วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

ราคาทองคำ XAUUSD ยังคงเคลื่อนไหวในแดนลบอย่างต่อเนื่องในช่วงเช้าของตลาดเอเชียวันนี้ โดยร่วงลงมาเคลื่อนไหวใกล้ระดับ $4,030 ดอลลาร์

แรงกดดันหลักยังคงมาจากการที่นักลงทุนเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ประกอบกับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการถือครองทองคำสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น

ท่ามกลางภาวะที่ตลาดขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน นักลงทุนต่างกำลังจับตาการกลับมาเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด

โดยเฉพาะรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ประจำเดือนกันยายน ที่จะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญที่อาจชี้วัดทิศทางนโยบายการเงินของเฟดในอนาคต

เฟดเสียงแตก ข้อมูลเศรษฐกิจแกร่ง กดดันราคาทอง

ปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในขณะนี้ คือการที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายเริ่มส่งสัญญาณสนับสนุนการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไป (Hawkish) เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ

โดยทั้งประธานเฟดสาขาแอตแลนต้าอย่าง Bostic และสาขาแคนซัสซิตี้อย่าง Schmid ต่างแสดงความกังวลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่

สัญญาณดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด โดยดัชนีภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์ก (Empire State Manufacturing Survey) ในเดือนพฤศจิกายน พุ่งขึ้นแตะระดับ 18.7 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6.1 อย่างมาก สะท้อนว่ากิจกรรมภาคการผลิตในภูมิภาคยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ข้อมูลเหล่านี้ทำให้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจว่าเฟดจำเป็นต้องรีบลดดอกเบี้ย

จากปัจจัยดังกล่าว เครื่องมือ CME FedWatch Tool ได้สะท้อนความน่าจะเป็นที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธันวาคม ลดลงเหลือเพียง 45% จากที่เคยสูงกว่า 60% ในสัปดาห์ที่แล้ว การลดความคาดหวังนี้ได้หนุนให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สาม สร้างแรงกดดันโดยตรงต่อราคาทองคำ

สัญญาณผ่อนคลายจากผู้ว่าการเฟด และมุมมองนักวิเคราะห์

แม้ว่าภาพรวมจะดูเป็นลบ แต่ตลาดก็ยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่ โดยเฉพาะท่าทีของผู้ว่าการเฟด Christopher Waller ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงและเป็นตัวเต็งประธานเฟดคนต่อไป ที่ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมอย่างชัดเจน

Waller ให้เหตุผลเมื่อวันจันทร์ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงอ่อนแอและใกล้เคียงภาวะชะงัก และเขามองว่าเงินเฟ้อได้ชะลอตัวลงค่อนข้างใกล้เคียงเป้าหมาย 2% ของเฟดแล้ว เขาจึงไม่กังวลว่าเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้น และมองว่าการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมจะเป็นหลักประกันเพิ่มเติมเพื่อป้องกันไม่ให้ตลาดแรงงานอ่อนแอลงไปอีก

มุมมองนี้สอดคล้องกับนักวิเคราะห์จาก UBS ที่เชื่อว่าข้อมูลเศรษฐกิจที่จะออกมาทั้งหมดก่อนการประชุมเดือนธันวาคมจะไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สามของปีนี้ได้

เช่นเดียวกับนักวิเคราะห์จาก Heraeus ที่มองว่าข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน (ADP) ที่อ่อนแอ ประกอบกับนโยบายการคลังที่ผ่อนคลาย อย่างเช่น การใช้จ่ายภาครัฐที่กลับมาหลัง Shutdown อาจกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและหนุนราคาทองคำในระยะต่อไป

ตลาดจับตา NFP เดือนกันยายน และคำเตือนวิกฤตครั้งใหม่

ขณะนี้นักลงทุนกำลังรอข้อมูลสำคัญที่ถูกเลื่อนการเปิดเผยออกไปนานถึง 43 วัน เนื่องจากการปิดหน่วยงานภาครัฐ (Government Shutdown)

โดยไฮไลท์สำคัญคือตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) เดือนกันยายน ซึ่งจะประกาศในวันพฤหัสบดีนี้ แม้จะเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างเก่า แต่ก็เป็นข้อมูลทางการชุดแรกที่ตลาดจะได้รับรู้ และจะช่วยให้เห็นภาพความสมบูรณ์ของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ชัดเจนขึ้น

ในขณะที่ตลาดกำลังเฝ้ารอข้อมูลเศรษฐกิจ ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องจับตามอง คือคำเตือนจาก Jeffrey Gundlach ผู้ก่อตั้ง DoubleLine Capital หรือที่รู้จักกันในนาม “ราชาตราสารหนี้” (Bond King) เขาได้ออกมาเตือนว่าตลาดการเงินกำลังอยู่ในภาวะเปราะบางอย่างหนัก

Gundlach ชี้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในภาวะเก็งกำไรอย่างไม่น่าเชื่อ และมีมูลค่าที่แพงจนน่ากลัว  แต่สิ่งที่เขากังวลที่สุดคือตลาดสินเชื่อเอกชน (Private Credit) มูลค่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ที่เขามองว่ามีการปล่อยกู้ที่ไร้คุณภาพซึ่งอาจเป็นชนวนวิกฤตการเงินครั้งใหญ่รอบใหม่ได้

