วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 22 ธันวาคม 2568

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

เปิดตลาดในเช้าวันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม 2025 ที่ผ่านมา ด้วยความร้อนแรงของราคาทองคำ โดย ณ ปัจจุบันที่เขียนบทความนี้ ราคาทองคำ XAUUSD พุ่งขึ้นแตะระดับ 4,383 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำจุดสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่อีกครั้ง

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความผันผวนที่น่าจับตามอง แม้ว่าเราจะกำลังเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวคริสต์มาสที่ปริมาณการซื้อขายมักจะเบาบางลง แต่ตัวเลขที่ออกมากลับสะท้อนนัยสำคัญทางเศรษฐกิจที่ไม่ควรมองข้าม

โดยฝั่งเอเชียมีความเคลื่อนไหวครั้งประวัติศาสตร์จากญี่ปุ่น เมื่อธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ภายใต้การนำของ Kazuo Ueda ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.75% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือปฏิกิริยาของตลาดค่าเงินเยนกลับอ่อนค่าลงแทนที่จะแข็งค่า สาเหตุมาจากนักลงทุนผิดหวังที่ถ้อยแถลงของธนาคารกลางไม่ได้ส่งสัญญาณที่แข็งกร้าวมากพอ หรือที่เรียกว่า Dovish Hike ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดการเงินโลกในขณะนี้มีความอ่อนไหวต่อความคาดหวังสูงมาก

ส่วนทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ Vladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย ยังคงแสดงท่าทีแข็งกร้าวโดยระบุว่ากองทัพรัสเซียกำลังรุกคืบและกุมความได้เปรียบในยูเครน ซึ่งปัจจัยความตึงเครียดนี้เองที่ยังคงเป็นแรงหนุนพื้นฐานที่ดันราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สัญญาณชีพเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มแผ่ว ปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้ทองคำยังเป็นหลุมหลบภัย

ประเด็นที่นักลงทุนต้องโฟกัสเป็นพิเศษคือสุขภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งสัญญาณเตือนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ข้อมูลล่าสุดจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธันวาคมลดลงเหลือ 52.9 ซึ่งต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้

Joanne Hsu ผู้อำนวยการฝ่ายสำรวจระบุว่า แม้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยจะมีความรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ภาพรวมยังคงน่ากังวล โดยเฉพาะมุมมองต่อตลาดแรงงานที่มีผู้บริโภคกว่า 63% คาดว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า

ความกังวลเรื่อง “ปากท้อง” ยังคงครอบงำจิตวิทยาการลงทุน ซึ่งทันทีที่ตัวเลขนี้ประกาศออกมา ราคาทองคำก็ดีดตัวรับข่าวทันที สะท้อนว่าทองคำยังคงทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยยามที่ตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มสั่นคลอน

นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันดิบยังส่งสัญญาณถึงความต้องการใช้พลังงานที่ลดลง โดยราคาน้ำมันดิบ Nymex ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 56.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำสถิติต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี สาเหตุหลักมาจากความกังวลเรื่องอุปทานล้นตลาดและสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัวในจีนและสหรัฐฯ

ในขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ แม้ยอดขายบ้านมือสองจะขยับขึ้น 0.5% แต่ Lawrence Yun หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก NAR เตือนว่าสต็อกบ้านที่ลดลงเหลือเพียง 1.43 ล้านยูนิต อาจทำให้ราคาบ้านยังคงสูงค้างฟ้าและกระทบต่อความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคในระยะยาว 

ภาพรวมทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเปราะบาง และนี่คือเหตุผลว่าทำไมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จึงถูกคาดการณ์ว่าจะต้องเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อไปจนถึงปี 2026 ซึ่งเป็นผลบวกโดยตรงต่อราคาทองคำ

สงครามความคิดปี 2026 เมื่อรายย่อยเดิมพัน แร่เงิน แต่สถาบันมองต่างไปที่ แพลทินัม

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในตอนนี้นอกเหนือจากราคาทองคำที่ร้อนแรง คือมุมมองที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างนักลงทุนรายย่อยและสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่สำหรับแนวโน้มปี 2026

