตื่นตัวอีกครั้งเมื่อราคาทองคำพุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่เต็มไปด้วยความกังวลระลอกใหม่

โดยราคาทองคำในช่วงเช้าเปิดตลาดเอเชียวันนี้ พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาล (All time high) แตะระดับ 4,486 ดอลลาร์สหรัฐฯ สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่แค่ตัวเลขราคาที่พุ่งอย่างร้อนแรง แต่คือปัจจัยเบื้องหลังที่ผลักดันให้สินทรัพย์ปลอดภัยเหล่านี้กลายเป็นหลุมหลบภัยที่นักลงทุนทั่วโลกต่างแย่งชิงกัน

ข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุชัดเจนว่าแรงหนุนสำคัญมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะทุขึ้นพร้อมกันในสองซีกโลก ทั้งการที่สหรัฐฯ ไล่ล่าเรือบรรทุกน้ำมัน Bella 1 ที่ชักธงปลอมใกล้เวเนซุเอลา

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการปิดล้อมทางเศรษฐกิจที่เข้มข้นขึ้นของประธานาธิบดี Trump ต่อรัฐบาล Nicolás Maduro จนทำให้นักวิเคราะห์กังวลว่าจะเกิดการล่มสลายของการผลิตน้ำมันและความไม่สงบในเวเนซุเอลา

ในขณะเดียวกัน อีกฟากหนึ่งของโลก นายพลระดับสูงของรัสเซีย Lieutenant General Fanil Sarvarov ถูกลอบสังหารด้วยระเบิดรถยนต์กลางกรุงมอสโก ซึ่งทางการรัสเซียกำลังเพ่งเล็งไปที่หน่วยข่าวกรองของยูเครน

เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงข่าวอาชญากรรมหรือการทหาร แต่เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่สาดลงในกองไฟของความไม่แน่นอน ทำให้ราคาทองคำดีดตัวตอบรับทันที สวนทางกับดัชนีดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง

J.P. Morgan ฟันธงขาขึ้นรอบใหญ่ยังไม่จบ พร้อมปักหมุดเป้าหมาย 5,000 ดอลลาร์

แม้ราคาจะขึ้นมาสูงอย่างต่อเนื่อง แต่ J.P. Morgan สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่กลับมองว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของซูเปอร์ไซเคิลรอบใหม่

Natasha Kaneva หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลกของ J.P. Morgan ออกมาให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า แนวโน้มขาขึ้นของราคาทองคำรอบนี้จะยังไม่จบลงง่ายๆ โดยมีเป้าหมายราคาที่ 5,055 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2026 และอาจไปไกลถึง 5,400 ดอลลาร์ในปี 2027

เหตุผลหลักที่สนับสนุนมุมมองนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสงคราม แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของตลาดที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลกและการไหลเข้าของเงินลงทุนในกองทุน ETF ที่คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่ง

ข้อมูลไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 ชี้ให้เห็นว่าความต้องการทองคำจากนักลงทุนและธนาคารกลางพุ่งสูงถึง 980 ตัน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 4 ไตรมาสก่อนหน้าถึงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์

Gregory Shearer นักกลยุทธ์ของ J.P. Morgan อธิบายความสัมพันธ์นี้อย่างชัดเจนว่า ทุกๆ 100 ตันของความต้องการซื้อสุทธิที่เกินระดับ 350 ตัน จะส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ราว 2 เปอร์เซ็นต์ต่อไตรมาส

ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนว่า แม้ราคาจะแพงแค่ไหน ความต้องการถือครองทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงและป้องกันการด้อยค่าของเงินก็ยังมีน้ำหนักมากกว่าต้นทุนที่ต้องจ่าย

เกมลับรัสเซีย-จีน และปริศนาทองคำที่หายไปในเงามืด

ประเด็นที่ต้องจับอีกประเด็นในเวลานี้ อาจไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏบนหน้าข่าวหลัก แต่เป็นความเคลื่อนไหวระหว่างมหาอำนาจ