โดย Gundlach เปรียบเทียบว่ามีลักษณะคล้ายกับการเกิดวิกฤตซับไพรม์ในปี 2006 หากความวุ่นวายในตลาดการเงินเกิดขึ้นจริง ย่อมส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง

สรุปภาพรวมและกลยุทธ์การลงทุน

ราคาทองคำในระยะสั้นกำลังถูกกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและความเห็นเชิงสายเหยี่ยวของเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน ทำให้ตลาดลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมลง

อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังคงมีแรงพยุงจากความเห็นของ Waller ที่ยังคงสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างแข็งขัน

ทิศทางของราคาทองคำหลังจากนี้ จะขึ้นอยู่กับตัวเลข NFP เดือนกันยายนที่จะประกาศในวันพฤหัสบดีนี้ หากข้อมูลออกมาอ่อนแอกว่าที่คาด อาจทำให้ตลาดกลับมาเชื่อมั่นในการลดดอกเบี้ยอีกครั้งและหนุนให้ราคาทองคำดีดตัวกลับ

แต่หากข้อมูลออกมาแข็งแกร่ง อาจสร้างแรงกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลงต่อได้ นักลงทุนจึงควรติดตามการประกาศข้อมูลนี้อย่างใกล้ชิด รวมถึงเฝ้าระวังความเสี่ยงในตลาดการเงินโดยรวมตามคำเตือนของ Jeffrey Gundlach ซึ่งอาจเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะกลางถึงยาว

จากที่เราได้จับตาสัญญาณ Bullish Crossover ในเขต Oversold ของ Stochastic RSI จากการวิเคราะห์ครั้งก่อน ปรากฏว่าสัญญาณดังกล่าวกลับไม่สามารถสร้างแรงซื้อให้ราคาดีดตัวกลับขึ้นไปได้ตามที่คาดหวังไว้ กดดันให้ราคาทองคำร่วงหลุดแนวรับสำคัญที่ $4,057 และทะลุแนวรับ Fibonaaci 23.6% ($4,007) ลงไปอย่างรวดเร็ว

จุดที่น่าสนใจที่สุดในกราฟ 4 ชั่วโมงขณะนี้ คือการที่ราคาทิ้งตัวดิ่งลงไปทดสอบแนวรับจิตวิทยาที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว EMA 200 (เส้นสีส้มหนา) บริเวณ $4,001

ก่อนที่จะปรากฏแรงซื้อขนาดใหญ่เข้ามาพยุงราคาไว้อย่างชัดเจน สะท้อนผ่านการเกิดไส้เทียนยาวด้านล่าง (Long Lower Wick) และดีดตัวกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ $4,040 ในปัจจุบัน การทดสอบเส้น EMA 200 นี้ถือเป็นนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางราคาในระยะต่อไป

ด้านสัญญาณ RSI ก็ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่ยังไปไม่ถึงเขต Oversold ซึ่งบ่งชี้แรงขายอาจจะยังไม่จบ แม้ Stochastic RSI ยังคงแช่ตัวอยู่ในระดับต่ำใกล้ 0 ก็ตาม

นอกจากนี้ เส้น EMA ระยะสั้นและระยะกลางได้ตัดกันเป็น Dead Cross ซึ่งเป็นการยืนยันถึงแนวโน้มขาลงในระยะสั้นอีกด้วย

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า การที่ราคาสามารถยืนเหนือแนวรับ EMA 200 ที่ $4,001 ได้ ถือเป็นสัญญาณบวกเล็กๆ ประเมินว่าราคามีโอกาสที่จะพยายามดีดตัวกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านด่านแรกที่เพิ่งหลุดลงมา คือบริเวณ $4,057

หากแรงซื้อแข็งแกร่งพอและสามารถผ่านไปได้ เป้าหมายถัดไปคือการกลับไปทดสอบโซนแนวต้านที่ $4,087 (Fib 38.2%) ซึ่งขณะนี้มีกลุ่มเส้น EMA ระยะสั้นกดดันอยู่

อย่างไรก็ตาม หากการดีดตัวครั้งนี้ล้มเหลว หรือราคาถูกกดดันให้กลับลงไปปิดต่ำกว่า EMA 200 ที่ $4,001 ได้สำเร็จ จะถือเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่ง และจะเปิดทางให้ราคามุ่งหน้าลงสู่แนวรับถัดไปที่บริเวณ $3,950 และ $3,903 ตามลำดับ

ดังนั้น กลยุทธ์การเทรดในตอนนี้ การเข้าซื้อ (Long) บริเวณนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูง เป็นการเทรดสวนแนวโน้มหลักเพื่อลุ้นการดีดตัวจากแนวรับ EMA 200 โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนหากราคาหลุด $4,000

ส่วนนักลงทุนที่เน้นปลอดภัยกว่า อาจรอให้ราคาสร้างฐานที่มั่นคง หรือรอสัญญาณกลับตัวที่ชัดเจนจากอินดิเคเตอร์อีกครั้ง ขณะที่ฝั่งขาย (Short) อาจรอจังหวะที่ราคาดีดตัวขึ้นไปไม่ผ่านแนวต้าน $4,057 หรือ $4,087 เพื่อเป็นจุดพิจารณาเข้าสถานะตามแนวโน้มขาลงต่อไป

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $4,000

• $3,950

• $3,900

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $4,057

• $4,087

• $4,135