เงินยูโร (EUR) กำลังแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งโดยทั่วไปถือว่าเป็นที่หลบภัยในวันอังคาร
ณ ขณะเขียน EUR/JPY กำลังซื้อขายอยู่เหนือระดับแนวรับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) 20 วันที่ 163.31 โดยมีแนวต้านที่แข็งแกร่งที่ 164.00
ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของยูโรโซนที่อ่อนกว่าที่คาดการณ์ไว้ และสัญญาณที่ระมัดระวังจากผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) เกี่ยวกับความคาดหวังอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
ในวันอังคาร ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานที่ปรับให้เป็นมาตรฐาน (HICP) เบื้องต้นสำหรับยูโรโซนแสดงให้เห็นถึงการผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม โดย HICP พื้นฐานเพิ่มขึ้น 2.3% YoY ลดลงจาก 2.7% ในเดือนเมษายนและต่ำกว่าการคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น 2.5%
เมื่อแนวโน้มเงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ดูเหมือนว่า ECB จะพิจารณาการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินในวันพฤหัสบดี นักวิเคราะห์กำลังคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดเบสิส (bps) ก่อนที่จะทำให้มุมมองของพวกเขาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีมีความชัดเจน
ในช่วงเซสชันการซื้อขายในเอเชีย ผู้ว่าการ BoJ นายคาซูโอะ อูเอดะ ได้กล่าวถึงผู้เข้าร่วมตลาด โดยรักษาท่าทีที่เข้มงวดและบอกใบ้ถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ตามรายงานของ Reuters เขากล่าวว่า "BoJ คาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากเงินเฟ้อพื้นฐานถึง 2% ที่คาดการณ์ไว้" อย่างไรก็ตาม เขายังเน้นย้ำว่าภาษีและข้อพิพาททางการค้าอาจเป็นความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยเน้นความจำเป็นในการรักษาสมดุลระหว่างนโยบายการเงินและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อัตราเงินเฟ้อวัดการเพิ่มขึ้นของราคาในตะกร้าสินค้าและบริการที่ใช้อ้างอิง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเทียบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะไม่รวมองค์ประกอบที่มีความผันผวนสูงเช่น อาหารและเชื้อเพลิง ปัจจัยเหล่านี้อาจผันผวนเพราะสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเป็นตัวเลขที่นักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญและเป็นตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้อ้างอิงในการกำหนดเป้าหมาย ธนาคารกลางฯ นิยมคงอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 2%
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตะกร้าสินค้าและบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยปกติ CPI จะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงแบบเดือนต่อเดือน (MoM) และแบบปีต่อปี (YoY) CPI หลักคือตัวเลขที่ธนาคารกลางใช้กำหนดราคาเป้าหมาย เพราะ CPI ทั่วไปไม่รวมปัจจัยเช่นการผลิตอาหารและเชื้อเพลิงที่มีความผันผวน ดังนั้น เมื่อ CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จึงมักจะส่งผลให้ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อ CPI ลดลงต่ำกว่า 2% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงเป็นผลดีต่อสกุลเงิน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมักส่งผลให้สกุลเงินแข็งค่าขึ้น และตรงกันข้าม สกุลเงินจะอ่อนค่าเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง
แม้ว่าอาจดูเหมือนขัดกับภาพความเป็นจริงที่เห็น แต่อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่สูงจะผลักดันมูลค่าของสกุลเงินของประเทศนั้นๆ ให้สูงขึ้นเพราะการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งดึงดูดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกให้ไหลเข้าประเทศ เพราะพวกเขากำลังมองหาสถานที่ที่มีกำไรจากการฝากเงินของพวกเขา
ในอดีต ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันไปพึ่งพาในช่วงเวลาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง เนื่องจากทองคำยังคงรักษามูลค่าไว้ได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วนอย่างรุนแรง นักลงทุนมักจะซื้อทองคำด้วยสถานะการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ในปัจจุบันมักไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางต่างๆ มักจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจึงไม่เป็นผลดีต่อทองคำ เนื่องจากทำให้ต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลงเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ดอกเบี้ยไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปฝากในบัญชีเงินสด ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงมีแนวโน้มที่จะส่งผลบวกต่อทองคำ เพราะจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้โลหะมีค่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสมากขึ้น