ข้อมูลการค้าระบุว่าในเดือนพฤศจิกายน 2025 จีนได้ทำการซื้อทองคำจากรัสเซียด้วยมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 961 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการทำลายสถิติต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง

แต่นั่นอาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง เพราะบทวิเคราะห์จาก Société Générale ชี้ให้เห็นความผิดปกติ โดยประเมินว่ายอดการซื้อทองคำจริงของจีนอาจสูงกว่าตัวเลขที่เปิดเผยออกมาถึง 10 เท่า หรือราวๆ 250 ตันในเดือนตุลาคม แทนที่จะเป็น 25 ตันตามรายงานทางการ โดยอ้างอิงจากข้อมูลการส่งออกทองคำของอังกฤษที่หายไปจากระบบ

การสะสมทองคำอย่างบ้าคลั่งของจีนสวนทางกับรัสเซียที่กำลังตกที่นั่งลำบาก จนธนาคารกลางรัสเซีย (CBR) ต้องตัดสินใจขายทองคำสำรองออกมาขายในประเทศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เพื่อพยุงค่าเงินรูเบิลและอุดรอยรั่วของงบประมาณที่ร่อยหรอจากการทำสงครามและการถูกคว่ำบาตร

สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ทองคำเป็นเครื่องมือทางการเมืองและการอยู่รอดทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่สินทรัพย์เพื่อการลงทุนอีกต่อไป

ปี 2026 ยุคสมัยแห่งความหวาดระแวงดันทองคำสู่สินทรัพย์จำเป็น

ภาพรวมที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ Adrian Ash ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ BullionVault นิยามว่ามันคือยุคสมัยที่ถูกขับเคลื่อนด้วย ความกลัวและความไม่ไว้วางใจระหว่างชาติ

เมื่อรัสเซียต้องจ่ายค่าโดรนอิหร่านด้วยทองคำแท่ง และจีนเร่งตุนทองคำเพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ นี่คือสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของเสถียรภาพโลก

สำหรับนักลงทุนรายย่อยและนักเก็งกำไร ข้อมูลเหล่านี้ชี้ชัดว่าราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นไม่ได้เกิดจากฟองสบู่ของการเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเงินโลกที่เหล่ามหาอำนาจกำลังเปลี่ยนหน้าตักมาถือครองสินทรัพย์ที่จับต้องได้

J.P. Morgan ยังทิ้งท้ายไว้ว่า หากมีการโยกย้ายเงินลงทุนจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มาสู่ทองคำเพียงแค่ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ก็เพียงพอที่จะผลักดันราคาให้ทะลุ 6,000 ดอลลาร์ได้ไม่ยาก

ดังนั้น การติดตามราคาทองคำในระยะต่อไป จึงไม่ใช่แค่การดูเส้นกราฟเทคนิค แต่คือการจับตาดูการเดินหมากของธนาคารกลางและอุณหภูมิความขัดแย้งของโลกอย่างใกล้ชิด เพราะในสมรภูมิการเงินยุคใหม่ ทองคำได้กลายสภาพจากทางเลือก เป็นทางรอดที่จำเป็นที่สุดไปแล้ว

จากบทวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ที่มองว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ ล่าสุดกราฟได้เฉลยทิศทางด้วยความร้อนแรงขั้นสูงสุด เมื่อแท่งเทียน 4 ชั่วโมงปัจจุบันพุ่งทะยานขึ้นมาแตะระดับ 4,486 ดอลลาร์ เป็นการทำจุดสูงสุดตลอดกาลอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งสิ่งที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือการที่ราคาสามารถเบรกทะลุกรอบบนของ Regression Trend Channel (แถบสีฟ้าด้านบน) ขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์ ลักษณะนี้ในทางเทคนิคเรียกว่า “Parabolic Move” หรือการขึ้นในแนวตั้งชันที่เกิดจากแรงซื้อที่รุนแรงจนราคาหนีห่างจากค่าเฉลี่ยปกติไปมาก