จากผลสำรวจของ Kitco News พบว่านักลงทุนรายย่อยกว่า 51% เทใจให้ “แร่เงิน” ว่าจะเป็นแชมป์ทำกำไรในปีหน้า หลังจากที่ปี 2025 แร่เงินทำผลงานได้ร้อนแรงที่สุดด้วยการบวกกว่า 127%

แต่เมื่อหันมามองมุมมองของนักวิเคราะห์มืออาชีพจาก TD Securities กลับมองหนังคนละม้วน พวกเขาเตือนถึงภาวะ “silverflood” หรือภาวะน้ำท่วมตลาดของแร่เงิน โดยระบุว่าคลังสำรองในลอนดอน (LBMA) มีปริมาณเพิ่มขึ้นมหาศาล ซึ่งอาจกดดันราคาให้ลดความร้อนแรงลงเหลือเพียงระดับ 40 ดอลลาร์กลางๆ เท่านั้น

ในทางกลับกัน TD Securities กลับมองว่าม้ามืดตัวจริงในปี 2026 คือกลุ่มโลหะพลาตินัม (PGMs) อย่าง แพลทินัม และ พาลาเดียม ที่มีปัจจัยพื้นฐานแน่นปึกจากการขาดแคลนอุปทาน

ส่วนราคาทองคำนั้น TD Securities มองบวกอย่างมาก โดยคาดว่าจะทำสถิติใหม่เหนือ 4,400 ดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก จากแรงหนุนของการลดดอกเบี้ยและความกังวลเรื่องหนี้สาธารณะสหรัฐฯ

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Heraeus มองต่างออกไปเล็กน้อย โดยเตือนว่าหลังจากราคาพุ่งขึ้นมาแรงในปี 2025 อาจจะมีการพักฐานก่อนในช่วงแรกของปี 2026 โดยประเมินกรอบราคาไว้กว้างที่ 3,750 ถึง 5,000 ดอลลาร์

ความขัดแย้งทางความคิดนี้เป็นจุดที่นักเก็งกำไรต้องระวัง เพราะประวัติศาสตร์มักซ้ำรอยเมื่อรายย่อยแห่ไปทางไหน ตลาดมักจะลงโทษทางนั้นก่อนเสมอ

บทสรุปทิศทางราคาทองคำ และกลยุทธ์รับมือตลาดปีหน้า

จากการประมวลข้อมูลทั้งหมด เราเห็นภาพที่ชัดเจนว่าราคาทองคำยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้นที่แข็งแกร่ง โดยมีพื้นฐานรองรับจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของเฟดและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่รออยู่ข้างหน้า

การที่ทองคำบวกขึ้นมาได้ถึง 65% ในปี 2025 ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการตอบสนองต่อการเสื่อมค่าของเงินสกุลหลักและความไม่แน่นอนของโลก

สำหรับนักลงทุนมือใหม่และนักเทรด กลยุทธ์ที่น่าสนใจคือการไม่ไล่ราคาในช่วงที่ตลาดมีความเชื่อมั่นสูงเกินไป โดยเฉพาะในแร่เงินที่มีความผันผวนสูงกว่าทองคำมาก

การที่สถาบันการเงินเริ่มมองหาโอกาสในสินทรัพย์ที่ยัง Laggard หรือขึ้นน้อยกว่าตลาดอย่างแพลทินัม เป็นสัญญาณเตือนว่า Smart Money กำลังเริ่มหมุนเงินออกจากสินทรัพย์ที่แพงเกินไป เข้าสู่สินทรัพย์ที่มีมูลค่าสมเหตุสมผล

ดังนั้น ในปี 2026 การกระจายความเสี่ยงจึงเป็นหัวใจสำคัญ หากคุณเชื่อมั่นในราคาทองคำ ให้จับตาดูตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพราะหากตัวเลขการว่างงานพุ่งสูงขึ้นตามที่ผู้บริโภคกังวล นั่นจะเป็นแรงหนุนชั้นดีที่จะส่งให้ทองคำทะลุเป้าหมาย 4,400 ดอลลาร์ได้อย่างไม่ยากเย็น

แต่จงระวังแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นในช่วงต้นปีที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับฐานตามธรรมชาติ ซึ่งนั่นอาจเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการเข้าสะสมรอบใหม่สำหรับการลงทุนระยะยาว

จากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ที่ราคาทองคำทำท่าจะพักตัวและสร้างฐานบริเวณ 4,300-4,315 ดอลลาร์ ล่าสุดกราฟได้เฉลยทิศทางอย่างชัดเจนด้วยแรงซื้อที่กลับเข้ามาอย่างหนาแน่นและรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

โดยกราฟแท่งเทียน 4 ชั่วโมงล่าสุดได้เกิดแรงส่ง (Impulse Move) ขนาดใหญ่ พลักดันราคาให้ดีดตัวกลับจากโซนแนวรับ EMA ขึ้นมาทะลุผ่านแนวต้านเดิมที่ 4,354 ดอลลาร์ (Fibonacci 94.20%) 

ส่งผลให้ปัจจุบันราคาทองคำพุ่งขึ้นมายืนเหนือระดับ 4,384 ดอลลาร์ ทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลอีกครั้ง การเคลื่อนไหวนี้ยืนยันได้ว่าแนวโน้มขาขึ้นภายในกรอบ Regression Trend Channel ยังคงแข็งแกร่ง และแรงซื้อยังคงเป็นฝ่ายคุมเกมหลักในตลาด

สัญญาณทางเทคนิคจากอินดิเคเตอร์ได้กลับทิศทางสนับสนุนขาขึ้นอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะ Stoch RSI ที่ก่อนหน้านี้เคยส่งสัญญาณพักตัว ได้กลับมาตัดเส้นสัญญาณขึ้นและชี้หัวขึ้น แสดงถึงโมเมนตัมขาขึ้นรอบใหม่ที่มีกำลังมาก

สอดคล้องกับดัชนี RSI ที่ดีดตัวกลับขึ้นมายืนเหนือระดับ 70 สะท้อนให้เห็นว่าตลาดยังมีพื้นที่ให้ราคาขยับขึ้นได้อีกเล็กน้อยก่อนจะเข้าสู่ภาวะ Overbought อย่างจริงจัง

นอกจากนี้ การที่ราคาสามารถยืนเหนือกลุ่มเส้นค่าเฉลี่ย EMA ที่เรียงตัวกันเป็นระเบียบยังช่วยทำหน้าที่เป็นแนวรับเคลื่อนที่คอยพยุงราคาไม่ให้ร่วงลงแรง ทำให้ภาพรวมระยะสั้นเปลี่ยนจาก “การระมัดระวังการพักตัว” มาเป็น “การเบรกทำจุดสูงสุดใหม่” แทน

สำหรับแนวโน้มในช่วง 24 ชั่วโมงข้างหน้านี้ จุดโฟกัสสำคัญจะอยู่กรอบบนของ Regression Trend Channel จะเป็นการเปิด Upside ใหม่ โดยราคาจะมีโอกาสไต่ระดับขึ้นไปสร้าง New High ต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้นบริเวณแนวต้านนี้เช่นกัน เพราะหากราคาชน 4,384 ดอลลาร์แล้วเกิดสัญญาณกลับตัว (Rejection Candle) เราอาจเห็นการย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับเดิมที่เพิ่งเบรกขึ้นมา หรือเรียกว่าการทำ Throwback บริเวณ 4,354 ดอลลาร์ เพื่อเปลี่ยนแนวต้านให้กลายเป็นแนวรับ

ซึ่งหากราคายืนอยู่เหนือ 4,354 ดอลลาร์ได้ ก็จะเป็นจังหวะที่ดีในการสะสมกำลังเพื่อขึ้นต่อ แต่หากหลุดต่ำกว่านี้ อาจจะต้องกลับไปมองแนวรับถัดไปที่ 4,328 ดอลลาร์

สรุปภาพรวมคือ ฝั่งซื้อได้เปรียบอย่างมาก แต่ควรรอให้ผ่าน 4,384 ดอลลาร์ไปให้ได้ก่อนเพื่อความชัดเจน หรือรอเข้าซื้อเมื่อย่อตัวที่แนวรับ 4,354 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนหากราคาหลุดกลับเข้ามาในกรอบล่าง

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $4,354

• $4,327

• $4,300

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $4,384

• $4,400

• $4,420