วิเคราะห์ราคาทองวันนี้|วิเคราะห์ทองคํา forex วันนี้|วิเคราะห์ XAUUSD วันนี้ - วันที่ 22 ก.ย. 2568

กราฟแสดงราคาทองคำวันนี้

เทรดทองเดี๋ยวนี้ >     

*ค่าคอม ฯ 0 และสเปรดต่ำ 0️⃣ 

*เงินเสมือนจริงฟรี $50,000 ดอลลาร์ 💰 

*โบนัสสำหรับลูกค้าใหม่ $100 ดอลลาร์ 🎁

ราคาทองคำในตลาดโลกเปิดสัปดาห์ใหม่ด้วยการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 3,692 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงเช้าของตลาดเอเชีย

ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดในขณะนี้ คือการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนที่ผ่านมาตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้

อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น กำลังมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ในตลาดทองคำที่นักลงทุนต้องจับตามอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าและสถานะของทองคำในระยะยาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ปฏิกิริยาต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดและความตึงเครียดโลก

การที่ Fed ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 basis points เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นับเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปี 2025 การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางสัญญาณการชะลอตัวของตลาดแรงงานและความกังวลต่อความเสี่ยงด้านการจ้างงาน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงก็ตาม

อย่างไรก็ดี ท่าทีของ Jerome Powell ประธาน Fed กลับสร้างความซับซ้อนให้กับตลาด เขาเน้นย้ำว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็น “การปรับลดเพื่อบริหารความเสี่ยง” (Risk Management Cut) และการตัดสินใจในอนาคตจะขึ้นอยู่กับการประชุม “ครั้งต่อครั้ง” ซึ่งบ่งชี้ว่าวงจรการผ่อนคลายนโยบายการเงินอาจไม่รุนแรงเท่าที่นักลงทุนบางส่วนคาดหวัง

ท่าทีดังกล่าวอาจช่วยพยุงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แข็งค่าขึ้น และสร้างแรงกดดันต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์รวมถึงทองคำได้

นอกจากนี้ ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญ โดยความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลางยังคงกระตุ้นความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง

JPMorgan ชี้เป้า $4,000 ไม่ไกลเกินเอื้อม

ท่ามกลางความผันผวนระยะสั้น JPMorgan ได้เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยคาดการณ์ว่าราคาทองคำกำลังจะเข้าสู่ตลาดกระทิงรอบใหม่ที่ขับเคลื่อนโดยอุปสงค์จากนักลงทุน ซึ่งเข้ามาแทนที่ธนาคารกลางในฐานะผู้เล่นหลัก

รายงานล่าสุดได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำ โดยมองว่าราคาเฉลี่ยจะไปถึง 3,800 ดอลลาร์ ในไตรมาสที่สี่ของปี 2025 และมีโอกาสทะลุหลัก 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ในไตรมาสแรกของปี 2026 ซึ่งเร็วกว่าที่เคยประเมินไว้

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีสัญญาณที่ชัดเจน ข้อมูลชี้ว่าในช่วงสองสัปดาห์ก่อนวันที่ 5 กันยายน 2025 กองทุน ETF ทองคำทั่วโลกมีเงินทุนไหลเข้าเกือบ 72 ตัน ซึ่งเป็นการไหลเข้าครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนเมษายน

JPMorgan ชี้ว่าข้อมูลในอดีตยืนยันว่าช่วงเวลาที่ Fed เริ่มวงจรลดดอกเบี้ยถือเป็นช่วงเวลาที่ดี (Sweet Spot) สำหรับทองคำ โดยราคามักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกในระดับสองหลักภายใน 9 เดือนหลังจากการลดดอกเบี้ยครั้งแรก

การกลับมาของนักลงทุนรายย่อยและสถาบันผ่านกองทุน ETF จึงเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่จะกำหนดทิศทางราคาทองคำในระยะต่อไป โดยมีปัจจัยหนุนจากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อ (Stagflation) ความยั่งยืนทางการคลัง และความต้องการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินที่ด้อยค่าลง

ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม และสภาพแวดล้อมที่ราคาทองคำอาจพุ่งทะลุ $5,000

แม้ว่าแนวโน้มส่วนใหญ่จะดูเป็นบวก แต่ JPMorgan ก็ได้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงสำคัญ นั่นคือการชะลอตัวของการซื้อทองคำจากธนาคารกลาง หากราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินไป

แม้ว่าคาดการณ์การซื้อสุทธิของธนาคารกลางในปี 2025-2026 จะยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แต่หากอุปสงค์ส่วนนี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็อาจเป็นความท้าทายต่อการปรับตัวขึ้นของราคาได้