การเคลื่อนที่เช่นนี้สะท้อนถึงอารมณ์ตลาดที่อยู่ในภาวะตื่นตัวสุดขีด (Extreme Greed) จนทำให้แนวต้านทางจิตวิทยาต่างๆ ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว

โดยปัจจุบันราคากำลังยืนเหนือด่านสำคัญทาง Fibonacci Extension ที่ระดับ 127.20% หรือบริเวณ 4,444 ดอลลาร์ และกำลังมุ่งหน้าสู่เป้าหมายถัดไปที่ Fibonacci 141.40% บริเวณ 4,494 - 4,497 ดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในรอบนี้อยู่ที่ Fibonacci 161.8% บริเวณ 4,568 ดอลลาร์

เมื่อพิจารณาจาก Indicators จะพบสัญญาณเตือนที่นักลงทุนต้องระมัดระวัง แม้โมเมนตัมขาขึ้นจะแข็งแกร่งมาก แต่ดัชนี RSI ได้พุ่งขึ้นสู่โซน Overbought ที่ระดับสูงมาก (Super Overbought) สอดคล้องกับ Stoch RSI ที่ค้างอยู่ในโซนบนสุดต่อเนื่อง เป็นสัญญาณว่าราคาได้ซึมซับข่าวดีไปมากพอสมควรแล้วและมีความเสี่ยงที่จะเกิดแรงเทขายทำกำไรระยะสั้น (Pullback) ได้ทุกเมื่อ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาทิ้งห่างจากเส้นค่าเฉลี่ย EMA และกรอบ Regression Trend Channel ด้านล่างมากเกินไป ตามทฤษฎี Mean Reversion ราคาจะมีแนวโน้มดึงกลับเข้ามาหาเส้นค่าเฉลี่ยหรือขอบบนของ Channel ที่เพิ่งทะลุผ่านมาเพื่อปรับฐานและลดความร้อนแรง

ดังนั้น ในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า หากราคาทองคำไม่สามารถทะลุผ่านแนวต้าน 4,494 - 4,497 ดอลลาร์ไปได้ในทันที เราอาจเห็นการย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับแรกที่บริเวณ 4,443 ดอลลาร์ (Fib 127.20%)

อย่างไรก็ตาม หากแรงขายทำกำไรมีมาก การปรับฐานอาจลึกกว่านั้นโดยมีโอกาสที่ราคาจะวกกลับเข้ามาวิ่งภายในกรอบ Regression Trend Channel อีกครั้ง

ซึ่งแนวรับถัดไปจะอยู่ที่บริเวณ 4,394 ดอลลาร์ หรือเส้นขอบบนของ Channel เดิมที่ทำหน้าที่เปลี่ยนจากแนวต้านกลายเป็นแนวรับ (Support turned Resistance)

การย่อตัวลงมาในโซนนี้ถือเป็นเรื่องปกติของการปรับฐานเพื่อไปต่อ แต่ถ้าราคาหลุดกลับเข้ามาใน Channel ลึกกว่า 4,350 ดอลลาร์ อาจเป็นสัญญาณว่าการเบรกครั้งนี้เป็น False Breakout ซึ่งต้องระวังเป็นพิเศษ

สรุปกลยุทธ์สำหรับ 24 ชั่วโมงนี้ จุดตัดสินใจคือโซน 4,494 - 4,497 ดอลลาร์ หากผ่านได้เป้าหมายถัดไปคือ Fibonacci 161.80% ที่ 4,566-4,568 ดอลลาร์ แต่หากไม่ผ่าน การรอรับเมื่อราคาย่อตัวมาแตะแนวรับ 4,443 หรือ 4,394 ดอลลาร์ จะเป็นกลยุทธ์ที่ปลอดภัยกว่าการไล่ราคาในโซนสูง

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $4,443

• $4,394

• $4,350

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $4,497

• $4,530

• $4,568