WTI ยังคงติดอยู่กับการขาดทุนระหว่างวันเล็กน้อยที่ประมาณ $61.70 เคลื่อนไหวไม่มากหลังจากข้อมูลจีนที่หลากหลาย
- WTI เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ด้วยบรรยากาศที่อ่อนลง แม้ว่าการลดลงจะขาดความเชื่อมั่นในแนวโน้มขาลง.
- ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจานิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์สนับสนุนน้ำมันดิบ.
- การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ยังเป็นแรงหนุนให้กับสินค้าโภคภัณฑ์ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่หลากหลาย.
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ของสหรัฐฯ ดิ้นรนที่จะใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวที่สูงขึ้นในวันศุกร์และดึงดูดผู้ขายรายใหม่ในช่วงเริ่มต้นของสัปดาห์ใหม่ อย่างไรก็ตาม สินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าวฟื้นตัวเล็กน้อยจากระดับต่ำในเซสชั่นเอเชียและปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่บริเวณ 61.70-61.65 ดอลลาร์ โดยยังคงลดลงเกือบ 0.40% ในวัน.
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการเจรจานิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างเอสโตเนียและรัสเซีย หลังจากที่รัสเซียจับเรือบรรทุกน้ำมันที่เป็นของกรีกในวันอาทิตย์ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำหน้าที่เป็นแรงหนุนให้กับน้ำมันดิบ ในความเป็นจริง สตีฟ วิทคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า ข้อตกลงใด ๆ กับอิหร่านจะต้องรวมถึงข้อตกลงไม่ให้มีการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม.
นอกเหนือจากนี้ การเกิดขึ้นของการขายดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ยังช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันดิบและช่วยจำกัดการอ่อนตัว โดยมีพื้นฐานจากการยอมรับของตลาดที่เพิ่มขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีนี้ การปรับลดอันดับเครดิตของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างไม่คาดคิดทำให้เกิดการขายดอลลาร์สหรัฐฯ ใหม่ในวันจันทร์.
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบดูเหมือนจะถูกจำกัดในช่วงที่ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของจีนมีความหลากหลาย ซึ่งทำให้ความหวังที่เกิดจากการหยุดยิงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนเป็นเวลา 90 วันลดลง ดังนั้นจึงเป็นการชาญฉลาดที่จะรอการซื้อที่มีความต่อเนื่องที่แข็งแกร่งก่อนที่ผู้ค้าเริ่มวางออเดอร์เพื่อขยายการฟื้นตัวที่ดีจากระดับ 55.00 ดอลลาร์ หรือระดับต่ำสุดรายเดือน.
WTI Oil FAQs
น้ำมัน WTI เป็นน้ำมันดิบประเภทหนึ่งที่จําหน่ายในตลาดต่างประเทศ WTI ย่อมาจากเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (West Texas Intermediate) ซึ่งเป็นหนึ่งในน้ำมันสามประเภทหลัก ได้แก่ Brent และ Dubai Crude และ WTI น้ำมันดิบ WTI เรียกอีกอย่างว่าน้ำมัน "เบา" และน้ำมัน "หวาน" เนื่องจากมีน้ำหนักและปริมาณกํามะถันค่อนข้างต่ำ ตามลําดับแล้ว WTI ถือเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่กลั่นได้ง่าย มีแหล่งที่มาในสหรัฐอเมริกาและจัดจําหน่ายผ่านศูนย์กลาง Cushing ซึ่งถือเป็น "เส้นทางเดินน้ำมันหลักของโลก" เป็นเกณฑ์มาตรฐานสําหรับตลาดน้ำมันและราคาของน้ำมัน WTI มักถูกอ้างอิงในสื่อต่างๆ
เช่นเดียวกับสินทรัพย์ทั้งหมด อุปสงค์และอุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของราคาน้ำมัน WTI ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทั่วโลกจึงเป็นตัวขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันให้เพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ มีความไม่มั่นคงทางการเมือง สงคราม และการคว่ำบาตรต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้อาจสามารถกดดันอุปทาน และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน นอกจากนี้ การตัดสินใจของกลุ่มโอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อนราคาที่สําคัญ และมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐก็มีอิทธิพลต่อราคาน้ำมันดิบ WTI เนื่องจากเป็นน้ำมันที่มีการซื้อขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็อาจทําให้น้ำมันมีราคาถูกลงมากขึ้น และในทางกลับกันด้วยเช่นกัน
รายงานน้ำมันคงคลังรายสัปดาห์ที่ประกาศโดยสถานบันปิโตรเลียมของอเมริกา หรือ American Petroleum Institute (API) และสำนักงานข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานหรือ Energy Information Agency (EIA) ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนให้เห็นภาพอุปสงค์/อุปทานที่ผันผวน หากข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าน้ำมันดิบคงคลังลดลง อาจหมายความว่าอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้น และผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น การที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นสามารถสะท้อนให้เห็นอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของ API จะประกาศทุกวันอังคารและของ EIA จะประกาศในถัดไป ตัวเลขจากรายงานเหล่านี้มักจะคล้ายกัน อาจจะมีความแตกต่างกันเพียง 1% (มีโอกาสราว ๆ 75%) ข้อมูลจาก EIA ถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าเนื่องจากเป็นหน่วยงานของรัฐ
OPEC (หรือองค์การบริหารน้ำมันปิโตรเลียมของประเทศกลุ่มผู้ส่งออก - Organization of the Petroleum Exporting Countries) เป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 12 ประเทศที่ร่วมกันกําหนดโควตาการผลิตน้ำมันสําหรับประเทศสมาชิก มีการประชุมปีละสองครั้ง การตัดสินใจขององค์กรนี้มักส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน WTI เมื่อโอเปกตัดสินใจลดโควตาการผลิต นั่นอาจทําให้อุปทานน้ำมันตึงตัว ผลักดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น แต่เมื่อโอเปกเพิ่มการผลิต ก็จะมีผลตรงกันข้าม OPEC+ หมายถึงกลุ่มประเทศสมาชิกนอกจากโอเปกดั้งเดิมเพิ่มอีกสิบประเทศ โดยประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือรัสเซีย
บทความแนะนำ