อย่างไรก็ตาม ส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุดในรายงานของ JPMorgan คือการวิเคราะห์ความเสี่ยงระยะยาว ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดน้อยแต่ส่งผลกระทบรุนแรง นั่นคือสถานการณ์ที่ความเป็นอิสระของ Fed ถูกสั่นคลอน

หากนักลงทุนเกิดความกังวลอย่างรุนแรงว่ารัฐบาลเข้ามาแทรกแซงนโยบายการเงิน อาจทำลายความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จนเกิดการโยกย้ายเงินทุนครั้งใหญ่ไปสู่สินทรัพย์ที่จับต้องได้อย่างทองคำ

โมเดลของ JPMorgan แสดงให้เห็นว่าด้วยขนาดของตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ใหญ่ถึง 29 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบกับตลาดทองคำที่มีมูลค่าเพียง 9.4 ล้านล้านดอลลาร์ การโยกย้ายเงินทุนแม้เพียงเล็กน้อย (เช่น 0.1% ของมูลค่าตลาดพันธบัตร) ก็สามารถสร้างแรงกระเพื่อมมหาศาลและผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งทะลุระดับ $5,000 ต่อออนซ์ได้ภายในเวลาเพียงสองไตรมาส

สถานการณ์ของราคาทองคำ ในกราฟ 4 ชั่วโมงได้เปลี่ยนแปลงและรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก การดีดตัวทางเทคนิคที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากสัญญาณ Oversold ของ Stochastic RSI นั้นมีความรุนแรงเกินคาด

จนสามารถทำลายแนวต้านสำคัญที่บริเวณ 3,655 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของแนวโน้มในวันก่อนหน้าไปได้ ส่งผลให้ภาพรวมทางเทคนิคในระยะสั้นพลิกกลับจากลบกลายเป็นบวกในทันที ปัจจุบันราคาได้พุ่งขึ้นมาทดสอบแนวต้านถัดไปที่บริเวณ 3,692-$3,700 ดอลลาร์ เป็นการส่งสัญญาณว่าแรงซื้อได้กลับเข้ามาควบคุมตลาดไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว

เมื่อพิจารณาจากอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค จะเห็นการยืนยันภาพบวกที่ชัดเจนขึ้นอย่างยิ่ง เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA 12 และ 26 ได้ตัดผ่านขึ้นมาเป็นสัญญาณซื้อ (Golden Cross) ซึ่งเป็นการยืนยันการกลับตัวของแนวโน้มในระยะสั้น

สอดคล้องกับดัชนี RSI ที่ทะยานขึ้นเหนือระดับ 60 อย่างแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่าโมเมนตัมของตลาดได้เปลี่ยนข้างมาอยู่ฝั่งกระทิงอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวังอย่างสูงในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้าคือสัญญาณจาก Stochastic RSI ซึ่งเริ่มเข้าสู่เขตซื้อมากเกินไป (Overbought) แต่น่าจะยังคงสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้อีกซักระยะ

สำหรับกลยุทธ์และแนวโน้มในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า มุมมองได้เปลี่ยนเป็นการมองขึ้นเป็นหลัก และกลยุทธ์ได้เปลี่ยนจาก Sell on Rally มาเป็น Buy on Dip หรือการหาจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมา โดยมีแนวรับสำคัญที่สุดอยู่ที่บริเวณ 3,655 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านเดิมที่เพิ่งถูกทำลายไป

การที่ราคาย่อตัวลงมาทดสอบโซนนี้แล้วสามารถยืนอยู่ได้ จะเป็นสัญญาณยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่ และเป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ โดยมีเป้าหมายการขึ้นไปทดสอบแนวต้านเดิมที่ 3,700 ดอลลาร์ และเป้าหมายถัดไปที่ 3,725 ดอลลาร์

ในทางกลับกัน หากราคาไม่สามารถผ่านแนวต้าน 3,700 ไปได้และเกิดการย่อตัวลงมา การหลุดต่ำกว่าแนวรับ 3,655 ดอลลาร์อีกครั้ง จะถือเป็นสัญญาณลบที่ทำลายภาพขาขึ้นทั้งหมด และจะทำให้ตลาดกลับเข้าสู่ภาวะผันผวนในกรอบอีกครั้ง

ดังนั้น ตราบใดที่ราคายังเคลื่อนไหวอยู่เหนือ 3,655 ดอลลาร์ ภาพรวมยังคงเป็นบวก และการย่อตัวถือเป็นโอกาสในการเข้าซื้อตามแนวโน้มหลักที่เพิ่งก่อตัวขึ้นใหม่

แนวรับสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $3,680

• $3,655

• $3,625

แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามอง

• $3,700

• $3,710

• $3,725